วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ อาจารย์กฎหมายภาษีอากร และซีอีโอ iTAX โพสต์เฟสบุ๊ค Mickey Yutthana Srisavat อธิบายรายละเอียดที่มาตั้งแต่ต้นจนถึงผลสรุปของคดีศาลฎีกาพิพากษาให้ นายทักษิณ ชินวัตร แพ้คดีกรมสรรพากร ต้องจ่ายภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ป รวม 1.76 หมื่นล้านบาท
โดยผศ.ดร.ยุทธนา หรืออาจารณ์มิก ระบุว่า
เมื่อเช้าได้ไปเล่าเรื่องคดีคุณทักษิณแพ้คดีภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปแบบสั้นๆ ในรายการ Morning Wealth ของ THE STANDARD WEALTH แต่ยังมีหลายเรื่องที่อยากเล่าเพิ่ม พอดีเห็นหน้าเฮียวิทย์เลยขอเขียนไล่เรียงเป็นประวัติศาสตร์ 8 นาที เพื่อสรุป 19 ประเด็นคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งลากยาวมา 19 ปี ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และทำไมวันนี้ศาลฎีกาจึงให้ อดีตนายกทักษิณ ต้องชำระภาษีรวม 17,629 ล้านบาท
1. ชิน คอร์ปอเรชั่น คือบริษัทที่คุณทักษิณและคุณหญิงพจมานร่วมกันสร้างตั้งแต่ปี 2526 เคยเป็นบริษัทแม่ของ AIS และถือเป็นกลุ่มกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ณ เวลานั้น ก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรหลายครั้งและเพิ่งถูกควบรวมกับ GULF ไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา
2. ช่วงก่อนคุณทักษิณลงเลือกตั้งปี 2544 ทุกคนรู้หลักการพื้นฐานอยู่แล้วว่านักการเมืองต้องไม่ถือกิจการที่อาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับรัฐ โดยเฉพาะกิจการที่เป็นสัมปทานจากรัฐอย่างโทรคมนาคม
ปี 2542 คุณทักษิณตั้งบริษัทชื่อ Ample Rich Investments Ltd. ที่เกาะ British Virgin Islands (BVI) ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษี และมีความลับสูงเรื่องโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยคุณทักษิณมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นเพียงผู้เดียว แล้วขายหุ้นชินของตัวเอง จำนวนเกือบๆ 33 ล้านหุ้นให้ Ample Rich ในราคา PAR หุ้นละ 10 บาท คุณทักษิณไม่มีกำไรก็ไม่ต้องเสียภาษีอะไร ฝั่งบริษัท Ample Rich ก็บันทึกต้นทุนไปว่าได้มาเกือบ 33 ล้านหุ้น ต้นทุนหุ้นละ 10 บาท
3. ปี 2543 โครงสร้างภายใน Ample Rich ก็ปรับให้คนถือหุ้นเป็นคุณโอ๊ค ลูกชายซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ทำให้กระดาษทั้งหมดแสดงภาพว่าตัวทักษิณไม่ได้มีหุ้นชินคอร์ปโดยตรงอีกต่อไป ตอนยื่นบัญชีทรัพย์สินจึงไม่เห็นหุ้นบริษัท Ample Rich ในบัญชีทรัพย์สินของคุณทักษิณด้วย
ต่อมาในปี 2544 ชินคอร์ปแตกพาร์หุ้นจาก 10 บาทเป็น 1 บาท ทำให้หุ้นในมือ Ample Rich เพิ่มจาก 33 ล้านเป็นประมาณ 330 ล้านหุ้น และมีต้นทุนบัญชีหุ้นละ 1 บาทแทน
หลังจากนั้นช่วงกลางปี 48 มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น Ample Rich นิดหน่อย คือให้คุณเอม ลูกสาวคนโตมาถือหุ้นด้วย สัดส่วนผู้ถือหุ้นตอนนี้ คุณโอ๊คถือหุ้น 80% คุณเอมถือหุ้น 20% โดยทั้งคู่ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท Ample Rich ด้วย
