วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Phil Saengkrai กรณีนายสม รังสีจะยื่นฟ้องไทยในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และจะนำเรื่องเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในฐานะ "รัฐบาลอิสระของกัมพูชา"
โดย ดร.ภัทรพงษ์ ระบุว่า จากข่าวนายสม รังสีจะยื่นฟ้องไทยในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และจะนำเรื่องเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในฐานะ "รัฐบาลอิสระของกัมพูชา" นั้น มีคำถามว่า สามารถทำได้หรือไม่
ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ มีประเด็น "การเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของรัฐ" ว่าใครจะเป็นผู้แทนของรัฐในเวทีระหว่างประเทศ สามารถกระทำการต่างๆ ในนามของรัฐได้
ในกรณีที่มีสองฝ่ายหรือสามฝ่ายต่างก็อ้างว่าเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของรัฐ หลักกฎหมายระหว่างประเทศระบุว่า ให้พิจารณาว่าฝ่ายไหนมีอำนาจในการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ (effective control) โดยวิเคราะห์จากอำนาจในการควบคุมดินแดนทั้งหมด + ท่าทีของประชาชนโดยทั่วไปว่าเชื่อฟังฝ่ายไหน + ความต่อเนื่องและเสถียรภาพ
หาก "รัฐบาลอิสระของกัมพูชา" ที่นำโดยสม รังสิเดินหน้ากระบวนการในศาล ICJ และศาล ICC จริง ศาลก็จะพิจารณาหลักเกณฑ์เรื่อง effective control นี้ ซึ่งดูข้อเท็จจริงอย่างผิวเผิน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า รัฐบาลฮุนมาเน็ตที่อยู่ในประเทศ และควบคุมคนในประเทศได้ มี effective control มากกว่าแน่ๆ
ในกรณีของ ICJ ไม่มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนที่กำกับเรื่องการเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของรัฐ แต่เคยมีประเด็นปัญหานี้เกิดขึ้นบ้าง ในกรณีที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล เช่น กรณีของฮอนดูรัส และเมียนมา
ตัวอย่างล่าสุดที่น่าจะนำมาเทียบเคียงได้ดี คือ คดีโรอิงญาที่แกมเบียฟ้องเมียนมา
แกมเบียยื่นฟ้องปี ค.ศ. 2019 หลังจากนั้น มีการรัฐประหารในเมียนมา ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนซึ่งตั้งรัฐบาล NUG ต่างก็ยื่นเรื่องเข้ามาในศาลเพื่อขอเป็นผู้แทนของ "รัฐเมียนมา" ในคดี ฝ่ายแกมเบียบอกว่า ศาลจะเลือกฝ่ายใดก็ไม่ติดขัด ในที่สุด ศาลวินิจฉัยให้ฝ่ายทหารเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเมียนมา และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อ
ในส่วนนี้ ไม่มีเอกสารใดๆ ที่ปรากฏออกสู่สาธารณะว่า ศาลใช้หลักเกณฑ์ แต่น่าจะอนุมานได้ว่า หลักเกณฑ์ข้อหนึ่งที่ศาลใช้คือ effective control และ ณ เวลานั้น ฝ่ายทหารมีอำนาจในการควบคุมมากกว่า NUG ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น
ดังนั้น หาก ICJ ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับกรณี "รัฐบาลอิสระของกัมพูชา" ศาลก็ไม่น่าจะรับฟ้อง (ยังไม่รวมประเด็นปัญหาว่า ศาลมีเขตอำนาจหรือไม่)
ส่วนในกรณี ICC จะซับซ้อนมากกว่า เพราะประชาชนทั่วไป สามารถส่งเรื่องให้อัยการได้ โดยไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ดังนั้น นายสม รังสิสามารถส่งเรื่องให้อัยการได้เลย โดยไม่ต้องอ้างว่าเป็นรัฐบาล
แต่ยุทธวิธีของนายสม รังสี คือต้องการ "ยืมมือ" อัยการหรือศาล ICC เข้ามารับรองว่า "รัฐบาลอิสระของกัมพูชา"
ยุทธวิธีลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นบ้างอยู่เนืองๆ ในศาล ICC เช่น กรณีของเวนซูเอล่า และเมียนมา
ถ้าจะยกตัวอย่างกรณีของ NUG
เมียนมาไม่ได้เป็นภาคีในธรรมนูญกรุงโรม แต่หลังจากที่ฝ่ายทหารเมียนมาเข่นฆ่าผู้คนในประเทศที่ลุกขึ้นต่อต้านการรัฐประหาร NUG ก็ยื่นเรื่องเพื่อประกาศรับรองเขตอำนาจศาล โดยอ้างว่าเป็นรัฐบาลที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเมียนมา
แต่จนถึงปัจจุบัน ศาลก็ยังเงียบ ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ ซึ่งก็อนุมานได้ว่า ศาลน่าจะใช้หลักเกณฑ์ effective control เช่นกัน
หากนำมาเทียบกับกรณี"รัฐบาลอิสระของกัมพูชา" นายสม รังสีอาจจะดำเนินการยื่นเรื่องในฐานะรัฐบาลของกัมพุชา ตามข้อ 14 ของธรรมนูญกรุงโรม (referral of a situation be a State party) แต่หากดำเนินการเช่นนี้ อัยการก็น่าจะเงียบเช่นกัน เพราะขาด effective control
สรุป หาก "รัฐบาลอิสระของกัมพูชา" ซึ่งนำโดยนายสม รังสิเดินหน้าในศาล ICJ และ ICC จริง ทั้งศาลและอัยการก็ไม่น่าจะเข้ามาตอบรับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี