วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ชำแหละ 9 สถานการณ์ที่ฝ่ายค้าน‘เดินเกมผิดจังหวะ’ กับ 4 มิติ‘อนุทิน’ท้ายุบสภา 12 ธ.ค.

ชำแหละ 9 สถานการณ์ที่ฝ่ายค้าน‘เดินเกมผิดจังหวะ’ กับ 4 มิติ‘อนุทิน’ท้ายุบสภา 12 ธ.ค.

วันศุกร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 17.48 น.

ชำแหละ 9 สถานการณ์ที่ฝ่ายค้าน‘เดินเกมผิดจังหวะ’ กับ 4 มิติ‘อนุทิน’ท้ายุบสภา 12 ธ.ค.

21 พฤศจิกายน 2568 นายอัษฎางค์ ยมนาค หรือ “เอ็ดดี้” นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “9 สถานการณ์ที่ฝ่ายค้านกำลัง “เดินเกมผิดจังหวะ” เล่นเกมที่ตนเองคิดว่าชนะแต่สุดท้ายแพ้ทางยุทธศาสตร์” ระบุว่า...


9 สถานการณ์ที่ฝ่ายค้านกำลัง “เดินเกมผิดจังหวะ”

“เล่นเกมที่ตนเองคิดว่าชนะแต่สุดท้ายแพ้ทางยุทธศาสตร์”

ฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ในเร็วๆ นี้ โดยฝ่ายค้านให้เหตุผลว่ารัฐบาลขาดความชอบธรรมและไม่สามารถแก้ปัญหาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม นายกฯ อนุทินยืนยันว่าหากฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลจะยุบสภาทันที ไม่รอให้ถึงกำหนดเดิมสิ้นเดือนมกราคม 2569 โดยระบุพร้อมยุบสภาได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568

นี่คือกรณีการเมืองระดับ “เชิงยุทธศาสตร์” ที่ซ่อนเกมซ้อนเกมอยู่หลายชั้นกว่าที่เห็นบนหน้าข่าว ถ้าสวมหมวกนักรัฐศาสตร์มองภาพนี้ จะเห็น 4 มิติสำคัญ: อำนาจ, กติกา, การคุม narrative และจังหวะทางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง

ขอวิเคราะห์ให้เห็นโครงสร้างทางการเมืองทั้งหมดแบบลึกแต่เล่าให้อ่านง่าย

1. ทำไมอนุทิน “ท้า…พร้อมยุบสภา 12 ธ.ค.” ทั้งที่เคยประกาศ 31 ม.ค.?

นี่ไม่ใช่ความหุนหันพลันแล่น แต่เป็นการ ตัดเกมฝ่ายค้าน และ คุมจังหวะเลือกตั้ง ในคราวเดียว

ฝ่ายค้านยื่น ม.151 = อภิปรายไม่ไว้วางใจแบบมีมติ

รัฐบาลเสียงข้างน้อย = แพ้แน่นอน

2. ดังนั้นฝ่ายค้านตั้งใจ “บีบ” ให้อนุทินต้องรับการซักฟอกทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะล้ม เพราะฉากที่ฝ่ายค้านรุกกลางสภาจะสร้างความเสียหายทางภาพลักษณ์ต่อรัฐบาลสูงมาก

อนุทินจึงกลับเกมด้วยการประกาศว่า:

“ถ้ายื่น ม.151 เมื่อไหร่ ผมยุบสภาเมื่อนั้น”

มันคือการทำลายเวทีที่ฝ่ายค้านต้องการสร้าง

เหมือนนักมวยที่รู้ว่าขึ้นชกแล้วแพ้ เลยถอดนวมทิ้งบนเวทีทันที

จังหวะวันที่ 12 ธ.ค. เป็นสัญลักษณ์ว่า:

ฝ่ายค้านจะใช้สภาเป็นเวทีล้มรัฐบาล?

→ ผมยุบก่อน คุณยิงใส่ผมไม่ได้

รัฐบาลเสียงน้อยจะรอให้ถูกประณามในสภา?

→ ไม่มีวัน

3. นี่คือการยึดพื้นที่นำเกมกลับมาไว้มือรัฐบาลทันที

ฝ่ายค้านอยากวาดภาพว่า:

→ “รัฐบาลกลัวการตรวจสอบ จึงหนียุบสภา”

รัฐบาลอยากวาดภาพว่า:

→ “ฝ่ายค้านทำให้ประเทศเสียโอกาส ผมยุบเพื่อให้ประชาชนตัดสินเอง”

นี่คือ สงครามตีความกฎหมายเพื่อคุมความชอบธรรม ไม่ใช่แค่เรื่องตัวบท

4. ทำไมอนุทินพูดชัดว่า “ต่อให้ตอบดีแค่ไหนก็แพ้”?