4. ช่วงต้นปี 2549 ซึ่งคุณทักษิณยังเป็นรัฐบาลอยู่ มีการประกาศ พ.ร.บ. การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2549 เพื่อปลดล็อคให้กิจการโทรคมนาคมสามารถให้คนต่างชาติถือหุ้นได้ 49% จากเดิม 25% โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับวันที่ 21 ม.ค. 2549
อีก 2 วันหลังจากจากกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ 23 ม.ค. 2549 ครอบครัวคุณทักษิณและคุณหญิงพจมานขายหุ้นชินคอร์ปผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประมาณ 49% ให้กลุ่มบริษัทในเครือเทมาเส็กของสิงคโปร์ มูลค่า 73,000 ล้านบาท โดยราคาขายวันนั้นคือหุ้นละ 49.25 บาท น่าจะเป็นดีลแรกที่ได้ใช้ประโยชน์จากกฎหมายใหม่ในเวลานั้นทันที
5. การขายภาษีครั้งนั้น ทุกคนได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากกำไร เพราะมีกฎหมายยกเว้นภาษีให้สำหรับบุคคลธรรมดาที่ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น ทุกคนที่ขายเป็นบุคคลธรรมดา + ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ เลยทำให้ค่าหุ้น 73,000 ล้านบาท ได้รับยกเว้นภาษีทั้งจำนวน
6. แต่ดันมีหุ้นตัวปัญหาอยู่จำนวนนึง คือ ส่วนที่คุณโอ๊คและคุณเอมขายไปจำนวนเกือบ 330 ล้านหุ้น เพราะที่มาของหุ้นจำนวนนี้มาจากที่บริษัท Ample Rich ถือไว้ตั้งแต่ปี 42 เนี่ยแหละ เพราะถ้าบริษัท Ample Rich ขายหุ้นชินเอง ต่อให้ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ก็เสียภาษีอยู่ดี เพราะไม่ใช่บุคคลธรรมดา ถ้าขายไปจริงๆ Ample Rich ก็จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากกำไรแทบจะเต็มๆ เพราะหุ้นมูลค่า 49.25 บาท แต่ต้นทุนแค่บาทเดียว
7. เพื่อให้การขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี มันเลยมีขั้นตอนแทรกมานิดนึง นั่นคือ วันที่ 23 ม.ค. 2549 (วันเดียวกับที่ขายหุ้น 73,000 ล้านบาท) กรรมการบริษัท Ample Rich (คุณโอ๊คและคุณเอม) สั่งให้บริษัทขายหุ้นให้คุณโอ็คและคุณเอมในสัดส่วนคนละครึ่ง 50/50 ในราคาทุนหุ้นละ 1 บาท โดยซื้อขายกันตรงๆ นอกตลาดหลักทรัพย์
จากนั้นทั้งคู่ในฐานะบุคคลธรรมดา ก็เอาหุ้นที่ได้มานี้ไปขายในตลาดหลักทรัพย์เพื่อรับสิทธิปลอดภาษีในวันที่ 23 ม.ค. 2549 นั่นเอง
เรียกว่าบริษัทขายหุ้นให้ 1 บาทแล้วคนซื้อเอามาขายต่อในวันเดียวกันแต่ได้ราคา 49.25 บาทเลย
จุดนี้แหละที่ตอนหลังศาลฎีกาจะหยิบมาชี้ว่าธุรกรรมพวกนี้ “มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ” ไหม? หรือตั้งใจทำขึ้นมาเพราะอยากจะเลี่ยงภาษีอย่างเดียว
8. ถ้ากลับไปจุดตั้งต้น Ample Rich ตั้งขึ้นมาโดยระบุวัตถุประสงค์บนหน้ากระดาษว่าเพื่อลงทุนหากำไร มันเลยมีคำถามว่าการขายหุ้นราคา 49.25 บาทในราคาบาทเดียว แถมขายในวันเดียวกันด้วยนะ มันเป็นไปได้ไง ทำไมบริษัทถึงยอมเอาเงินทิ้งน้ำเฉยๆ ซะงั้น?
