ฉบับใหม่ขอ‘2 แข็ง’ แก้ รธน.ยังไปต่อได้ แม้‘นายกฯ’ไม่รอดซักฟอก

ฉบับใหม่ขอ‘2 แข็ง’ แก้ รธน.ยังไปต่อได้ แม้‘นายกฯ’ไม่รอดซักฟอก

วันพฤหัสบดี ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 21.09 น.

แก้ รธน.ยังไปต่อได้ แม้"นายกฯ"ไม่รอดซักฟอก แนะฉบับใหม่ขอ"2 แข็ง"ทั้งเสถียรภาพการเมือง-กลไกตรวจสอบ

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่ห้องประชุมชั้น B1 อาคารรัฐสภา ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในวงเสวนา “Policy Face-Off : นโยบายชนความจริง” ในตอนหนึ่งระบุว่า หากมองปัญหาของประเทศทุกวันนี้ ทั้งข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา การเจรจาภาษีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไปคุยกับใครก็ได้ในโลกนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือเสถียรภาพของรัฐบาล


ซึ่งเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นประเด็นสำคัญที่ควรทำให้รัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะร่างขึ้นใหม่เน้นในเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่ 2 ปี มีนายกรัฐมนตรี 3 ท่าน หรืออาจจะมีท่านที่ 4 ก็ได้ ส่วนการที่พรรคประชาชนสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตาม MOA แล้วบอกว่า ณ วันนั้นไม่มีทางเลือก ตนยังยืนยันว่ามีทางเลือกคือพรรคประชาชนเข้าร่วมรัฐบาลแล้วอยู่ให้ครบอายุของสภาผู้แทนราษฎร คือประมาณ 2 ปีกว่า กล่าวคือ จริงๆ แล้วพรรคประชาชนจะอยู่ร่วมกับพรรคใดก็ได้ แต่หัวใจสำคัญที่สุดของโลกทุกวันนี้คือเสถียรภาพ

ทั้งนี้ แม้จะเป็นความเห็นที่คนไม่ชอบแต่ตนก็จำเป็นต้องพูด เพราะเมื่อนำประเด็น MOA มาเป็นตัวตั้งแล้วเอาเรื่องรัฐธรรมนูญมาเป็นหัวใจสำคัญ ก็ต้องบอกว่าเราอยู่ในหลุมพรางของความพยายามจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับมายาวนานมาก คำถามคือแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับกับแก้รายมาตรา เหตุใดจึงแก้เป็นรายมาตราไม่ได้ อย่างรัฐธรรมนูฐฉบับ 2540 ก็มาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2534 จำนวน 6 ครั้ง จนเกิดการสร้างบรรยากาศของความพยายามอย่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2540 จึงได้ฉันทามติในประเทศระดับหนึ่ง จนได้รัฐธรรมนูญที่ถูกเรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

หรือหากไปดูประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซียปัจจุบันก็ใช้รัฐธรรมนูญที่ร่างโดยเผด็จการแล้วก็แก้แบบรายมาตรา หรือชิลีก็ใช้รัฐธรรมนูญที่ร่างมาตั้งแต่ยุคสมัยของประธานาธิบดี ออกุสโต ปิโนเชต์  คำถามคือมีปัญหาอะไรหากจะแก้รัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา เพราะมีบางมาตราที่แม้ยังต้องใช้เสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) แต่ก็สามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องทำประชามติ หากมีแรงผลักดันจากสังคมให้อยากแก้ อาทิ มาตรา 90 ที่เกี่ยวข้องกับบัตรเลือกตั้ง

“ประเด็นนี้ต่างหากที่ถ้าเกิดเรามองด้วยสายตาแบบนักวิชาการ อยู่บนหอคอยงาช้างและยอมรับ แต่สิ่งที่เราอยากเห็นคือเราอยกาเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แก้ปัญหาของประชาชน ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญสำคัญไหม? สำคัญ!..แต่มันมีช่องทางอื่นที่ทำได้ ดังนั้นทุกวันนี้เรามาเถียงกันเรื่องจะแก้รัฐธรรมนูญ จะยุบสภา จะบอกว่าไม่ได้จับรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกันอีกก็ใช่เหมือนกัน อันนั้นคือประเด็นแรกที่อยากจะพูดให้เห็นชัดๆ ว่าเรามาอยู่ในสถานการณ์ในวันนี้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ แต่เราอยู่กับมันไปแล้ว” ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าว

ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลควรมาคุยกันว่าจะแก้ปัญหาชายแดนอย่างไรให้มีความต่อเนื่อง นโยบายอะไรที่ประชาชนจะได้ประโยชน์ แต่ตอนนี้เราคุยกันคนละเรื่องเพราะรัฐบาลอยู่ได้เพียง 4 เดือน จะทำนโยบายอะไรยาวๆ ก็ไม่ได้ ส่วนประแด็นการยุบสภาที่มีคำถามว่ารัฐบาลมีอายุ 4 เดือน การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจถือว่าเป็นธรรมหรือไม่เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่หากพูดในหลักรัฐศาสตร์ฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ไม่ว่ารัฐบาลจะกี่เดือนก็ตาม ซึ่งก็ต้องพาดพิงพรรคประชาชน เพราะเวลาทำ MOA แล้วอ้าง Confidence and Supply

ซึ่ง Confidence คือความไว้วางใจ สัญญาว่าจะไว้วางใจ แต่แน่นอนว่าไม่ไว้วางใจก็ได้หากพรรครัฐบาลกระทำการอันสร้างความไม่ไว้วางใจ หากพูดในแง่หลักการฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ รัฐบาลก็ต้องเดินหน้ายอมรับการซักฟอก และหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นโดยไม่มีการยุบสภา สมมติว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ประกาศเดินหน้าฟังการอภิปราย สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือหากเสียงข้างมากยังไว้วางใจรัฐบาลก็อยู่ต่อ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไปต่อ

แต่ถึงเสียงข้างมากในสภาจะไม่ไว้วางใจ ซึ่งนายอนุทินไม่สามารถยุบสภาได้ และวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนายอนุทินก็หมดลง สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคือการเลือกนายกฯ คนใหม่ ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังดำเนินต่อไปได้เพราะสภาผู้แทนราษฎรยังคงอยู่ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจว่าเมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สภาฯ ยังอยู่ต่อ การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังเดินต่อ มีเพียงนายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เท่านั้นที่จบลงและมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ นี่คือกระบวนการตามระบบรัฐสภา ดังนั้นการที่บอกว่าหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่ได้ไปต่อ อันนี้คือผิด ข้อมูลนี้สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact - Check) ได้

ส่วนที่มีคำถามว่า ระหว่างปี 2535 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ไปจนถึงปี 2540 ที่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือ รธน. 2540 บรรยากาศสังคมไทยเวลานั้นเป็นอย่างไร และการที่เน้นเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง ณ เวลานี้จะทำให้เกิดกระแสความกังวลคำว่าเผด็จการรัฐสภาหรือไม่ ประเด็นนี้ตนต้องบอกว่าหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 สังคมมีฉันทามติสูงทีเดียว ข้อแรกคือไม่ต้องการให้ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมือง หากเทียบกับบรรยากาศในปัจจุบันที่กระแสทหารนิยมกลับขึ้นมาแล้วพรรคการเมืองบางพรรคก็ฉกฉวยกระแสนั้นด้วย

“ประเด็นคือเมื่อไม่ต้องการให้ทหารเข้ามา สิ่งที่รัฐธรรมนูญ 2540 ตั้งธงเอาไว้ก็คือรัฐบาลเข้มแข็ง พรรคการเมืองเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ ซึ่งพอร่างมาก็ได้รัฐบาลเข้มแข็งจริงๆ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง คือเข้มแข็งของ 2540 ต้องชี้ให้เห็นเพราะรัฐธรรมนูญ 2540 บอกว่าถ้าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีจะต้องมีเสียง 2 ใน 5 ซึ่งตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ได้ไม่ถึง ก็อภิปรายนายกรัฐมนตรีไม่ได้ นี่เป็นตัวอย่างของการเขียนรัฐธรรมนูญที่บางครั้งก็ล้ำเส้นเกินไป” ศ.ดร.สิริพรรณ ระบุ

ศ.ดร.สิริพรรณ ยังกล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องรัฐบาลเข้มแข็งก็ยังมีเรื่องเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น การร่วมกันลงชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายหรือเพื่อถอดถอนนักการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ได้ถอดกลไกนี้ออกไป ดังนั้นจะเห็นว่าการขยับจากเหตุการณ์พฤษภา 2535 มาจนถึงการมีรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 มีเหตุการณ์สนับสนุนข้อเรียกร้อง และระหว่างห้วงเวลานั้นก็มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2534 มาถึง 6 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งที่มีการแก้ไชรัฐธรรมนูญก็มีการสื่อสารไปยังประชาชน ประเด็นนี้ยังไม่เห็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน

ส่วนเรื่องการตรวจสอบในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 คือการให้มีองค์กรอิสระ แต่หากไปดุ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ได้อยู่ในหมวดองค์กรอิสระแต่อยู่ในหมวดรัฐสภา เพราะมองว่าทำหน้าที่เสริมรัฐสภา ดังนั้นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และ 2560 แล้วย้าย กกต.มาอยู่ในหมวดองค์กรอิสระ ทำให้อำนาจหน้าที่บารมีเปล่งประกาย นี่เป็นสิ่งที่ต้องทบทวนในการร่างรัฐธรรมนูญครั้งต่อไป ทั้งนี้ ตนย้ำว่าหากมองไปทั้งโลก ไม่มีประเทศไหนเลยที่รัฐบาลล้มลุกคลุกคลานแล้วจะสามารถดำเนินนโยบายแล้วรับผิดชอบต่อประชาชนได้

“ญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นตัวอย่างอยู่เหมือนกัน ญี่ปุ่นยังเป็นประชาธิปไตยเข้มแข็งอยู่แต่เปลี่ยนรัฐบาลบ่อยมาก แล้วดูเศรษฐกิจญี่ปุ่น ดูค่าเงินเยนสิ! ตอนนี้ทุกคนใครๆ ก็อยากไปญี่ปุ่นเพราะตอนนี้เหลือ 20 บาท เราถึงไปเต้นที่ฟูจิได้ ดังนั้นไม่ว่าเราจะชอบรัฐบาลหรือรัฐบาลใดก็ตาม เสถียรภาพเป็นเรื่องที่เป็นหัวใจ พูดง่ายๆ มันเป็นคลาสสิก แต่การมีเสถียรภาพไม่ได้หมายความว่าเราจะละเลยการตรวจสอบ ส่วนตัวอยากจะให้เป็น 2 แข็ง คือรัฐบาลก็แข็ง และการตรวจสอบก็แข็ง แต่การตรวจสอบนั้นต้องกลับมายึดโยงกับประชาชน ไม่ใช่การตรวจสอบที่โอนอำนาจไปให้องค์กรอิสระซึ่งตรวจสอบองค์กรอิสระไมได้” ศ.ดร.สิริพรรณ กล่าว

ด้าน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า บรรยากาศช่วงหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ไปจนถึงการมีรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 แตกต่างจากบรรยากาศในปัจจุบันอย่างมาก โดยเวลานั้นมีการชุมนุมที่ถูกเรียกว่าเป็นม็อบของชนชั้นกลาง ขณะที่เมื่อย้อนไปยังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 จะเป็นการชุมนุมของนักศึกษา ซึ่งเหตุการณ์ปี 2535 ที่เป็นม็อบของชนชั้นกลาง สะท้อนภาพของคนที่จ่ายภาษีในระบอบประชาธิปไตยรู้สึกว่ารัฐบาลทำให้จนหรือรวยก็ได้ จึงออกไปต่อสู้และเกิดแนวคิดเรื่องการสร้างกติกาที่เป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตย

“แต่บรรยากาศที่มันต่างกับตอนนี้ คือมันมีคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย มีเรื่องการชูธงเขียว แล้วตอนนั้นคนออกมารณรงค์รัฐธรรมนูญเข้มแข็งที่สุดคือ คุณอานันท์ ปันยารชุน แล้วสร้างกระบวนการเคลื่อนไหวที่มันลึกไปถึงทุกจังหวัดทั่วประเทศ มันเกิดคำว่ารัฐธรรมนูญกินได้ตอนนั้น ดังนั้น บรรยากาศประชาธิปไตย เรื่องแก้รัฐธรรมนูญก่อนมาเป็น 2540 หลัง 2535 มันเข้มข้นแล้วมันลึกไปในเชิงเนื้อหา มันเกิดคนแต่ละกลุ่มในสังคมออกมาเรียกร้องเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ แล้วคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญตอนนั้นต้องจัดกรรมการรับฟังความคิดเห็นทั่วไปด้วย ดังนั้นเที่ยวหน้าผมไม่แน่ใจว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง บรรยากาศแบบนั้นเกิดไหม?” นายสาทิตย์ กล่าว

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top