นี่คือการกำหนดกรอบการรับรู้ของประชาชนให้เข้าใจว่า:

“การแพ้ในสภา = ไม่ใช่เพราะบริหารล้มเหลว แต่เป็นเพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยตามโครงสร้าง”

เพื่ออะไร?

เพื่อป้องกันการตีความว่า แพ้เพราะถูกเปิดโปง

และเปลี่ยนเรื่องเล่าเป็นว่า แพ้เพราะคณิตศาสตร์ทางการเมือง

5. ผลลัพธ์คือ:

• ปิดทางการโจมตีเชิง moral blame

• ลดความเสียหายภาพลักษณ์

• เบี่ยงจากสนาม “เนื้อหาอภิปราย” ไปสู่สนาม “โครงสร้างเสียง”

นี่คือการจัดกรอบให้ผู้ชมเห็นการเมืองผ่านเลนส์ที่รัฐบาลต้องการ

6. ทำไมอนุทิน “พูดยืดยาวเรื่องภูมิรัฐศาสตร์–เรดาร์โลก–SDGs”?

แล้วมันสัมพันธ์กับเกมยุบสภายังไง?

นี่ไม่ใช่การพูดลอยๆ แต่เป็นการวาด “ภาพใหญ่ของผลงานและภารกิจ” ก่อนเข้าฤดูเลือกตั้ง

สัญญาณสำคัญ:

• ใช้ความสัมพันธ์ต่างประเทศเป็น “ใบสมัครนายกฯ สมัยหน้า” เขาพยายาม frame ว่าเขาเป็นผู้นำที่พาประเทศ “กลับเข้าจอเรดาร์โลก”

• เปิดเรื่องเล่า ว่าไทยกำลังอยู่ในจังหวะเปลี่ยนผ่านโลก

→ ต้องการผู้นำที่ทำงานบนเวทีโลกได้

→ ซึ่งเขาเสนอว่า “เขา” คือคนคนนั้น

• ปูฐานความชอบธรรมสำหรับการยุบสภาเร็ว

เพราะสามารถอธิบายว่า “ผมทำงานนอกประเทศจนได้โอกาสใหม่ๆ ให้ประเทศ ถ้าให้มาตามเกมการเมืองในสภา ประเทศเสียประโยชน์”

นี่คือการเอานโยบายต่างประเทศมาสร้างความชอบธรรมทางการเมืองล่วงหน้า

7. เกมลึก: ทำไมอนุทินอยากยุบไวกว่าเดิม?

สามเหตุผลใหญ่

• การยุบก่อน ม.151 จะ “ตัดกรรม” พรรคฝ่ายค้าน

เพราะฝ่ายค้านหวังสร้างความเสียหายจากการซักฟอก

แต่ถ้ายุบก่อน → ฝ่ายค้านเสียเวที รบไม่มีสนาม

• จังหวะ 12 ธ.ค. ทำให้พรรคตัวเองได้ “วิ่งก่อน”

การเลือกตั้งคือเกมจังหวะ ใครเปิดก่อน คนนั้นคุม agenda ช่วงต้น

• รัฐบาลเสียงส่วนน้อยอยู่ยาวคือความเสี่ยง

อยู่ทุกวันมีค่าใช้จ่ายทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ

การปิดเกมไว้เร็วที่สุดคือวิธีลดต้นทุน

8. เรื่องนี้บอกเราว่า:

• การเมืองไทยเปลี่ยนจาก “ศึกนโยบาย” เป็น “ศึกจังหวะ”

• สภาถูกใช้เป็นสถานที่สร้าง “เรื่องเล่า”มากกว่าเป็นที่แก้ปัญหา

• นายกฯ เข้าใจว่าความชอบธรรมในยุคนี้ไม่ได้เกิดจากเสียงในสภา แต่เกิดจาก

– ท่าทีในเวทีโลก

– ความรู้สึกว่า “ผู้นำทำงาน”

– ความเร็วในการตัดสินใจ

นั่นคือเหตุผลที่อนุทินย้ำภาพว่าเขาเป็นนายกฯ ที่ “ไทยกลับเข้าเรดาร์โลก” และ “ทุกประเทศอยากคุย”

เพราะนี่คือทุนทางการเมืองที่ฝ่ายค้านสามารถซักฟอกได้ยากที่สุด

9. สรุป

การท้าฝ่ายค้านของอนุทินไม่ใช่ความดื้อ แต่เป็นยุทธศาสตร์ตัดเกม

ยุบเร็ว = แย่งจังหวะ

โยนเกมกลับไปให้ประชาชน = ตัดเวทีซักฟอก

วาดภาพผู้นำบนเวทีโลก = ใบสมัครเลือกตั้ง

ฝ่ายค้านได้เสียงทางคุณธรรม

ฝ่ายรัฐบาลได้จังหวะทางยุทธศาสตร์

นี่คือการเมืองไทยที่กำลังเปลี่ยนจาก “เกมในสภา” ไปเป็น “เกม ความชอบธรรมในสายตาประชาชนทั้งประเทศ”

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top