พอมันหาเหตุผลทางการลงทุนหรืออย่างอื่นมาสนับสนุนไม่ได้เลย ทางสรรพากรเลยตีว่าการที่คุณได้หุ้นในราคาบาทเดียวซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดขนาดนี้ ส่วนต่างมันคือประโยชน์ที่คิดคำนวณมูลค่าเป็นเงินได้เลยนะ
สรรพากรเลยใช้ช่องนี้แหละประเมินว่า เออ ถึงคุณจะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี แต่การที่คุณซื้อหุ้นชินคอร์ปได้ในราคาสุดพิเศษขนาดนี้เนี่ยแหละ ส่วนต่าง 48.25 บาทต่อหุ้น รวมแล้วราวๆ 15,883.9 ล้านบาท คือเงินได้ที่ทั้งคู่ต้องนำมาเสียภาษี สรรพากรก็เลยส่งหมายเรียกไปหาทั้งคู่ให้เคลียร์ประเด็นนี้และประเมินภาษีเงินได้ของปีภาษี 2549 (ปีที่ขายหุ้นชินคอร์ป) ในที่สุด
9. ทั้งคุณโอ๊คและคุณเอมยื่นต่อสู้คดีไปตั้งแต่ชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งเป็นด่านแรกก่อนจะขึ้นศาลภาษี (คดีภาษีไปฟ้องศาลภาษีทันทีไม่ได้) แต่ทั้งคู่แพ้ เลยไปสู้คดีกันที่ศาลภาษีอากรกลางต่อ
ระหว่างพิจารณาอยู่ในศาลภาษีอากรกลาง เมื่อปี 2553 ก็มีอีกคดีของคุณทักษิณมีคำพิพากษาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองตัดสินว่า หุ้นชินคอร์ปที่บริษัท Ample Rich เคยถือไว้จนกระทั่งมาถึงมือของคุณโอ๊คคุณเอม จนขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่จริงแล้วทั้งหมดนั้นเป็นของคุณทักษิณทั้งหมดเลยนะ ทั้งบริษัท Ample Rich ทั้งคุณโอ๊คคุณเอมเป็นแค่ nominee ของคุณทักษิณเฉยๆ เพราะคุณทักษิณคือตัวการผู้มีอำนาจควบคุมตัวจริง
10. ในปีเดียวกัน คุณโอ๊คคุณเอมเลยนำผลของคำพิพากษาของคดีนั้นมาเพิ่มเป็นข้อต่อสู้ในศาลภาษีว่า ศาลฎีกายืนยันแล้วนะว่าหุ้นเป็นของคุณทักษิณ ไม่ใช่ของพวกผม พวกผมเป็นแค่ nominee
ศาลภาษีก็เห็นด้วยว่าเงินได้ก็ต้องเป็นของคุณทักษิณสิ ไม่ใช่เงินได้ของคุณโอ๊คคุณเอมซะหน่อยก็เลยจบคดีโดยพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคําวินิจฉัยอุทธรณ์ ส่วนคุณโอ๊คคุณเอมไม่ต้องรับผิดชอบค่าภาษีในส่วนนี้แล้ว
ทางฝั่งสรรพากรก็จบไป ไม่ได้อุทธรณ์คดีต่อ และไม่ได้ออกหมายเรียกคุณทักษิณแล้วด้วย
11. หลังศาลวินิจฉัยเมื่อปี 2553 ว่าเจ้าของตัวจริงคือคุณทักษิณ ที่จริงสรรพากร “สามารถ” ออกหมายเรียกคุณทักษิณได้ทันทีเพราะรู้ข้อเท็จจริงแล้ว แต่ไม่ทำ (ให้ข้อสังเกตเพิ่มว่าช่วงปี 2553 เป็นรัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ และปี 2554 เป็นรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์)
ปล่อยเวลาผ่านไปจนปี 2560 รัฐบาลพลเอกประยุทธก็แจ้งสรรพากรว่าเฮ้ย ข้อเท็จจริงคือคุณทักษิณคือเจ้าของหุ้นตัวจริงใช่มั้ย รู้มาตั้งแต่ปี 2553 แล้วด้วย งั้นแจ้งประเมินภาษีให้คุณทักษิณมาชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาย้อนหลังของปี 2549 จากเรื่องหุ้นชินคอร์ปจาก Ample Rich ด้วยสิ
12. ข้อต่อสู้ของคุณทักษิณ คือ เฮ้ย ถ้ายื่นภาษีแล้วจะประเมินภาษีย้อนหลัง ก็ทำได้นะ แต่อายุความคดีภาษีมันยืดได้สูงสุด 5 ปี ในเมื่อเป็นเรื่องภาษีเงินได้ของปีภาษี 2549 ซึ่งเราจะยื่นภาษีช่วงต้นปี 2550 ดังนั้น อายุความมันต้องไปจบแถวๆ 30 มี.ค. 2555 สิ
ทีนี้ สรรพากรก็รู้เรื่องคุณทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงตั้งแต่ปี 2553 แล้วนี่ เพราะลูกชายลูกสาวสู้คดีในศาลภาษีอยู่ แต่คุณไม่ได้ส่งหมายเรียกอะไรให้ผมเลย ผมกับลูกๆ เป็นคนละคนกัน มาถึงก็ตู้มเรียกประเมินภาษีผมเลยโดยไม่ส่งหมายเรียกระบุชื่อผมภายในอายุความก่อนได้ไง แบบนี้มันก็ไม่ถูกสิ มันผิดขั้นตอน
ทั้งศาลภาษีอากรกลางและศาลอุทธรณ์คดีภาษีก็เห็นด้วยว่าสรรพากรติดกระดุมเม็ดแรกผิด ถ้ากระบวนการมันไม่ถูกต้องแต่แรกก็ไม่ต้องไปพิจารณาไส้ในต่อแล้ว คุณทักษิณเลยชนะคดีตลอดด้วยเหตุผลนี้
13. แต่สรรพากรสู้ยิบตายันศาลฎีกา คราวนี้ปี 2568 คดีพลิก ศาลฎีกาตัดสินให้คุณทักษิณแพ้ทั้งที่เคยชนะมา 2 ศาลแรก ทำให้คุณทักษิณต้องจ่ายภาษี 17,629 ล้านบาท
อ้าวแล้วเหตุผลเรื่องผิดขั้นตอนไม่ส่งหมายเรียกที่คุณทักษิณเคยชนะ 2 ศาลแรกล่ะ ศาลฎีกาคิดยังไง?
14. ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า nominee = หุ่นเชิดของคุณทักษิณ โดยคุณทักษิณเป็นตัวการ ส่วนลูกชายลูกสาวก็เป็นตัวแทนโดนเชิดอยู่ด้านหลัง
ดังนั้น ตอนหมายเรียกส่งถึงลูกชายลูกสาวตั้งแต่ตอนแรกสุดมันก็เลย "ผูกพัน" ถึงคุณทักษิณที่เป็น "ตัวการ" ด้วยไปแล้ว
ศาลเห็นว่าในเมื่อหมายเรียกมันถูกต้องตั้งแต่ตอนส่งให้ตัวแทนของคุณทักษิณ ไม่ต้องถามหาหมายเรียกระบุชื่อคุณทักษิณอีกแล้ว
15. ศาลฎีกาอธิบายเพิ่มเติม (ในเชิงสั่งสอน) อีกว่า การไปตั้งบริษัทที่ BVI ฝากหุ้นไว้ ควบคุมผ่านลูกชายลูกสาว แล้วซื้อหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทมาได้ในราคาบาทเดียว จนสุดท้ายเอาไปขายต่อในตลาดหลักทรัพย์เพื่อรับสิทธิ์ยกเว้นภาษี ธุรกรรมเหล่านี้มันไม่มี “เหตุผลทางเศรษฐกิจ“ อะไรเลยนอกเหนือจากการหาประโยชน์และช่องทางหลบเลี่ยงภาษีเป็นเรื่องร้ายแรง ขาดคุณธรรมทางภาษี ถ้าปล่อยให้ทำได้เดี๋ยวอีกหน่อยจะกลายเป็นแบบอย่างของสังคมใช้นํามาอ้างเพื่อ ประโยชน์ทางภาษีส่วนตนเช่นนี้ได้อีก ไม่งั้นก็จะไม่แฟร์กับคนอื่นที่ทำทุกอย่างตรงไปตรงมาแล้วเสียภาษีถูกต้อง
สรุป ศาลเลยให้ประเมินภาษีตามสรรพากรนี้แหละ คุณทักษิณแพ้คดีในชั้นศาลฎีกา ต้องจ่ายภาษีรวมค่าปรับทั้งหมด 17,629 ล้านบาท ตอนนี้คดีถึงที่สุดแล้วด้วย ไปต่อไม่ได้แล้ว
16. เงิน 17,629 ล้านบาท คำนวณจากไหน? เงินก้อนนี้มาจากโครงสร้าง 3 ส่วน ได้แก่
(1) ค่าภาษี โดยคิดจากฐานส่วนต่างกำไร 15,883.9 ล้านบาท
อัตราภาษีสูงสุดปี 2549 อยู่ที่ 37% (ไม่ใช่ 35% แบบทุกวันนี้) เลยคำนวณภาษีได้ประมาณ 5,877 ล้านบาท
(2) เบี้ยปรับ เกิดจากการจ่ายภาษีไม่ครบ ค่าปรับเพราะยื่นภาษีแต่จ่ายภาษีไม่ครบอีก 1 เท่าของค่าภาษีที่ค้าง เลยคำนวณเบี้ยปรับได้ 5,877 ล้านบาท
(3) เงินเพิ่ม เป็นเหมือนดอกเบี้ยเพราะจ่ายภาษีช้ากว่ากำหนด โดยปกติจะคิดในอัตรา 1.5% ต่อเดือน แต่พอดีมันหลายปี เลยทบกันมาเรื่อยๆ ซึ่งกฎหมายกำหนดเพดานให้เงินเพิ่มคิดได้สูงสุดเท่ากับค่าภาษี คือ อีก 5,877 ล้านบาท
รวม 3 ก้อนนี้เลยได้ค่าภาษี + เบี้ยปรับ + เงินเพิ่ม = 17,629 ล้านบาท
ทำไปทำมาได้กำไร 15,883.9 ล้านบาท แต่โดนภาษีไป 17,629 ล้านบาท ภาษีแพงกว่ากำไรอีก
17. คุณทักษิณจะเอาเงิน 17,629 ล้านบาท จากที่ไหนมาจ่าย?
แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้ไม่ใช่เงินน้อยๆ ถ้าเอาไปสร้างตึก สตง. ใหม่ เราจะสร้างได้พร้อมกัน 8 ตึกเลย แถมยังมีเงินเหลือทอนด้วย ซึ่งกระบวนการบังคับจัดเก็บภาษีจะกลับไปเป็นหน้าที่ของทางสรรพากรอีกครั้ง
โดยปกติ คุณทักษิณก็จะต้องชำระภาษีตามจำนวนดังกล่าว โดยอาจเจรจาทำเรื่องขอลดเบี้ยปรับกับทางกรมสรรพากรได้ และค่าภาษีจำนวนนี้ก็อาจจะขอผ่อนได้ด้วย ส่วนจะต้องผ่อนกี่งวด งวดละกี่บาทก็ค่อยไปว่ากัน เพราะมีลำดับในการพิจารณาภายในกรมสรรพากรเองอยู่แล้ว
แต่ถ้าคุณทักษิณไม่ชำระก็จะไปสู่กระบวนการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อนำมาชำระค่าภาษีที่ค้างชำระต่อไป ถ้าทรัพย์สินอยู่ต่างประเทศ ทางการไทยอาจขอความร่วมมือตามไปยึดอายัดทรัพย์สินที่ต่างประเทศด้วย
18. คำพิพากษาศาลฎีกานี้ เป็นการวางรากฐานใหม่ว่าการวางแผนภาษีทำได้ตราบเท่าที่มีเหตุผลที่รับฟังได้มาสนับสนุนก็ยังพอยอมรับได้ แต่ถ้าไม่เห็นเจตนาอื่นเลยนอกจากแค่จะหลบเลี่ยงภาษี ศาลมองว่าขาด “เหตุผลทางเศรษฐกิจ“ ก็จะไม่สนใจธุรกรรมนั้นแต่จะมองไส้ในเลยว่าสาระสำคัญเป็นอย่างไรกันแน่ ซึ่งแนวคิดนี้ในทางทฤษฎีเรียกว่า หลักทั่วไปของการป้องกันการเลี่ยงภาษี (General Anti-Avoidance Rule: GAAR)
หลักคิดเรื่อง GAAR มีหลายประเทศอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย จีน เยอรมัน หรือ อินเดีย ก็ใช้หลักนี้ ในเชิงวิชาการเลยน่าสนใจว่าคำพิพากษาศาลฎีกานี้เป็นหมุดหมายว่าประเทศไทยยอมรับ GAAR มาอยู่ในการพิจารณาคดีภาษีอากรในอนาคตแล้วใช่มั้ย (ตอนผมเรียก ป.เอก กฎหมายภาษี ทำดุษฎีนิพนธ์เรื่อง GAAR พอดี) ถ้าใช่ จะทำให้การวางแผนภาษีของคนรวยแบบ agressive tax planning อาจจะเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ และต้องปรับแผนการวางแผนภาษีกันใหม่รึเปล่า
19. คนไทยได้อะไรจากเรื่องนี้?
จากคดีนี้ อย่างน้อยมีเรื่องนึงที่เรายังสบายใจได้ คือ ศาลยังเห็นว่าเรายังมีสิทธิวางแผนภาษีได้เต็มที่ เพราะไม่มีกฎหมายฉบับไหนบอกให้เราต้องเสียภาษีให้แพงที่สุด เพียงแต่ว่าขอบเขตคือการวางแผนต้องอยู่บนพื้นที่ขาวสะอาด ไม่ทำอะไรเทาๆ เพราะจากนี้ไปมีความเป็นไปได้ว่าถ้าทำอะไรเทาแล้วไม่เห็นเจตนาอื่นนอกจากจะหลบภาษีนี้ จากนี้ไปอาจจะรอดยากมาก
เราคงได้ถกเถียงกันต่อว่าการวางแผนภาษีแบบ "ไม่ขาดคุณธรรมทางภาษี" หน้าตาควรเป็นแบบใด ปรับใช้กับทุกคนทุกตระกูลด้วยหรือไม่
ใจนึงรู้สึกคิดถึง ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร (คุณพ่อของคุณดิว วีรวัฒน์ วลัยเสถียร) ซึ่งเป็นมือวางแผนภาษีของดีลชินคอร์ปให้คุณทักษิณ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่น่าจะได้ฟังความเห็นอีกด้านของท่านด้วยว่าการวางแผนภาษีครั้งนั้นมีคุณธรรมทางภาษีอย่างไร ศาลตัดสินได้เหมาะสมหรือไม่
คดีนี้คือหนึ่งในคำพิพากษาภาษีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และคงเป็นบรรทัดฐานใหม่ของคดีหลีกเลี่ยงภาษีอีกนานหลายสิบปี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี