วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัย)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กค. เสนอว่า
1. โดยที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าภาคครัวเรือนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม อันจะช่วยให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนด้านพลังงานและสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) เห็นควรดำเนินการออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัย ตามมติคณะรัฐมนตรี (24 มิถุนายน 2568)
2. ต่อมา พน. โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้เชิญ กค. (กรมสรรพากรและสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประชุมทบทวนแนวทางการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัยด้วยมาตรการภาษี เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม
พ.ศ. 2568 โดยมอบหมายให้กรมสรรพากร พิจารณาดำเนินการ ดังนี้
2.1 ควรขยายระยะเวลาสิ้นสุดจากวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2570 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2571 เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาสิ้นสุดของมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2.2 ควรเปลี่ยนแปลงหลักฐานประกอบการใช้สิทธิจากใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มแบบเต็มรูป (ในรูปแบบกระดาษหรือ e-Tax Invoice) เป็น e-Tax Invoice เท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่กรมสรรพากรในการตรวจสอบ
2.3 ควรให้ กฟน. และ กฟภ. ส่งข้อมูลการอนุญาตเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าในแต่ละปีให้กรมสรรพากรในวันที่ 15 มกราคมของปีถัดไป
3. กค. โดยกรมสรรพากรได้ดำเนินการยกร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง หรือวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานเป็นจำนวนร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าว (หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า) และยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้ออุปกรณ์และค่าติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 200,000 บาท โดยต้องมีหลักฐานใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มรูปแบบผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ของกรมสรรพากร ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2571 มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
|
มาตรการภาษี |
การได้รับสิทธิประโยชน์ |
หมายเหตุ |
|
1. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (ร่างมาตรา 4) |
• บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนในเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง หรือวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่มีผลต่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งได้รับการรับรองฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงานระดับ 5 ดาว จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าว (หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า) ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2571 • การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ต้องจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนในเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง หรือวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่มีผลต่อการประหยัดพลังงานดังกล่าวให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและต้องได้รับใบกำกับภาษีที่ได้จัดทำโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) |
• เฉพาะบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (6) (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร เช่น ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจการค้าและบริการ โดยเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเครื่องจักรและอุปกรณ์ ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน |
|
2. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัย (ร่างมาตรา 3) |
• บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้ออุปกรณ์และค่าติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ดาดฟ้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดบนอาคารที่อยู่อาศัย ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟน. หรือ กฟภ. ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 200,000 บาทตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2571 • การใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าซื้ออุปกรณ์และค่าติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) จำนวนไม่เกิน 1 ระบบตลอดระยะเวลาดังกล่าว และได้ 1 ครั้ง ในปีภาษีที่เชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าสำเร็จ โดยต้องไม่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน • การได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดา ต้องจ่ายเป็นค่าซื้ออุปกรณ์และค่าติดตั้งระบบ Solar Rooftop ให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและต้องได้รับใบกำกับภาษีที่ได้จัดทำโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) |
• เดิมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัย โดยกำหนดระยะเวลามาตรการ ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2570 และกำหนดเงื่อนไขการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ โดยต้องมีหลักฐานใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป (ในรูปแบบกระดาษหรือ e-Tax Invoice) |
|
3. เงื่อนไขการใช้สิทธิยกเว้นภาษี (ร่างมาตรา 5) |
• บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องไม่นำค่าใช้จ่ายไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรฉบับอื่นไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน และต้องไม่นำค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปใช้ในกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือกฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน |
|
4. กค. โดยกรมสรรพากรได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยคาดว่ามาตรการทางภาษีดังกล่าวจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ ดังนี้
4.1 มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและการอนุรักษ์พลังงาน จะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้รวมประมาณ 25,260 ล้านบาท โดยเฉลี่ย 4 ปี ปีละประมาณ 6,315 ล้านบาท [ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมประมาณ 450 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละประมาณ 131 ล้านบาท) และภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 24,810 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละประมาณ 6,200 ล้านบาท) แต่จะทำให้การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 220,000 ล้านบาท การใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศลดลงประมาณ 25,000 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งทำให้ต้นทุนการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้าลดลง 86,000 ล้านบาท และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงประมาณ 11 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
4.2 มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัย จะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมประมาณ 3,600 ล้านบาท โดยเฉลี่ย 4 ปี ปีละประมาณ 900 ล้านบาท แต่จะทำให้การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 20,250 ล้านบาท การจ้างงานเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 450 ตำแหน่ง ค่าไฟฟ้าในครัวเรือนลดลง 585 ล้านหน่วยต่อปี การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงปีละ 0.28 ล้านตัน และการนำเข้าLNG เพื่อผลิตไฟฟ้าลดลงปีละ 94,000 ตัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,300 ล้านบาท
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะเข็ม
วิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชาอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาฯ ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรแล้ว และได้แจ้งหลักสูตรการศึกษาดังกล่าว ต่อสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งได้พิจารณาความสอดคล้องของหลักสูตรดังกล่าวแล้ว ประกอบกับการดำเนินการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้เป็นไปตามข้อกฎหมายในข้อ 4.3
|
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อ สำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยาฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564 |
ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อ สำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยาฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... |
|
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้ เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชนครินทร์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564” ฯลฯ มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชนครินทร์ พ.ศ. 2552 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่ง ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชนครินทร์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ฯลฯ
มาตรา 7 สีประจำสาขาวิชา มีดังต่อไปนี้ (1) สาขาวิชาการบัญชี สีฟ้าอมเทา (2) สาขาวิชาการศึกษา สีฟ้า (3) สาขาวิชาเทคโนโลยี สีเขียวตองอ่อน (4) สาขาวิชานิติศาสตร์ สีขาว (5) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สีกรมท่า (6) สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สีชมพู (7) สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สีน้ำตาล (8) สาขาวิชารัฐศาสตร์ สีดำ (9) สาขาวิชาวิจิตรศิลป์ สีทอง และประยุกต์ศิลป์ (10) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สีเหลือง (11) สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สีแดงเลือดหมู (12) สาขาวิชาศิลปศาสตร์ สีแสด (13) สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ สีชมพูอมส้ม” |
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้ เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....” ฯลฯ มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชนครินทร์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2564 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ฯลฯ (7) สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มีปริญญาสามชั้น คือ (ก) เอก เรียกว่า “พยาบาลศาสตรดุษฎีบัณฑิต” (ข) โท เรียกว่า “พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “พย.ม.” (ค) ตรี เรียกว่า “พยาบาลศาสตรบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “พย.บ.” มาตรา 7 สีประจำสาขาวิชา มีดังต่อไปนี้ (1) สาขาวิชาการบัญชี สีฟ้าอมเทา (2) สาขาวิชาการศึกษา สีฟ้า (3) สาขาวิชาเทคโนโลยี สีเขียวตองอ่อน (4) สาขาวิชานิติศาสตร์ สีขาว (5) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สีกรมท่า (6) สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สีชมพู (7) สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ สีม่วง (8) สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สีกรมท่า (9) สาขาวิชารัฐศาสตร์ สีดำ (10) สาขาวิชาวิจิตรศิลป์ สีทอง และประยุกต์ศิลป์ (11) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สีเหลือง (12) สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สีแดงเลือดหมู (13) สาขาวิชาศิลปศาสตร์ สีแสด (14) สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ สีชมพูอมส้ม” |
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ ซึ่งสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรแล้ว และได้แจ้งหลักสูตรการศึกษาดังกล่าวต่อสำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งได้พิจารณาความสอดคล้องของหลักสูตร ดังกล่าวแล้ว ประกอบกับการดำเนินการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้เป็นไปตามข้อกฎหมายในข้อ 4.3
|
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชาอักษรย่อ สำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะและครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลพระนคร (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2568 |
ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... |
|
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชาอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร พ.ศ. 2551 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ฯลฯ
|
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชาอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร พ.ศ. 2551 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2560 และ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2568 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ฯลฯ (11) สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มีปริญญาสามชั้น คือ (ก) เอก เรียกว่า “ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “ศษ.ด.” และ “ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “ปร.ด.” (ข) โทเรียกว่า “ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต” ใช้อักษรย่อ “ศษ.ม.” (ค) ตรี เรียกว่า "ศึกษาศาสตรบัณฑิต" ใช้อักษรย่อ “ศษ.บ.” |
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติให้ในปีหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน และวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ในวันที่ 12 ธันวาคม โดยการเรียกประชุม ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ประกอบกับได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2568 กำหนดให้ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งสำหรับปี พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ดังนั้น สมควรที่จะให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองสำหรับปี พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568
|
ปีที่ |
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง |
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง |
|
1 |
3 กรกฎาคม 2566 - 30 ตุลาคม 2566 |
12 ธันวาคม 2566 - 9 เมษายน 2567 |
|
2 |
3 กรกฎาคม 2567 - 30 ตุลาคม 2567 |
12 ธันวาคม 2567 - 10 เมษายน 2568 |
|
3 |
3 กรกฎาคม 2568 - 30 ตุลาคม 2568 |
12 ธันวาคม 2568 - 10 เมษายน 2569 |
|
4 |
3 กรกฎาคม 2569 - 30 ตุลาคม 2569 |
12 ธันวาคม 2569 - 10 เมษายน 2570 |
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .…
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. ....
และร่างพระราชกฤษฎีกา ปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. ....
1. |ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2568)
2. ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอและให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
สลค. ขอเสนอว่า
1. ในคราวประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งหนึ่ง) เป็นพิเศษ
วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมได้พิจารณาและลงมติรับหลักการแห่ง
ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... [แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 156 เพิ่มเติมกรณีที่รัฐสภาต้องมีการประชุมร่วมกันและเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (นายพริษฐ์ วัชรสินธุ กับคณะ เป็นผู้เสนอ)] และร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... [แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 หลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (นายอนุทิน ชาญวีรกูล กับคณะ เป็นผู้เสนอ)] และตั้งกรรมาธิการขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการพิจารณา ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช.... และจะพิจารณาแล้วเสร็จเพื่อนำเสนอที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ตามมาตรา 256 (4) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในช่วงที่อยู่นอกสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ได้มีพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2568 และเมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้
สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภา พิจารณาในวาระที่สามต่อไป ตามมาตรา 256 (5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับเรื่องดังกล่าวเป็นกิจการอันเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาซึ่งมีความจำเป็นจะต้องได้รับการพิจารณาโดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา จึงมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ตามมาตรา 122 วรรคสามและวรรคสี่ที่บัญญัติให้เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกฤษฎีกา เรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญก็ได้ เพื่อเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ในช่วงระหว่างวันพุธที่ 10 และวันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม 2568 เพื่อให้รัฐสภาได้ประชุม ร่วมกันพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช ....
2. สลค. ได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่10 ธันวาคม 2568) และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2568) รวม 2 ฉบับ ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) ได้ตรวจพิจารณาและวางรูปแบบของร่างพระราชกฤษฎีกาไว้แล้ว
6. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ และให้ส่งร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วหากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภามิได้มีมติทักท้วง ให้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศใช้บังคับต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. 2564 เพื่อเพิ่มเติมรายชื่อพระราชบัญญัติและประเภทของใบอนุญาตที่สามารถดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตได้ (ในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว) จำนวน
99 ใบอนุญาต ภายใต้พระราชบัญญัติ 21 ฉบับ (ปัจจุบันมีเพียง 31 ใบอนุญาต ภายใต้พระราชบัญญัติ 11 ฉบับ) เช่น พระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 ได้แก่ ใบอนุญาตตั้งโรงรับจำนำ พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 เช่น ใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ใบอนุญาตขายยาแผนโบราณ พระราชบัญญัติ อาหาร พ.ศ. 2522 เช่น ใบอนุญาตนำหรือสั่งอาหารเข้ามาในราชอาณาจักรโดยกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตสามารถชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตได้ รวมถึงกำหนดให้ผู้อนุญาตจัดให้มีช่องทางสำหรับรองรับการชำระค่าธรรมเนียม เช่น จุดบริการรับชำระค่าธรรมเนียม ธนาคาร หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ กำหนดรายละเอียด วิธีการชำระค่าธรรมเนียม และประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ โดยหากหน่วยงานของรัฐใดไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้แจ้งเหตุผลพร้อมระยะเวลาที่คาดว่าจะแล้วเสร็จ ต่อคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้คำขอต่ออายุใบอนุญาตตามรายชื่อพระราชบัญญัติและประเภทของใบอนุญาตที่กำหนดเพิ่มเติมตามร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ซึ่งผู้รับใบอนุญาตได้ยื่นไว้ก่อนวันที่ร่างพระราชกฤษฎีกานี้จะมีผลใช้บังคับและยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้อนุญาต ผู้รับใบอนุญาตอาจชำระ ค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตได้โดยให้ดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมก่อนวันที่ใบอนุญาตจะสิ้นอายุลง อย่างไรก็ดี จำนวนใบอนุญาตที่กำหนดเพิ่มตามร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้แตกต่างไปจากจำนวนใบอนุญาตที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (25 กุมภาพันธ์ 2568) อนุมัติหลักการ (จำนวน 101 ใบอนุญาต) โดยได้เพิ่มเติมประเภทของใบอนุญาตให้ครบถ้วนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบอนุญาตจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 โดยการขายส่ง ใบอนุญาตจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 โดยการขายส่งตามกฎกระทรวงการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก หรือจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 พ.ศ. 2567 และตัดบางประเภทของใบอนุญาตออก เช่น ใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ (เนื่องจากเป็นใบอนุญาตที่ต้องอาศัยทักษะในการประกอบอาชีพซึ่งต้องผ่านการเข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตร มิใช่เป็นการประกอบอาชีพหรือประกอบกิจการต่อเนื่องกัน) ใบอนุญาตเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (เนื่องจากการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าวต้องเสนอ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดเพื่อพิจารณา) ทั้งนี้ การเพิ่มเติมรายชื่อพระราชบัญญัติและประเภทของใบอนุญาตตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นการยกระดับการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ลดภาระของประชาชนในการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต ทั้งด้านระยะเวลาและค่าใช้จ่าย รวมทั้งช่วยให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเนื่องจากสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ติดปัญหาการต่ออายุใบอนุญาต
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงสาธารณสุข เห็นชอบ/ไม่ขัดข้องในหลักการของร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้
7. เรื่อง ร่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อส่งเสริมโครงการสร้างพระสถูปเจดีย์
บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บริเวณพื้นที่พระมหาธาตุนภเมทนีดล นภพลภูมิสิริ จังหวัดเชียงใหม่ [ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. ....]
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างพระราชกฤษฎีการ่างกฎหมายตามมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อส่งเสริมโครงการสร้างพระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บริเวณพื้นที่พระมหาธาตุนภเมทนีดล นภพลภูมิสิริ จังหวัดเชียงใหม่ ที่กระทรวงการคลังเสนอ เป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาคหรือหักรายจ่ายจากการบริจาคได้ 1 เท่า สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทัพอากาศ เพื่อสนับสนุนโครงการสร้างพระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์ที่ 3 บริเวณพื้นที่พระมหาธาตุนภเมทนีดล นภพลภูมิสิริ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่เดิมที่กองทัพอากาศได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี (14 เมษายน 2530) โดยปัจจุบันมี 2 องค์สถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ได้แก่ พระมหาธาตุนภเมทนีดล (องค์ที่ 1) สร้างเมื่อปี 2530 และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ (องค์ที่ 2) สร้างเมื่อปี 2535 และให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สินหรือการขายสินค้า หรือสำหรับการกระทำตราสาร อันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่หน่วยงานดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2570 ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชน มีส่วนร่วมสนับสนุนการสร้างพระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บริเวณพื้นที่พระมหาธาตุนภเมทนีดล นภพลภูมิสิริ จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่ผู้เข้ามาสักการบูชาและเยี่ยมชมความสวยงาม จะได้เรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชน ตลอดจนสร้างโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้น
2. กระทรวงการคลังได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยมาตรการภาษีดังกล่าวทำให้สูญเสียรายได้ตลอดระยะเวลาดำเนินมาตรการประมาณ 10 ล้านบาท (งบประมาณในการก่อสร้างและดำเนินงานรวมประมาณ 400 ล้านบาท และคาดว่าจะได้รับบริจาคประมาณ 100 ล้านบาท) แต่จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในบริเวณพื้นที่พระมหาธาตุนภเมทนีดล นภพลภูมิสิริ จังหวัดเชียงใหม่ ประชาชนมีรายได้จากการท่องเที่ยวและทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวขยายตัวเพิ่มขึ้น
8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี วันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี วันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พ.ศ. .... ที่กระทรวงการคลังเสนอเป็นการกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ รวม 3 ชนิด ได้แก่ 1) เหรียญกษาปณ์ทองคำ ชนิดราคาสามหมื่นบาทประเภทขัดเงา 2) เหรียญกษาปณ์เงิน ชนิดราคาหนึ่งพันบาท ประเภทขัดเงา และ 3) เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคายี่สิบบาท ประเภทธรรมดา เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสครบ 100 ปี วันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ในวันที่ 20 กันยายน 2568 และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
ที่พระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรชาวไทยในห้วงเวลาที่ประเทศชาติมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ พระองค์ทรงมีพระหฤทัยอันมุ่งมั่นในการบำเพ็ญพระราชกรณีกิจ เพื่อความผาสุกของพสกนิกรและด้วยพระราชจริยวัตรอันงดงามเปี่ยมด้วยพระเมตตาเป็นที่เคารพรัก พระองค์ทรงอยู่ในความทรงจำของพสกนิกรชาวไทยตราบจนปัจจุบัน เพื่อเทิดพระเกียรติและเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่เยาวชนรุ่นหลังสืบไป ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกตามรูปแบบ
ที่นำความกราบบังคมทูลประกอบพระบรมราชวินิจฉัยแล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดทำเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวมาจากเงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของรัฐและการทำของประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. ... เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการผลิตสุราให้สอดคล้องกับมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. ... ที่กระทรวงการคลังเสนอ มีวัตถุประสงค์เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตผลิตสุราตามกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 ที่ออกตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 153 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 (ใช้บังคับเมื่อวันที่6 มิถุนายน 2568) และสอดคล้องกับบริบทของการประกอบธุรกิจผลิตสุราในปัจจุบัน และเพื่อส่งเสริม Soft Power อันเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยยังคงไว้ซึ่งหลักการในการบริหารการจัดเก็บภาษีให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้กระบวนการผลิตสุราไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมเกินสมควร มีกระบวนการที่เหมาะสม และสินค้าสุราที่ผลิตได้ต้องมีคุณภาพที่เป็นมาตรฐานและปลอดภัยต่อการบริโภค กระทรวงการคลังจึงได้ยกร่างกฎกระทรวงดังกล่าวขึ้น ซึ่งเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการผลิตสุรา โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.1 ยกเลิกนิยามของโรงอุตสาหกรรมสุราขนาดเล็กและโรงอุตสาหกรรมสุราขนาดกลางที่แยกประเภทของโรงอุตสาหกรรมผลิตสุราตามขนาดเครื่องจักรและกำลังการผลิตและกำหนดนิยามของการผลิตสุราเพื่อการค้า และเพิ่มเติมนิยามของการผลิตสุราที่มิใช่เพื่อการค้าขึ้นใหม่ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ยื่นคำขออนุญาตผลิตสุราสามารถยื่นคำขออนุญาตได้ตรงตามประเภทและลักษณะของการผลิตสุรา
1.2 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการยื่นคำขอรับใบอนุญาตและสถานที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต แบบคำขอรับใบอนุญาตและรูปแบบของใบอนุญาต การตรวจสอบและติดตามสถานะของใบอนุญาต การชำระค่าธรรมเนียม การขอรับใบอนุญาตผลิตสุราต่อเนื่องจากระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต (การขอรับใบอนุญาตผลิตสุราต่อเนื่องเดิมไม่กำหนดไว้) รวมทั้งการแจ้งเกี่ยวกับการอนุญาตโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
1.3 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตผลิตสุราที่มิใช่เพื่อการค้า ซึ่งมีหลักการอันเป็นสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้สามารถผลิตสุราเพื่อบริโภคเองในครัวเรือนได้โดยไม่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น เช่น กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้อื่น คำขอรับใบอนุญาตครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทยอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ สหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร รวมทั้งนิติบุคคลที่หุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นทุกคนเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทย รวมทั้งกำหนดรายละเอียดที่ต้องมีในคำขอรับใบอนุญาต เอกสารหลักฐานที่ใช้ประกอบในการยื่นคำขอ การตรวจสอบและการแก้ไขเพิ่มเติมคำขอ การจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานให้ถูกต้องครบถ้วน การจำหน่ายคำขอกรอบระยะเวลาในการพิจารณาคำขอกรอบการพิจารณาออกใบอนุญาต หลักเกณฑ์และวิธีการสั่งอนุญาต การแจ้งคำสั่ง การชำระค่าธรรมเนียม การกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติ รวมทั้งการสั่งไม่อนุญาตและการอุทธรณ์
1.4 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตการผลิตสุราเพื่อการค้า ซึ่งมีหลักการอันเป็นสาระสำคัญเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการอนุญาตผลิตสุราแช่และสุรากลั่นเพื่อการค้า เช่น กำหนดเกี่ยวกับประเภทใบอนุญาตผลิตสุรา ได้แก่ ใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ ใบอนุญาตผลิตสุราแช่ที่มีใช่สุราแช่ชนิดเบียร์ ใบอนุญาตผลิตสุรากลั่นชนิดสุราขาว (ประเภทที่ 1 ประเภทที่ 2หรือประเภทที่ 3) ใบอนุญาตผลิตสุรากลั่นชนิดสุราผสม สุราปรุงพิเศษ สุราพิเศษ และสุรากลั่นอื่นที่มิใช่สุราขาวและสุราสามทับ (ประเภทที่ 1 หรือประเภทที่ 2) และใบอนุญาตผลิตสุรากลั่นชนิดสุราสามทับ (ผลิตเพื่อขายในราชอาณาจักร ผลิตเพื่อส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือเพื่อนำไปใช้ในการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง) กำหนดคุณสมบัติของผู้ได้รับใบอนุญาตผลิตสุราแช่และสุรากลั่นเพื่อการค้า เช่น การเพิ่มเติมคุณสมบัติให้สหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร มีสิทธิขอรับใบอนุญาตผลิตสุราเพื่อการค้าได้ทุกชนิดและทุกประเภท การขยายช่องทางการจำหน่ายสุราแช่ชนิดเบียร์ ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต ให้สามารถบรรจุสุราแช่ชนิดเบียร์ที่ผ่านกระบวนการรักษาคุณภาพแบบเบียร์สดในภาชนะที่ออกแบบเป็นการเฉพาะ (ถัง Keg) เพื่อจำหน่ายนอกสถานที่ผลิตได้ การกำหนดผ่อนปรนเงื่อนไขสถานที่ตั้งโรงอุตสาหกรรม โดยให้โรงอุตสาหกรรมสุรากลั่นสามารถตั้งอยู่ห่าง
จากแหล่งน้ำสาธารณะน้อยกว่า 100 เมตรได้ หากมีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่อธิบดีประกาศกำหนด (เดิม ต้องตั้งอยู่ห่างจากแหล่งน้ำสาธารณะไม่น้อยกว่า 100 เมตร)
1.5 กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรฐานการผลิตสุราให้มีความชัดเจนและรัดกุมยิ่งขึ้นในหลายมิติ โดยคำนึงถึงมาตรฐานการผลิตสุราเป็นสำคัญ โดยกำหนดหลักการใหม่และยกเลิกข้อกำหนดเรื่องกำลังการผลิตขั้นต่ำดังกล่าวทั้งหมด (จากเดิมกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับกำลังการผลิตขั้นต่ำของโรงอุตสาหกรรมสุราบางประเภทไว้) และปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้มุ่งเน้นมาตรฐานการผลิตแทน เช่น โรงอุตสาหกรรมผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ ต้องมีเครื่องบรรจุแบบอัตโนมัติ เพื่อให้มาตรฐานการผลิตมีความสม่ำเสมอ โดยต้องมีกระบวนการฆ่าเชื้อเพื่อให้สามารถเก็บรักษาเบียร์ไว้ในขวดหรือกระป๋องในอุณหภูมิปกติได้ ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตเบียร์แบบบรรจุขวดหรือกระป๋องของประเทศไทยในปัจจุบัน ต้องมีบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะด้านการผลิตเบียร์เพื่อรับผิดชอบการควบคุมคุณภาพเบียร์ และมีเครื่องมือตรวจคุณภาพน้ำเบียร์ รวมถึงข้อกำหนดให้ต้องจัดผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งได้กำหนดประเภทใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์เพิ่มขึ้น โดยไม่มีข้อกำหนดให้การขอใบอนุญาตดังกล่าวต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแต่หากมีกำลังการผลิตถึงเกณฑ์ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ได้กำหนดบทเฉพาะกาลให้คำขอรับใบอนุญาตและใบอนุญาตผลิตสุราที่ออกตามกฎกระทรวง
การผลิตสุรา พ.ศ. 2565 ให้ถือเป็นคำขอรับใบอนุญาตและใบอนุญาตผลิตสุราที่มิใช่เพื่อการค้าหรือใบอนุญาตผลิตสุราเพื่อการค้าตามร่างกฎกระทรวงนี้
2. กระทรวงการคลังได้รับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกระทรวงดังกล่าวแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวในภาพรวม
3. โดยร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 153 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ที่บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกกฎกระทรวง จึงเข้าข่ายเป็นร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับนโยบายสำคัญที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ประกอบกับร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้จะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับภายใน 180วัน นับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2568 (วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ)ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 2 ธันวาคม 2568
10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
ดศ. เสนอว่า
1. โดยที่ปัจจุบันการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยการส่งข้อความหลอกลวงต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ เช่น หลอกให้กลัวโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐ หลอกให้ทำงานออนไลน์ หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน และการหลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้งปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้วิธีโทรหลอกลวงที่นับวัน มีการพัฒนาวิธีการ รูปแบบการหลอกลวงแบบใหม่ ที่ส่งผลเสียหายต่อประชาชน เศรษฐกิจและสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 บัญญัติให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ระงับการทำธุรกรรมของบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกใช้หรืออาจถูกใช้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือการกระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดำเนินคดีอาญาหรือเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการตรวจสอบต่อไป โดยกระบวนการพิจารณาตรวจสอบและคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเติม ที่กำหนดให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) มีหน้าที่รับและตรวจสอบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และเสนอคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณา เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมเห็นด้วยกับคำร้องที่สำนักงาน ปปง. ได้ตรวจสอบและรายงาน ให้ส่งพนักงานอัยการ ยืนฟ้องต่อศาลเพื่อพิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายตามกระบวนการต่อไป ซึ่งกระบวนการดังกล่าวมีหลายขั้นตอนและมีความล่าช้า ทำให้ผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาอย่างที่ควรจะเป็นและทำให้มีเงินที่คงค้างอยู่ในระบบการเงินเป็นจำนวนมาก
2. ต่อมาได้มีพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มาตรา 8/1 และมาตรา 8/2 ได้เพิ่มบทบัญญัติ เกี่ยวกับการคืนเงินแก่ผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อแก้ไขกระบวนการการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายให้เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ในการติดตามเพื่อคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายและเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องเร่งเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเร็ว ซึ่งกำหนดให้สำนักงาน ปปง. มีหน้าที่รับและตรวจสอบรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และให้สำนักงาน ปปง. เสนอคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายหากคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาเห็นด้วยกับคำร้องที่สำนักงาน ปปง. ได้ตรวจสอบและรายงานให้แจ้งธนาคารหรือสถาบันการเงินคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายโดยตรง
3. ปัจจุบันพบว่ามีเงินค้างในบัญชีที่มีการระงับช่องทางการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ไว้จำนวน 853,486 บัญชี เป็นมูลค่าเงินคงเหลือในบัญชี รวมทั้งสิ้น 3,076,368,582.21 บาท ที่รอการตรวจสอบ ดังนั้น เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการแก้ไขเยียวยาความเสียหายตามที่ควรจะเป็น จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. .... ที่กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ หน่วยงานของรัฐ สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจมีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการพิจารณาและการคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายให้ชัดเจน อันจะทำให้ผู้เสียหายหรือผู้ที่เกี่ยวข้องมีช่องทางในการได้รับเงินคืนหรือคัดค้านการคืนเงิน โดยมีกระบวนการพิจารณาที่รวดเร็ว รวมทั้งการจัดการกับเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ไม่ปรากฏผู้เสียหายหรือที่เหลือจากการคืน ซึ่งเป็นการนำเงินที่คงค้างจากการระงับการทำธุรกรรมที่รอการตรวจสอบกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจต่อไป และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนที่จะได้รับเงินคืนอย่างรวดเร็ว หากตกเป็นผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย
4. ร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
|
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ |
|
|
1. การรายงานข้อมูลการทำธุรกรรม ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี |
• กำหนดให้เมื่อพนักงานสอบสวนตรวจพบความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้ยึดหรืออายัดเงินในบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรม ไปยัง ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) เพื่อพิจารณาประกาศรายชื่อบัญชีหรือกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล ที่เกี่ยวข้อง และรายงานไปยังสำนักงาน ปปง. เพื่อพิจารณาคืนทรัพย์ให้ผู้เสียหายผ่านระบบที่กำหนด • กรณีที่สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจพบเหตุอันควรสงสัย ว่าบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์อาจเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ต้องรายงานข้อมูลการทำธุรกรรมไปยังสำนักงาน ปปง. เพื่อตรวจสอบ และหากยังไม่มีการยึดหรืออายัดเงินในบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ไว้ ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (เลขาธิการ ปปง.) มอบหมายให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจสอบต่อไป หากพบการกระทำความผิดให้ยึดหรืออายัดเงิน และรายงานไปยังสำนักงาน ปปง. เพื่อพิจารณาคืนทรัพย์ ให้ผู้เสียหายผ่านระบบที่กำหนด • กรณีที่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ปปง. พบเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้รายงานไปยัง ศปอท. เพื่อพิจารณาประกาศรายชื่อผู้เกี่ยวข้อง และหากพบว่า มีผู้เสียหาย ให้เสนอเลขาธิการ ปปง. พิจารณาคืนเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัล • ให้เลขาธิการ ปปง. มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายงานข้อมูลการทำธุรกรรม โดยหากพบว่ามีผู้เสียหายเกิดขึ้นให้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อพิจารณาคืนเงินหรือสินทรัพย์ หรือหากพบว่า บัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ใดไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ถอนการยึดหรืออายัดบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือเพิกถอนการระงับการทำธุรกรรมของผู้ที่เกี่ยวข้อง |
|
2.การยื่นคำร้องหรือคำร้องคำคัดค้านและการตรวจสอบคำร้องหรือคำร้องคำคัดค้าน |
• กำหนดให้ประกาศรายชื่อบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในราชกิจจานุเบกษาและสื่อของสำนักงาน ปปง. เพื่อแจ้งให้ผู้เสียหายยื่นคำร้อง พร้อมหลักฐานหรือยื่นคำร้องคัดค้าน ในกรณีเห็นว่าบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใน 90 วัน นับจากวันประกาศ และหากทราบผู้เสียหายและที่อยู่ชัดเจน ให้มีหนังสือแจ้งผู้เสียหายทราบโดยตรงด้วย • กำหนดรายละเอียดของข้อมูลบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา อย่างน้อยต้องประกอบด้วยข้อมูล ดังต่อไปนี้ 1. ชื่อ - นามสกุลของผู้ถือบัญชีหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ 2. เลขบัตรประจำตัวประชาชนหรือเบอร์โทรศัพท์ของผู้ถือบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ 3. เลขที่บัญชีเงินฝาก เลขที่บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์หรือเลขที่กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล 4. ชื่อสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจเจ้าของบัญชีเงินฝาก 5. พฤติการณ์หรือช่วงเวลาที่กระทำความผิดพอสังเขป • บุคคลที่อาจยื่นคำร้องหรือยื่นคำร้องคัดค้าน เช่น ผู้แทนโดยชอบธรรม (กรณีผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือสามีหรือภริยา • ข้อความที่ต้องระบุในคำร้อง และหลักฐานที่ต้องแนบ เช่น สำเนาคำพิพากษาให้ได้รับเงินคืนที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี • ช่องทางการยื่นคำร้องหรือคำร้องคัดค้าน เช่น ยื่นด้วยตนเอง ยื่นผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ • การออกเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้ดำเนินการ ตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ • กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคำร้องหรือคำคัดค้านหากถูกต้องครบถ้วนให้ออกใบรับรอง แต่หากขาดข้อมูลหรือเอกสารหลักฐานใด ให้แจ้งผู้ยื่นคำร้องหรือผู้ยื่นคำร้องคัดค้านดำเนินการแก้ไขและส่งเอกสารหลักฐานให้ถูกต้องครบถ้วน หากแก้ไขไม่ได้ในขณะนั้นให้บันทึกความบกบกพร่องพร้อมกำหนดระยะเวลา แล้วแจ้งให้ผู้ยื่นคำร้องหรือผู้ยื่นคำร้องคัดค้านทราบ |
|
3. การพิจารณาคืนเงิน หรือสินทรัพย์ดิจิทัล หรือชดใช้เงินคืนให้แก่ผู้เสียหาย |
• เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมและรวบรวม ข้อเท็จจริงของผู้เสียหายและผู้ที่เกี่ยวข้องเสร็จแล้ว ให้จัดทำรายงานพร้อมความเห็นเสนอเลขาธิการ ปปง. เพื่อขอความเห็นชอบในการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการธุรกรรม โดยในรายงานต้องระบุข้อเท็จจริง เหตุผล และความเห็นให้ดำเนินการคืนเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัลหรือชดใช้เงินคืนให้แก่ผู้เสียหาย • เมื่อคณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งให้คืนเงินหรือทรัพย์สินดิจิทัลหรือชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย หรือมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับคำร้องคัดค้านสำนักงาน ปปง. ต้องแจ้งให้ผู้เสียหายและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบพร้อมแจ้งสิทธิในการยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งภายใน 30 วัน ในกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว หากไม่มีการยื่นคำร้องภายในระยะเวลา ดังกล่าว พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถแจ้งให้สถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการตามคำสั่งได้ แต่หากมีการยื่นคำร้อง ให้สำนักงาน ปปง. รอผลค้าพิพากษาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด • การคืนเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัล หรือชดใช้เงินคืนตามคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการคืนเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัล ไปยังบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ • ในกรณีที่คณะกรรมการธุรกรรมเห็นว่าบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงิน อิเล็กทรอนิกส์ใดไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้แจ้ง ศปอท. เพื่อถอนการยึดหรืออายัด และให้มีหนังสือแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องทราบด้วย |
|
4. การจัดการเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัล กรณีไม่มีผู้เสียหาย |
• การเก็บรักษาและการจัดการเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่มีผู้เสียหาย หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมายื่นคำร้องหรือคำร้องคัดค้าน ในกรณีเป็นเงิน ให้นำเข้าฝากสถาบันการเงินตามที่เลขาธิการ ปปง. กำหนด หรือในกรณีเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ให้นำเก็บในบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เลขาธิการ ปปง. กำหนด • การเก็บรักษาเงินและดอกผลที่เกิดขึ้นจากเงินในบัญชีเงินฝากซึ่งเหลือจากการคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย หากไม่มีผู้เสียหายหรือผู้ที่เกี่ยวข้องยื่นคำร้องภายใน 10 ปี นับจากวันที่คืนหรือชดใช้เงินหรือประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้สำนักงาน ปปง. นำเงิน สินทรัพย์ดิจิทัล หรือดอกผลที่เหลือ ส่งเข้ากองทุนป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หากเจ้าของเงินมาขอรับคืนภายหลัง ต้องพิสูจน์ว่า มีเหตุสมควรที่ไม่สามารถมารับคืนภายในกำหนดเวลา |
5. โดยที่ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นหนึ่งในเหตุผลประกอบการเสนอพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ดังนั้น
จึงไม่เข้าข่ายเป็นกฎที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบก่อนการออกกฎตามกฎกระทรวงกำหนดร่างกฎที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ พ.ศ. 2568
เศรษฐกิจ-สังคม
11. เรื่อง การปรับปรุงมาตรการในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีในส่วนของการวางหลักประกันของนายจ้าง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีในส่วนของการวางหลักประกันของนายจ้าง และร่างประกาศที่เกี่ยวข้อง รวม 2 ฉบับ ได้แก่
(1) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่13 กุมภาพันธ์ 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 (ฉบับที่ ..)
(2) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 (ฉบับที่ ..)
2. ให้ รง. โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568และเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เห็นชอบเกี่ยวกับมาตรการในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว โดยการผ่อนผันให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวตามกลุ่มเป้าหมายอยู่ในราชอาณาจักรและสามารถทำงานในราชอาณาจักรได้ชั่วคราว เพื่อให้นายจ้างไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน และหากมีการดำเนินการครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนดจะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2570 สำหรับแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569 สำหรับแรงงานต่างด้าวสัญชาติลาว และเวียดนาม แล้วแต่กรณี อาทิ ยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวพร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน และวางหลักประกัน คนต่างด้าวดำเนินการตรวจสุขภาพหรือทำประกันสุขภาพ ซึ่งในการวางหลักประกันของนายจ้างเป็นไปตามตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตประกอบธุรกิจการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ และหลักประกันในการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศ พ.ศ. 2564 โดยได้กำหนดให้นายจ้างที่ยื่นขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าวต้องวางหลักประกันในการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศในอัตรา 1,000 บาท ต่อคนต่างด้าว
1 คน
2. ภาคเอกชนได้มีหนังสือถึง รง. เพื่อขอให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขการวางหลักประกันในการนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศทั้งการนำแรงงานเข้ามาทำงานตามระบบ MOU และการต่ออายุการทำงานของกลุ่มแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวตามข้อ 1. เนื่องจากก่อให้เกิดภาระต้นทุนสูงแก่ภาคธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาและลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับนายจ้างและสถานประกอบการในการจ้างแรงงานต่างด้าว และสามารถนำเงินหลักประกันส่วนที่ได้รับคืนมาหมุนเวียนใน
การขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจ อันจะส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยสามารถรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องปรับปรุงมาตรการในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บหลักประกันของนายจ้าง ให้มีความเหมาะสม เพื่อรักษาความมั่งคงทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำหนดให้มีวางหลักประกันตามเงื่อนไข ดังนี้
2.1 กรณี นายจ้างนำคนต่างด้าวมาทำงานไม่เกิน 99 คน ให้วางหลักประกันเป็นจำนวน 1,000 บาทต่อคนต่างด้าว 1 คน
2.2 กรณีนายจ้างนำคนต่างด้าวมาทำงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปให้วางหลักประกันเป็นจำนวน 100,000 บาท
2.3 กรณีนายจ้างนำคนต่างด้าวมาทำงานตามข้อ 2.1 และในภายหลังจำนวนคนต่างด้าวที่นำเข้ามารวมกัน มีจำนวนตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ให้ว่างหลักประกัน เป็นจำนวน 100,000 บาท
2.4 กรณีนายจ้างได้มีการวางหลักประกันไปแล้วเกินกว่า 100,000 บาท ให้กรมการจัดหางานคืนหลักประกันให้กับนายจ้าง
2.5 นายจ้างต้องรับผิดชอบค่าเสียหายอันเกิดจากการนำคนต่างด้าวมาทำงานกับตน และในกรณีที่หลักประกันที่นายจ้างวางไว้ลดลง เนื่องจากมีการหักหลักประกันให้นายจ้างวางหลักประกันเพิ่มจนครบตามจำนวนเงินที่กำหนด และหากหลักประกันที่นายจ้างวางไว้ถูกหักจนครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอในการจัดส่งคนต่างด้าวกลับ ให้นายจ้างยังคงมีความรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่งคนต่างด้าวกลับไปยังประเทศต้นทางให้ครบถ้วนตามจำนวนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด
3. ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกับเรื่องดังกล่าวแล้ว
12. เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการและการสอนนันทนาการ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 หลัง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการและการสอนนันทนาการ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 หลัง (รายการก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการฯ) จากเดิมจำนวน 472.50 ล้านบาท เป็นจำนวน 567.96 ล้านบาท (วงเงินเพิ่มขึ้น 95.46 ล้านบาท) และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการดังกล่าว จากเดิมปีงบประมาณพ.ศ. 2558-2565 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2558-2570 ตามที่กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (มหาวิทยาลัยฯ) ได้ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการและการสอนนันทนาการ แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 หลัง (รายการก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการ) จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ (21 ตุลาคม 2557) จำนวน 472.50 ล้านบาท เป็นจำนวน 567.96 ล้านบาท (วงเงินเพิ่มขึ้น 95.46 ล้านบาท) และขอขยายระยะเวลา
ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2558-2565 (8 ปี) เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2558-2570 (13 ปี) (ตามข้อ 1) เนื่องจากมหาวิทยาลัยฯ ได้บอกเลิกสัญญาจ้างที่ผู้รับจ้างไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญามาแล้ว จำนวน 2 ครั้ง (ผู้รับจ้างเบิกจ่ายค่าก่อสร้างไปแล้ว รวมจำนวน 323.96 ล้านบาท) แต่มีความจำเป็นต้องก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการฯ ในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จสมบูรณ์เพื่อเป็นอาคารรองรับการใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนด้านนันทนาการและนิทรรศการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษา การบริการทางวิชาการ นวัตกรรม และวัฒนธรรมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยฯ จึงได้ตรวจสอบค่าเสียหายของพัสดุและงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบและรายการปริมาณหรือค่าเสียหายของงานก่อสร้างคงเหลือให้แล้วเสร็จ และดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างครั้งที่ 3 โดยมีผลการจัดซื้อจัดจ้าง (งานส่วนที่เหลือจากผู้รับจ้างรายเดิม) ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Biding) (ครั้งล่าสุด) เป็นจำนวนเงิน 244 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับวงเงินค่าก่อสร้างที่ผู้รับจ้างเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 323.96 ล้านบาท คิดเป็นวงเงินทั้งสิ้น 567.96 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติไว้ (จำนวน 472.50 ล้านบาท) จำนวน 95.46 ล้านบาท ทั้งนี้ สำนักงบประมาณ (สงป.) ได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคารายการอาคารแสดงนิทรรศการฯ (ส่วนที่เหลือ) วงเงิน 244 ล้านบาท แล้ว เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ประกอบกับกระทรวงการคลัง (กค.) และ สงป. พิจารณาแล้วเห็นควรที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติให้ อว.(มหาวิทยาลัยฯ) เพิ่มวงเงินรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการฯ จากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้ จำนวน 472.50 ล้านบาท เป็นวงเงิน จำนวน 567.96 ล้านบาท และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2558-2565 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2558-2570 โดย กค. และ สงป. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ขอให้ อว. (มหาวิทยาลัยฯ) ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอนโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
13. เรื่อง การดำเนินมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดงสายนครวิถี
(กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการดำเนินมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวันสำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง สายนครวิถี (กรุงเทพอภิวัฒน์ - ตลิ่งชัน) และสายธานีรัถยา (กรุงเทพอภิวัฒน์ - รังสิต) (รถไฟชานเมืองสาย
สีแดง) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินมาตรการ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม2568 - 30 พฤศจิกายน 2569 หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ โดยให้ รฟท. ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อชดเชยรายได้ส่วนต่างค่าโดยสารตามจริงตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
2. รับทราบการดำเนินมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน สำหรับรถไฟฟ้ามหานครสายฉลองรัชธรรม (รถไฟฟ้าสายสีม่วง) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินมาตรการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 – 30 พฤศจิกายน 2569 หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
3. ให้ คค. ประเมินผลการดำเนินมาตรการเป็นรายปี โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปริมาณผู้โดยสารและรายได้ ซึ่งจะส่งผลต่อภาระการชดเชยจากภาครัฐ และคำนึงถึงความสะดวกสบายในการเดินทางและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน เป็นต้น เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินมาตรการในระยะยาวต่อไป
(มาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวันจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องหลังจากมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย สิ้นสุดลงในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568)
สาระสำคัญ
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (30 กันยายน 2568) เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เรื่อง มาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล (ระยะที่ 2)] เพื่อขยายกรอบเวลาของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาลสำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง ของ รฟท. และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ของ รฟม. จากเดิมสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ตามที่ คค. เสนอ และให้ คค. เร่งแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท ตลอดสายและพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไปให้เหมาะสม มีความยั่งยืนเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังเกินความจำเป็น แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
2. คค. ได้ศึกษา วิเคราะห์ ประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการระยะต่อไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 ผลการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารสูงสุด 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายรัฐบาล ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงของ รฟท. และรถไฟฟ้าสายสีม่วงของ รฟม. พบว่า มีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ย ทั้งสองสายเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 9.56 และรายได้ค่าโดยสารเฉลี่ยทั้งสองสายเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 8.33
2.2 สำหรับแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไปนั้น นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนด อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (คณะกรรมการฯ) ขึ้นเพื่อให้มีหน้าที่พิจารณาผลการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท ตลอดสาย และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไปให้เหมาะสม มีความยั่งยืน เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน และไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังเกินความจำเป็น เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 คณะกรรมการฯ ได้พิจารณานโยบายการกำหนด อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าและมีมติ ดังนี้
2.2.1 เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า โดยจัดทำมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 – 30 พฤศจิกายน 2569 หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) การจัดเก็บอัตราค่าโดยสารสูงสุดตามมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน ดังนี้
|
ประเภทบุคคล |
อัตราค่าโดยสารสูงสุด/วัน1)2)
|
|
1) กลุ่มบุคคลทั่วไป |
40 |
|
2) กลุ่มนักเรียน/นักศึกษา
|
30 |
หมายเหตุ 1) อัตราค่าโดยสารรวมทุกการเดินทางของรถไฟชานเมืองสายสีแดงและรถไฟฟ้าสายสีม่วงภายใน
1 วัน และในกรณีที่กลุ่มบุคคลทั่วไปและกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา ที่เดินทางระยะสั้นและมีมูลค่า เดินทางไม่ถึงอัตราค่าโดยสารสูงสุดต่อวันให้เก็บค่าบริการตามจริง
2) กรณีอัตราค่าโดยสารรวมต่อวันเกินจากอัตราที่กำหนดแล้ว ผู้โดยสารจะได้รับ ส่วนต่างค่า โดยสารชดเชยผ่านบัตรที่ใช้ในการเดินทาง ภายใน 1 – 3 วันทำการ
ทั้งนี้ กลุ่มผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ กลุ่มผู้พิการ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มเด็ก สามารถเลือกใช้สิทธิตามมาตรการที่เสนอในครั้งนี้ หรือใช้สิทธิเดิมตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของผู้ให้บริการรถไฟฟ้า ดังนี้
|
ประเภทบุคคล
|
สิทธิตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของผู้ให้บริการรถไฟฟ้า |
|
1) กลุ่มผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ
|
ได้รับวงเงินตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 750 บาท/เดือน โดยคิดค่าโดยสารในอัตราปกติ/เที่ยว* |
|
2) กลุ่มผู้พิการและกลุ่มเด็ก ส่วนสูงไม่เกิน 90 เซนติเมตร |
ได้รับสิทธิใช้บริการฟรี
|
|
3) กลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเด็ก ส่วนสูงเกิน 90 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 120 เซนติเมตร |
ได้รับส่วนลดร้อยละ 50 จากค่าโดยสารตามอัตราปกติ/เที่ยว
|
หมายเหตุ อัตราค่าโดยสารปกติอยู่ระหว่าง 14 – 42 บาท/เที่ยว
2) กำหนดประเภทบัตรโดยสารเพื่อรองรับมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน คือ บัตร EMV Contactless Card
หมายเหตุ : กรณีนักเรียน/นักศึกษาใช้บัตร EMV/Visa/Master Card ต้องจ่ายอัตราค่าโดยสารตามอัตราบุคคลทั่วไป เนื่องจากบัตรไม่มีการแยกประเภทบุคคลไว้
3) การคาดการณ์การสูญเสียรายได้
โดย คค. ได้จัดทำข้อมูลตามมาตรา 27 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว โดยได้ประมาณการว่าจะต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณ (รฟท.) และมีการสูญเสียรายได้ (รฟม.) สรุปดังนี้
|
รายการ |
รถไฟชานเมืองสายสีแดง |
รถไฟสายสีม่วง |
|
ประมาณการค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ |
142.02 |
30.00 |
|
แหล่งที่มาของเงินชดเชยค่าโดยสาร |
รฟท. จะเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณที่สูญเสียตามจริงเพื่อชดเชยต่อไป |
ใช้เงินรายได้ของ รฟม. จาก |
หมายเหตุ รฟท. (รถไฟชานเมืองสายสีแดง) และ รฟม. (รถไฟฟ้าสายสีม่วง) มีวิธีการคำนวณการสูญเสียรายได้ค่าโดยสาร ที่แตกต่างกัน ดังนี้
1) กรณีรถไฟชานเมืองสายสีแดง มีการคำนวณราคาค่าโดยสารปกติเฉลี่ยอยู่ที่ 30 บาท/เที่ยว ดังนั้น หากมีการดำเนินมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวันในราคาสูงสุด 40 บาท/วัน
จึงต้องมีการชดเชยรายได้ในส่วนต่าง 10 บาท/เที่ยว นำมาคูณกับการประมาณการ ผู้โดยสารในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 14,201,611 คน
2) กรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีการคำนวณรายได้ค่าโดยสารรวมจากการจัดเก็บค่าโดยสารเต็ม ราคา (14 - 42 บาท) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อยู่ที่ 540 ล้านบาท โดย รฟม. ได้คาดการณ์ว่าหากดำเนินมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวันในราคาสูงสุด 40 บาท/วัน จะมีรายได้ค่าโดยสารรวมอยู่ที่ 510 ล้านบาท หรือมีการสูญเสียรายได้ร้อยละ 5.56 (30 ล้านบาท/ปี) เมื่อเทียบกับการจัดเก็บค่าโดยสารเต็มราคา
2.2.2 มอบหมายให้ รฟท. และ รฟม. ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวันสำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีม่วง
3. ในคราวประชุมคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยครั้งที่ 18/2568 เมื่อวันที่
7 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
3.1 อนุมัติในหลักการในการกำหนดอัตราค่าโดยสารเหมาจ่ายรายวัน ตามนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน ในโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง เป็นเวลา 1 ปี (ธันวาคม 2568 - พฤศจิกายน 2569)
3.2 เห็นชอบให้เสนอขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยรายได้ที่สูญเสียตามจริงจากงบประมาณแผ่นดินสำหรับโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 และมาตรา 28
4. ในคราวประชุมคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ครั้งที่12/2568 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
4.1 เห็นชอบในหลักการการดำเนินมาตรการบัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน (เฉพาะบัตร EMV Contactless กลุ่มบุคคลทั่วไป และกลุ่มนักเรียน นักศึกษา) สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2569 หรือตามมติคณะรัฐมนตรี โดยให้ รฟม. ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
4.2 อนุมัติการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วงสำหรับตั๋วโดยสารนักเรียน นักศึกษา ให้มีอัตราลดลงร้อยละ 10 ของอัตราค่าโดยสาร บุคคลทั่วไป ที่ประกาศใช้อยู่ในขณะนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป
4.3 เห็นชอบร่างประกาศการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย จำนวน 2 ฉบับ1
__________________
1 ร่างประกาศ 2 ฉบับ ได้แก่ (1) ประกาศการกำหนดอัตราค่าโดยสารและวิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร เพื่อดำเนินมาตรการ บัตรโดยสารเหมาจ่ายรายวัน สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วง 1 ฉบับ และ (2) ประกาศการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง 1 ฉบับ โดยเป็นอำนาจของคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลแห่งประเทศไทยเป็นผู้ประกาศกำหนด
14. เรื่อง วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ
สาระสำคัญ
ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 24 กำหนดให้ในการจัดทำงบประมาณประจำปี ให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลัก โดยร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ดำเนินการกำหนดนโยบายงบประมาณประจำปี ประมาณการรายได้ วงเงินงบประมาณรายจ่าย และวิธีการเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ หรือการจัดการในกรณีที่ประมาณการรายได้สูงกว่าวงเงินงบประมาณ เมื่อได้ดำเนินการแล้วให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่14 ตุลาคม 2568 เห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ซึ่งกำหนดให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบนโยบาย วงเงินงบประมาณรายจ่าย และโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2570 ในวันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2568 นั้น
สำนักงบประมาณได้ดำเนินการตามนัยกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว ดังนี้
1. วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570
1.1 สมมติฐานทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยปี 2570 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.1 – 3.1 (ค่ากลางร้อยละ 2.6) ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 1.7 ในปีก่อนหน้า ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ซึ่งคาดว่าจะทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น เช่นเดียวกับการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับอัตราเงินเฟ้อในปี 2570 คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.4 – 1.4 (ค่ากลางร้อยละ 0.9) และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 1.9 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
1.2 ประมาณการรายได้รัฐบาล
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 คาดว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้รวม จำนวน 3,584,300.0 ล้านบาท เมื่อหักการคืนภาษีของกรมสรรพากร อากรถอนคืนกรมศุลกากร การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด การกันเงินเพื่อชดเชยภาษีสำหรับสินค้าส่งออก และการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม คงเหลือรายได้สุทธิ จำนวน 3,000,000.0 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการรายได้สุทธิปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ตามเอกสารงบประมาณที่กำหนดไว้ จำนวน 2,920,600.0 ล้านบาท เป็นจำนวน 79,400.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7
1.3 นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570
จากสมมติฐานทางเศรษฐกิจและประมาณการรายได้รัฐบาลตามข้อ 1.1 และข้อ 1.2ดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในการแก้ไขปัญหาของประชาชน รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการรักษาวินัยการเงินการคลังและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลังให้สามารถรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจและตอบสนองความท้าทายต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยให้ความสำคัญกับการลดขนาดการขาดดุลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ด้วยการควบคุมการใช้จ่ายภาครัฐให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าตอบสนองความต้องการของประชาชน และสอดคล้องกับประมาณการรายได้ของรัฐบาล จึงได้กำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 จำนวน 788,000.0 ล้านบาท ทำให้มีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,788,000.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่กำหนดไว้ 3,780,600.0 ล้านบาท เป็นจำนวน 7,400.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 โดยมีสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 จำนวน 3,788,000.0 ล้านบาท ดังนี้
1) โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วยประมาณการรายจ่าย ดังต่อไปนี้
(1) รายจ่ายประจำ จำนวน 2,777,443.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ
พ.ศ. 2569 จำนวน 122,800.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73.3 ของวงเงินงบประมาณรวม เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 70.2
(2) รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 71,037.0 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 52,504.1 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 42.5 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.9ของวงเงินงบประมาณรวม ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 3.3
(3) รายจ่ายลงทุน จำนวน 788,000.0 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณพ.ศ. 2569 จำนวน 73,736.3 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.6 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.8 ของวงเงินงบประมาณรวม ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 22.8
(4) รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 151,520.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 320.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.0 ของวงเงินงบประมาณรวม เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
2) รายได้สุทธิ จำนวน 3,000,000.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน79,400.0 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7
3) งบประมาณขาดดุล จำนวน 788,000.0 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569จำนวน 72,000.0 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.4 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 4.4
ทั้งนี้ วงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,788,000.0 ล้านบาท ดังกล่าวเท่ากับประมาณการรายจ่ายตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570 – 2573) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 สำหรับงบประมาณรายจ่ายลงทุนและงบประมาณรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้มีสัดส่วนอยู่ภายในกรอบที่กำหนดตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568
2. ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
2.1 วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จึงขอให้หน่วยรับงบประมาณจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายเท่าที่จำเป็นโดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการใช้จ่ายงบประมาณ ความคุ้มค่า ประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
2.2 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริหารจัดการด้านรายได้ รายจ่าย และการบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแนวทางระดับสากล รวมทั้งแนวทางของกลุ่มประเทศ OECDซึ่งประเทศไทยอยู่ระหว่างกระบวนการเข้าร่วมเป็นสมาชิก เพื่อให้รัฐบาสมีงบประมาณที่เพียงพอในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ การดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน และการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
15. เรื่อง ขอความเห็นชอบเพิ่มเติมพื้นที่เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงิน ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบวงเงิน พื้นที่ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือ และระยะเวลาการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2568 เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติมอีก จำนวนเงิน 3,818,880,000 บาท
2. อนุมัติพื้นที่ดำเนินการ และระยะเวลาการช่วยเหลือเพิ่มเติม ในพื้นที่ 7 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และจังหวัดสงขลา โดยให้จังหวัด ที่ประสบภัยดังกล่าวข้างต้น เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้
สาระสำคัญ
1. เหตุผลความจำเป็นที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี
1.1 คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 เห็นชอบในหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 6,169,986,000 บาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ข้อมูลจากพื้นที่ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย/พื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ในพื้นที่รวม 65 จังหวัด จำนวน 685,554 ครัวเรือน ในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
2. คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีโดยให้ใช้หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 แทนหลักเกณฑ์ฯ เดิมที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 และเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยใช้จ่ายจากวงเงินงบประมาณที่อนุมัติตามข้อ 1 ดังนี้
2.1 ให้ความช่วยเหลือในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท กรณีดังต่อไปนี้
1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
2) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง เกินกว่า 7 วันขึ้นไป
3) กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบ จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป
4) กรณีที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัยจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป
2.2 ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ประสบอุทกภัยถูกน้ำท่วมขัง
ติดต่อกัน ในอัตราดังต่อไปนี้
1) ตั้งแต่ 31 - 60 วันให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
2) ตั้งแต่ 61 - 90 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 10,000 บาท
3) ตั้งแต่ 91 - 120 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 15,000 บาท
4) ตั้งแต่ 121 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 20,000 บาท
ซึ่งภายหลังที่มีมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ประเทศไทยยังคงมีฝนตกในหลายพื้นที่ ยังคงมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบและได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัย น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง เพิ่มเติม จึงมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
2. ความเร่งด่วนของเรื่อง
เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในปี พ.ศ. 2568 มีความรุนแรงก่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชน ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพ และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องเร่งให้ความช่วยเหลืออย่างโดยเร็ว
3. สาระสำคัญ
3.1 ผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามข้อ 1 รายละเอียดดังนี้
3.1.1 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ตามข้อ 1.1 ได้ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยฯ ไปแล้ว รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น 2,813,643,000 บาท และมีงบประมาณคงเหลือ จำนวนเงิน 3,356,343,000 บาท (6,169,986,000 บาท - 2,813,643,000 บาท) ซึ่งนำไปใช้ในการจ่ายเงินช่วยเหลือฯ ตามข้อ 1.2 ต่อไป
3.1.2 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ตามข้อ 1.2 อยู่ระหว่างจังหวัดดำเนินการและคาดว่าจะต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยตามที่จังหวัดสำรวจและยืนยันข้อมูล จำนวน 192,478 ครัวเรือน จำนวนเงิน 2,400,714,000 บาท และมีงบประมาณคงเหลือ จำนวนเงิน 955,629,000 บาท (3,356,343,000 บาท -2,400,714,000 บาท)
3.2 ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้นในหลายพื้นที่ มีผู้ประสบอุทกภัยเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และจังหวัดสงขลา รายงานเบื้องต้นมีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จำนวน 530,501 ครัวเรือน ดังนั้น เพื่อให้การ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเป็นธรรม จึงขอความเห็นชอบเพิ่มเติมพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราชนราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และจังหวัดสงขลา ในการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และ วิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามวงเงินที่เคยได้รับการจัดสรรแล้ว และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม วงเงิน3,818,880,000 บาท โดยให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมและให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้
จากเดิม
อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินกรณีอุทกภัย ในพื้นที่ 65 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครพนม นครราชสีมา นครสวรรค์ นนทบุรี น่าน บึงกาฬ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ร้อยเอ็ด ระยอง ระนอง ราชบุรี ลำปาง ลำพูนเลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สมุทรปราการ สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และจังหวัดอุบลราชธานี จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงิน 6,196,986,000 บาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงิน ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ดังนี้
3.2.1 ให้ความช่วยเหลือในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท กรณีดังต่อไปนี้
1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
2) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง เกินกว่า 7 วันขึ้นไป
3) กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบ จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป
4) กรณีที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัยจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป
3.2.2 ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ประสบอุทกภัยถูกน้ำท่วมขังติดต่อกัน ในอัตราดังต่อไปนี้
1) ตั้งแต่ 31 - 60 วันให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท
2) ตั้งแต่ 61 - 90 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 10,000 บาท
3) ตั้งแต่ 91 - 120 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 15,000 บาท
4) ตั้งแต่ 121 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 20,000 บาท
ขอเพิ่มเติม
ขอความเห็นชอบเพิ่มเติมพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และจังหวัดสงขลา ในการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและ วิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำท่วมขังบริเวณที่อยู่อาศัยประจำเป็นระยะเวลานานในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามวงเงินที่เคยได้รับการจัดสรรแล้ว และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม วงเงิน 3,818,880,000 บาท โดยให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพิ่มเติม และให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย ผ่านธนาคารออมสินให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้
ประโยชน์และผลกระทบ
ผู้ประสบภัยตามข้อมูลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ/พื้นที่ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย/พื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ในพื้นที่7 จังหวัด เพิ่มเติม ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และจังหวัดสงขลา เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 สำหรับเป็นค่าดำรงชีพเบื้องต้นแก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัย เป็นกรณีพิเศษ และเพื่อให้การดำรงชีพของประชาชนเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
16. เรื่อง การมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในการรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีรับทราบการมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในการรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอ
สาระสำคัญ
สลน. รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในการรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (รายงานผลการดำเนินงานฯ) เพื่อให้เกิดการบูรณาการฐานข้อมูล ติดตาม ขับเคลื่อนนโยบายและรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ประกอบด้วย นโยบายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ นโยบายการบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายเพื่อวางรากฐานของประเทศ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ สรุปได้ ดังนี้
1. มอบหมายหน่วยงานเจ้าภาพหลักและหน่วยงานสนับสนุนของแต่ละนโยบาย ดังนี้
|
นโยบายรัฐบาล |
หน่วยงานหลัก |
หน่วยงานสนับสนุน |
|
(1) นโยบายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ : ด้านเศรษฐกิจ เช่น |
||
|
- สร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชน ในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทาง เพื่อให้มีกำลังใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยการจัดทำโครงการคนละครึ่ง
|
กระทรวงการคลัง (กค.) |
-กระทรวงคมนาคม (คค.) -กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) -กระทรวงพลังงาน (พน.) -กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) -กระทรวงมหาดไทย (มท.) -ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) |
|
- การบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตร ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการสร้างโอกาสในการสร้างรายได้และความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ค้ารายย่อย ผู้ประกอบการ เกษตรกรและชุมชนในท้องถิ่นผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) และการเพิ่มทักษะ (Upskill) เพื่อเพิ่มผลิตภาพและสร้างโอกาสให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น |
-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) -พณ. |
-กค. - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) - ดศ. - มท. - กระทรวงแรงงาน (รง.) - กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) - สำนักงานคณะกรรมการ การแข่งขันทางการค้า - สำนักส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) |
|
- แก้ปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง เช่น หนี้ภาคประชาชน โดยช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาหนี้สินรายบุคคลในระบบรายละไม่เกินหนึ่งแสนบาทเพื่อลดปัญหาหนี้ |
กค. |
- กระทรวงกลาโหม (กห.) - กษ. - มท. - กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) -สำนักงานสภาพัฒนา การเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) - ธปท. |
|
- ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวโดยมุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว การปราบปรามการฉ้อโกงและหลอกลวงนักท่องเที่ยว การดึงดูดชาวต่างชาติให้พำนักหรือท่องเที่ยวในประเทศไทยระยะยาวและเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว |
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา |
-กห. - กค. - กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) - คค. - มท. - รง. - กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) - การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย - สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.). - สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) |
|
- เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงคราม การค้า เช่น ดูแลและสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs และเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษี ของสหรัฐอเมริกา โดยร่วมมือกับภาคเอกชน ในการเจรจารายละเอียดรายสินค้าที่เกิดขึ้น จากมาตรการภาษีดังกล่าว เช่น จัดทำมาตรการในการส่งเสริมการใช้สินค้าอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศเป็นหลัก |
-กค. -กต. -กษ. -พณ. -สสว. |
- อก. - กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) - สศช.
|
|
(2) นโยบายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ : ด้านความมั่นคง เช่น |
||
|
- เร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพ เช่น การดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศจัดทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MoU) ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจและสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ |
-กห. -กต. -สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ |
- มท. - สำนักข่าวกรองแห่งชาติ - สำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา (สคก.) - สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) - ตร. |
|
(3) นโยบายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ : ด้านสังคม เช่น |
||
|
- ปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง โดยไม่สนับสนุนให้มีการประกอบธุรกิจการพนันทุกชนิดให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย และการพนันที่แฝงมาในรูปของกีฬา รวมถึงการดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติการพนันและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมและลดการอนุญาตการเล่นการพนันให้ได้มากที่สุด |
- กค. -มท. -ตร. |
-ดศ. -กระทรวงยุติธรรม -สคก. |
|
- ขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาด และจริงจัง โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) ภาคเอกชนและภาคประชาชน เพื่อยกระดับความเชื่อมั่น ของประชาชนและนานาประเทศ |
สำนักงาน ป.ป.ท. |
ทุกหน่วยงาน |
|
(4) นโยบายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ : ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น |
||
|
- เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติโดยเฉพาะในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เยียวยาและฟื้นฟูให้ประชาชนผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน การอนุรักษ์ ฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างยั่งยืนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ |
-ดศ. -ทส. -มท.
|
-พม. -อว. -สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ -สปน. -สศช. |
|
-.ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชนและหน่วยงานของรัฐ การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ |
-คค. -พน. |
-กค. -มท. -อก.
|
|
- พัฒนายกระดับวิถีเกษตรกรไปสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเน้นการป้องกันและลดการเผาในภาคเกษตรเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 |
กษ. |
-อว. -ทส. -มท. -อก. |
|
(5) นโยบายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ : ด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย เช่น |
||
|
- เร่งรัดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกัน ทั้งระบบควบคู่กับการผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเปิดของภาครัฐ และเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจและประชาชน |
-ดศ. -สำนักงาน ก.พ.ร. -สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) |
ทุกหน่วยงาน |
|
(6) นโยบายการบริหารราชการแผ่นดินตามนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติ เช่น |
||
|
- การดำเนินการให้คนไทยทุกช่วงวัยทุกกลุ่มเข้าถึงสิทธิการศึกษา และระบบสาธารณสุขอย่างทั่วถึง เท่าเทียม การผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบการศึกษา เช่น กฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ |
-ศธ. -กระทรวงสาธารณสุข |
-พม. -อว. -วธ. -สปน. (กรมประชาสัมพันธ์) -กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา |
|
(7) นโยบายเพื่อวางรากฐานของประเทศ เช่น |
|
|
|
- การจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยรับฟังเสียงของประชาชนและสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข |
-สปน. -สคก. |
|
2. มอบหมายหน่วยงานตามข้อ 1. รายงานผลการดำเนินงานฯ ผ่านระบบติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการจัดเก็บ ประมวล วิเคราะห์ และรายงานผลการดำเนินงานฯ ซึ่งได้เปิดระบบฯ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานฯ มาตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2566) ทุกวันที่ 5 ของเดือน
3. ให้ “ผู้ประสานงานการติดตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (ปกตน.)” ซึ่งเป็นผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ ทำหน้าที่ประสานงานกับ สลน.
|
ต่างประเทศ |
17. เรื่อง หนังสือแสดงเจตจำนงเริ่มกระบวนการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศในการทำธุรกรรมทางธุรกิจระหว่างประเทศ (The Convention on Combating Bribery of Foreign Public Officials in International Business Transactions) ของ OECD
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศในการทำธุรกรรมทางธุรกิจระหว่างประเทศ (The Convention on Combating Bribery of Foreign Officials in International Business Transactions) ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) (ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ) และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย (ไทย) ขออนุมัติให้สำนักงาน ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก
2. อนุมัติให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (26 ธันวาคม 2566) เห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนงของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยในการเข้าเป็นสมาชิก OECD และต่อมา กต. ได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อ OECD (เดือนกุมภาพันธ์ 2567) ซึ่งถือเป็นการสมัครสมาชิกโดยสมบูรณ์ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนดำเนินงาน (Roadmap) ในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ที่มีเป้าหมายให้ไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD อย่างเต็มรูปแบบภายใน
ปี 2573 ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักในส่วนของ Working Group on Bribery in International Business Transactions ของ OECD ซึ่งมีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศในการทำธุรกรรมทางธุรกิจระหว่างประเทศ (อนุสัญญาฯ) (OECD anti-Bribery Convention) เป็นตราสารหลักที่สมาชิกจะต้องปฏิบัติตาม โดยตามหลักเกณฑ์ในการเข้าเป็นสมาชิก OECD ได้กำหนดให้ประเทศที่จะเข้าเป็นสมาชิก OECD จะต้องเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ก่อนสำนักงาน ป.ป.ช. จึงต้องเร่งดำเนินการเพื่อเริ่มต้นกระบวนการแสดงเจตจำนงในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
2. สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ประสาน OECD และ กต. เกี่ยวกับการยกร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ โดยมีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยที่จะเริ่มกระบวนการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ซึ่งไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยไทยมีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการเสริมสร้างกรอบการต่อต้านการทุจริต และได้ขยายขอบเขตไปสู่การต่อต้านการให้สินบนในการทำธุรกรรมทางธุรกิจระหว่างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาได้แสดงความสนใจและเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่าง OECD และไทยที่มุ่งเน้นการปรับปรุงความซื่อสัตย์และธรรมาภิบาลในภาครัฐ การออกแบบนโยบายต่อต้านการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพและการเสริมสร้างกรอบการต่อต้านการทุจริตของไทย ทั้งนี้ ในฐานะประเทศที่อยู่ในกระบวนการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD และตามแผนปฏิบัติการสำหรับกระบวนการเป็นภาคีของไทยกับ OECD ซึ่งได้รับการรับรองโดยคณะเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนฯ อย่างครบถ้วน ด้วยเหตุนี้ไทยจึงขอแสดงความมุ่งมั่นตั้งใจและความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มทำงานว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนฯ และไทยประสงค์จะมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ผ่านกระบวนการประเมินติดตามโดยเพื่อนสมาชิก รวมถึงเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในทุกขั้นตอนของการต่อต้านการให้สินบนฯ
3. การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ จะเป็นประโยชน์ต่อไทยในการยกระดับมาตรฐานการต่อต้านสินบนให้เป็นไปตามมาตรฐาน OECD ซึ่งเป็นที่ยอมรับในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง เป็นการดึงดูดนักลงทุนที่มีคุณภาพให้เข้ามาประกอบธุรกิจอย่างโปร่งใส มีการแข่งขันอย่างเท่าเทียม และจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทย
18. เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการยุโรป กลาโหม ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และการค้าต่างประเทศแห่งราชรัฐลักเซมเบิร์ก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการยุโรป กลาโหม ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และการค้าต่างประเทศแห่งราชรัฐลักเซมเบิร์ก (ลักเซมเบิร์ก) ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ กต. พิจารณาและดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก
2. ให้รัฐมนตรีกว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 สถานเอกอัครราชทูตลักเซมเบิร์กประจำประเทศไทยมีหนังสือ ถึง กต. เสนอให้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่าง กต. แห่งราชอาณาจักรไทย กับกระบวนการต่างประเทศและกิจการยุโรป กลาโหม ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และการค้าต่างประเทศแห่งราชรัฐลักเซมเบิร์ก พร้อมเสนอร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ฝ่ายไทยพิจารณา และปัจจุบันทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกันแล้ว
2. กต. มีกำหนดจะจัดการประชุมหารือทางการเมือง (Political Consultations) ครั้งที่ 1กับกระทรวงการต่างประเทศฯ ลักเซมเบิร์ก ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ณ ประเทศไทย จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะพิจารณาลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับฝ่ายลักเซมเบิร์ก โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกความร่วมมือทวิภาคีที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศไทยและลักเซมเบิร์ก โดยทั้งสองฝ่ายจะได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นทวิภาคี เช่น การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ประเด็นภูมิภาคและประเด็นพหุภาคีรวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์การสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิก ตลอดจนผลักดันและกำหนดประเด็นที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
19. เรื่อง การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 27 แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 27 แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (The 27th GMS Ministerial Conference) (แผนงาน GMS) (การประชุมฯแผนงาน GMS ครั้งที่ 27) จำนวน 3 ฉบับ ดังนี้
1.1 ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 27 แผนงาน GMS (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ)
1.2 ร่างเอกสารกรอบการลงทุนระดับภูมิภาค แผนงาน GMS ปี 2569-2571 (ร่างเอกสารกรอบการลงทุนระดับภูมิภาคฯ)
1.3 ร่างเอกสารยุทธศาสตร์เพื่อการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในแผนงาน GMS (ร่างเอกสารยุทธศาสตร์เพื่อการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนฯ)
ทั้งนี้ ให้ สศช. สามารถปรับปรุงถ้อยคำในเอกสารดังกล่าวได้ในกรณีที่มิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมาย เข้าร่วมการประชุมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย ในการประชุมฯ แผนงาน GMS ครั้งที่ 27 พร้อมทั้งร่วมกับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ แผนงาน GMS ครั้งที่ 27 จำนวน 3 ฉบับ โดยไม่มีการลงนาม
สาระสำคัญของเรื่อง
สศช. รายงานว่า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ แผนงาน GMS ครั้งที่ 27 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS ฝ่ายไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีมอบหมาย (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมาย) ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม และมีเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโส แผนงาน GMS ซึ่งการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้กรอบยุทธศาสตร์แผนงาน GMS พ.ศ. 2573 The Greater Mekong Subregion Economic Cooperation Program Strategic Framework 2030 (GMS 2030) ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาครัฐ เอกชน และรัฐบาลท้องถิ่น ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสมดุลในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีแนวความคิดหลัก “ส่งเสริมการเติบโตที่ครอบคลุม การพัฒนาที่สมดุล และความเจริญรุ่งเรืองผ่านการบูรณาการรัฐบาลท้องถิ่นและภาคเอกชนในอนุภูมิภาค GMS” นอกจากนี้ ในห้วงการประชุมดังกล่าวจะมีการประชุมร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อมุ่งเน้นการสร้างระบบเกษตรอาหารที่ยั่งยืน การพัฒนาเมืองที่น่าอยู่ และการส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดน พร้อมทั้งมีการประชุมหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาและการประชุมเวทีธุรกิจ GMS ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะมีการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ จำนวน 3 ฉบับ ดังนี้
1. ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญ เช่น (1) ยืนยันความมุ่งมั่นต่อการดำเนินงานภายใต้กรอบยุทธศาสตร์แผนงาน GMS 2030 (2) เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ทั้งด้านการขนส่ง ด้านการอำนวยความสะดวก ด้านการค้าและการลงทุน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสาธารณสุข เป็นต้น
2. ร่างเอกสารกรอบการลงทุนระดับภูมิภาคฯ มีสาระสำคัญ เช่น (1) เน้นย้ำความร่วมมือในกรอบการลงทุนระดับภูมิภาคที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาโครงการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก GMS (2) ร่างเอกสารกรอบการลงทุนระดับภูมิภาคฯ ได้รวบรวมโครงการที่อยู่ภายใต้กรอบการลงทุนระดับภูมิภาคในแผนงาน GMS จำนวน 88 โครงการ
3. ร่างเอกสารยุทธศาสตร์เพื่อการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนฯ มีสาระสำคัญ เช่น (1) เน้นย้ำถึงการยกระดับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้มุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมและผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม (2) กำหนดกรอบการติดตามและประเมินผลเพื่อเสริมสร้างความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงาน
4. ประโยชน์และผลกระทบ เช่น (1) ส่งเสริมบทบาทและภาพลักษณ์ของประเทศไทย โดยใช้โอกาสและประโยชน์จากการขับเคลื่อนความร่วมมือต่าง ๆ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์แผนงาน GMS 2030 (2) สนับสนุนและขับเคลื่อนความร่วมมือกับภาคเอกชน สภาธุรกิจแผนงาน GMS และรัฐบาลท้องถิ่น
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมแผนงาน GMS ครั้งที่ 27 ทั้ง 3 ฉบับ และเห็นว่าร่างเอกสารดังกล่าวไม่ได้ใช้ถ้อยคำหรือมีบริบทใดที่มุ่งก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
20. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อเอกสารภายใต้โครงการรับความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแบบให้เปล่า (Official Security Assistance: OSA) ของญี่ปุ่น
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อเอกสารภายใต้โครงการรับความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแบบให้เปล่า (Official Security Assistance: OSA) ของญี่ปุ่น (โครงการ OSA) ทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Exchange of Note) เอกสารด้านกระบวนการ (Procedural Details) และแบบฟอร์มคำขอ (Application Form)
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารภายใต้โครงการ OSA ทั้ง 3 ฉบับ
3. หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของเอกสารภายใต้โครงการ OSA โดย
ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ ให้ กห. พิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
สาระสำคัญ
กห. รายงานว่า ฝ่ายญี่ปุ่นได้เสนอโครงการ OSA ซึ่งเป็นกลไกในการส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับประเทศที่มีแนวคิดและมุมมองที่คล้ายคลึงกัน (Like - Minded Counties) ผ่านการสนับสนุนการจัดหายุทโธปกรณ์และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการทหารให้แก่ประเทศผู้รับประโยชน์ โดยญี่ปุ่นได้พิจารณาเสนอโครงการ OSA ให้ กห. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (ปีงบประมาณของญี่ปุ่นอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569) โดย กห. กำหนดลงนามในเอกสารภายใต้โครงการ OSA ร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่นภายในปี 2568 เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการภายใต้ปีงบประมาณของญี่ปุ่น
21. เรื่อง ร่างแผนปฏิบัติการร่วมของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย – นิวซีแลนด์ ค.ศ. 2026-2030
Joint Plan of Action Thailand - New Zealand Strategic Partnership 2026-2030)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติต่อร่างแผนปฏิบัติการร่วมของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย – นิวซีแลนด์ ค.ศ. 2026-2030 Joint Plan of Action Thailand - New Zealand Strategic Partnership 2026-2030 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ขออนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นจากคณะรัฐมนตรีอีก และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ กระทรวงการต่างประเทศ
สาระสำคัญ
1. แผนปฏิบัติการร่วมฯ จะเป็นเอกสารสำคัญในการกำหนดแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกันภายหลังการยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันระยะ 5 ปี
(พ.ศ. 2569-2573) โดยเอกสารฉบับนี้ จะเป็นแผนปฏิบัติการร่วมฯ ฉบับแรกระหว่างกัน สะท้อนความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกันซึ่งจะครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี 2569
2. แผนปฏิบัติการร่วมฯ มีเนื้อหาครอบคลุมความร่วมมือไทย-นิวซีแลนด์ด้านความสัมพันธ์ทวิภาคี ความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน พลังงานทดแทน การส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชน รวมถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยแบ่งประเด็นความร่วมมือเป็น 4 เสา ได้แก่ (1) การเมืองและความมั่นคง (2) เศรษฐกิจ การค้าและนวัตกรรม (3) วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระดับประชาชน และ(4) ความร่วมมือระดับภูมิภาคและพหุภาคี
ประโยชน์และผลกระทบ
1. การจัดทำร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากการหารือระดับสูงระหว่างนายกรัฐมนตรี และระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งต่างเห็นพ้องร่วมกันขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-นิวซีแลนด์ ให้สอดคล้องกับบริบทของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่มีพลวัตสูง ตลอดจนการเตรียมความพร้อมสำหรับวาระครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตในปี พ.ศ. 2569 อันเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับการกำหนดทิศทางความร่วมมือระยะยาวระหว่างสองประเทศ
2. การเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ จะช่วยเสริมสร้างกรอบความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกระชับความเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยและนิวซีแลนด์ให้ใกล้ชิดและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายร่วม เช่น การเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน การส่งเสริมความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนาทักษะแรงงานการท่องเที่ยว การศึกษา และการเป็นสร้างความมั่นคงด้านอาหารและความมั่นคงมนุษย์
22. เรื่อง การลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงกีฬาและนันทนาการแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงกีฬาและนันทนาการแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์ โดยหากมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเติม ปรับปรุงและแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงกีฬาและนันทนาการแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงกีฬาและนันทนาการแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์โดยเอกสารดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างกันเช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการกีฬา การส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนบุคลากรด้านการกีฬาระหว่างกันการสนับสนุนด้านเวชศาสตร์การกีฬาและการฟื้นฟูสมรรถภาพ การฝึกอบรม โครงการพัฒนาเยาวชนด้านการกีฬา รวมถึงการพัฒนาสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการกีฬา ได้แก่ อุปกรณ์กีฬา สถานที่ฝึกซ้อมกีฬาและการเตรียมร่างกาย ฟิตเนส และพลศึกษา รวมทั้งการบริหารจัดการด้านการกีฬาโดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่ถือเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (รัฐธรรมนูญฯ) อย่างไรก็ดีร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 4 (7) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
23. เรื่อง ร่างปฏิญญาริยาด (Riyadh Declaration) สำหรับการประชุมสมัยสามัญ (General Conference: GC) สมัยที่ 21 ขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาริยาด (Riyadh Declaration) สำหรับการประชุมสมัยสามัญ (General Conference: GC) สมัยที่ 21 ขององค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO)
2. อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ ดังกล่าว
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ขอให้เป็นดุลยพินิจ
ของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณา และให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การประชุมสมัยสามัญ (General Conference: GC) สมัยที่ 21 ของ UNIDO มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 27 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเห็นชอบอนุมัติองค์ประกอบคณะผู้แทนไทย โดยมีเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรไทยประจำสาธารณรัฐออสเตรีย และผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศ ณ กรุงเวียนนา เป็นหัวหน้าคณะ โดยมีการจัดทำปฏิญญาริยาด (Riyadh Declaration)ซึ่งกำหนดให้มีการเข้าร่วมรับรองในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 โดยปฏิญญาดังกล่าวยืนยันความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (2030 Agenda for Sustainable Development) ปฏิญญาริยาดนี้ได้ต่อยอดจากปฏิญญาลิมา (Lima Declaration) และปฏิญญาอาบูดาบี (Abu Dhabi Declaration) ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืนในประเทศกำลังพัฒนา
2. ร่างปฏิญญาฯ ยอมรับถึงความท้าทายระดับโลกในปัจจุบัน เช่น สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์การขาดแคลนทรัพยากร ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากการระบาดของโควิด - 19 ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกทางเศรษฐกิจและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน โดย UNIDO ได้กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่เพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ โดยมุ่งเน้น 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) การส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานที่เป็นธรรมและยั่งยืน 2) การยุติความหิวโหยผ่านนวัตกรรมและการเพิ่มมูลค่าท้องถิ่น และ 3) การดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม
ผลประโยชน์และผลกระทบ
การร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ แสดงถึงการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศในฐานะสมาชิกองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และเป็นการสนับสนุนบทบาทของไทยในการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน
24. เรื่อง ร่างกรอบท่าทีของประเทศไทยต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 20 (CoP20)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1.รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 20 (CoP20)
2. ให้ความเห็นชอบในหลักการต่อร่างกรอบท่าทีของประเทศไทยต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 20 (CoP20)
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 20 (CoP20) เป็นการประชุมสามัญของภาคีอนุสัญญา มีสมัยการประชุมแบบประจำทุกๆ 3 ปีเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการอนุวัติอนุสัญญา การทบทวน หรือติดตามความก้าวหน้าในการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา การแก้ไขปรับสถานะชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าแนบท้ายอนุสัญญา การรายงานต่าง ๆ รวมทั้งการกำหนดมาตรการต่างๆ ในการบริหารอนุสัญญา ซึ่งจะต้องมีการลงมติรับรองมติที่ประชุม (Resolutions)ข้อตัดสินใจ (Decisions) และข้อเสนอ (Proposals) ขอเปลี่ยนแปลงบัญชีอนุสัญญาฯ รวมถึงการพิจารณาเอกสารและรายงานต่าง ๆ ซึ่งเสนอโดยภาคี คณะกรรมการบริหารอนุสัญญา สำนักเลขาธิการ และคณะทำงานต่าง ๆเกี่ยวกับการดำเนินงานตามพันธกรณีแห่งอนุสัญญา โดยองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยในการประชุมดังกล่าวประกอบด้วย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร:และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
2. คณะกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ประจำประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบ ต่อร่างกรอบท่าทีของประเทศไทยต่อวาระการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 20 (CoP20) รวยละเอียดปรากฏตามสิ่งที่ส่งมาด้วย -
3. การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 20 (CoP20) มีวาระการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ดังนี้
(1) วาระการประชุมที่เกี่ยวกับกฎระเบียบในการดำเนินงานให้เป็นไปตามอนุสัญญา CITES (Working Documents)
(2) วาระที่เกี่ยวกับข้อเสนอ (Proposals) เพื่อขอเปลี่ยนแปลงสถานะของชนิดพันธุ์ตามบัญชีแนบท้ายอนุสัญญาการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 20 (CoP20) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2568 ณ เมืองซามาร์คันด์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน
ประโยชน์และผลกระทบ
การประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ครั้งที่ 20 (CoP20) ถือเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการแสดงท่าที่และบทบาทในระดับนานาชาติด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพืชป่า เพื่อนำมาส่งเสริมการพัฒนาการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญา CITES ภายในประเทศให้เป็นไปอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับพันธกิจหลักของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน
25. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ค.ศ. 2026
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอดังนี้ 1. ให้ความเห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญากรุงเทพฯ ค.ศ. 2026 (ร่างปฏิญญาฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับแก้ถ้อยคำในร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ สทนช. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมระดับรัฐมนตรีร่วมให้การอนุมัติและเสนอการปรับแก้ถ้อยคำในร่างปฏิญญาฯ ตามข้อคิดเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)ในการประชุมรัฐมนตรี ในกรณีที่มีความจำเป็น
3. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม สุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 5 เป็นผู้รับรองปฏิญญาฯ [ทั้งนี้ จะมีการเห็นชอบร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (การประชุมคณะมนตรีฯ) ครั้งที่ 32 ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ณจังหวัดเชียงราย และรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 5 ในวันที่ 5 เมษายน 2569 ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย] โดยร่างปฏิญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงและภัยธรรมชาติ ซึ่งจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการเพื่อปกป้องระบบนิเวศ ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และเสริมสร้างความมั่นคงทางน้ำ อาหาร และพลังงานแก่ประชาชนในภูมิภาค รวมทั้ง บทบาทในการดำเนินการภายใต้ความตกลงฯ ของประเทศสมาชิก รวมถึงจีนและเมียนมาในฐานะประเทศคู่เจรจา ตลอดจนการประสานงานกับกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากหุ้นส่วนการพัฒนา ชุมชนท้องถิ่นภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ทั้งนี้ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ในการประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างปฏิญญาฯ แล้ว
26. เรื่อง ผลการประชุม The Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence in 2025
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุม The Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence in 2025 : GFEAI 2025 (การประชุม GFEAI 2025) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ดศ. รายงานว่า เมื่อวันที่ 24 - 27 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดศ. (หน่วยงานหลัก) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ร่วมกับองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เป็นเจ้าภาพ จัดการประชุม GFEAI 2025 ณ โรงแรม Centara Grand & Bangkok Convention Centre at Central World กรุงเทพมหานคร โดยมีนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ในขณะนั้นเป็นประธาน ซึ่งในการประชุมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมจำนวนทั้งสิ้น 2,774 คน จาก 90 ประเทศ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ผลลัพธ์สำคัญของการประชุม GFEAI 2025
การประชุม GFEAI 2025 เป็นการประชุมระดับนานาชาติที่มุ่งเน้นความสำคัญกับการส่งเสริมการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) อย่างมีจริยธรรม โดยเน้นย้ำความสำคัญของการสร้างความร่วมมือระดับพหุภาคี โดยสามารถสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
|
ประเด็น |
ผลลัพธ์จากการประชุม |
||||||||||
|
การเพิ่มความร่วมมือพหุภาคี |
เน้นย้ำความจำเป็นของความร่วมมือข้ามพรมแดนในการกำกับดูแล AI ร่วมกัน โดยยูเนสโกได้เปิดตัวเครือข่ายระดับโลกที่สำคัญ 2 โครงการได้แก่
|
||||||||||
|
การเปิดตัวศูนย์ระดับภูมิภาค ที่ประเทศไทย |
ประเทศไทยและยูเนสโกร่วมกันประกาศเตรียมเปิดตัวศูนย์ AI Governance Practice Center (AIGPC) ที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการกำกับดูแล AI ระดับภูมิภาคแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีภารกิจในการเป็น ศูนย์กลางสำหรับความร่วมมือ การแบ่งปันความรู้ และการทดลองนโยบายต่างๆ ที่ทั่วโลกได้พัฒนาขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายที่จะยกระดับ AIGPC เป็นศูนย์ประเภทที่ 2 ภายใต้ยูเนสโกเพื่อเชื่อมโยงการปฏิบัติระดับภูมิภาคกับการกำหนดนโยบายระดับโลก |
||||||||||
|
การปรับแนวทางจริยธรรม AI ให้สอดคล้องทั่วโลก |
เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะนำข้อเสนอแนะของยูเนสโกว่าด้วยจริยธรรมของ AI รวมถึงการส่งเสริมเครื่องมือที่มีอยู่ไปใช้ปฏิบัติจริง เช่น ข้อเสนอแนะ วิธีการประเมินความพร้อม เพื่อใช้ประเมินความพร้อมด้าน AI ของแต่ละประเทศและการนำข้อเสนอแนะเหล่านี้ไปปฏิบัติเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งนี้ ต้องยึดจริยธรรมเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ด้วย |
||||||||||
|
ความท้าทาย ด้านจริยธรรมที่เกิดใหม่ |
ความท้าทายใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นจากเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกควรให้ความสนใจอย่างเร่งด่วนและต้องหาแนวทางป้องกัน/แก้ไขร่วมกัน
|
||||||||||
|
การแลกเปลี่ยนความรู้และรูปแบบระดับภูมิภาค |
|
||||||||||
|
การใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรม ประเด็นนโยบายสำคัญ |
|
2. การประชุมทวิภาคี (Bilateral Meetings) สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
|
ประเด็น |
ผลการดำเนินการ |
||||||||||
|
การหารือระหว่าง นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ในขณะนั้น และนางโอเดรย์ อาซูเลย์ (H.E. Ms. Audrey Azoulay) ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก้ |
(1) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า การศึกษาและการพัฒนาทักษะดิจิทัลมีความสำคัญ ต่อการเตรียมคนสำหรับโลกอนาคต โดยเฉพาะ (2) นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ในขณะนั้น แสดงความกังวล ต่อการใช้ AI ในทางที่ผิด และเสนอความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และยั่งยืน สะท้อนความพร้อมของไทยในการเดินหน้าร่วมกับประชาคมโลกบนเส้นทางการพัฒนา AI ที่รับผิดชอบต่อสังคม |
||||||||||
|
การหารือทวิภาคีระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) ในขณะนั้น กับรัฐมนตรี ของแต่ละประเทศ |
|
3. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ( 3 ธันวาคม 2567) เห็นชอบความตกลงฯ ยูเนสโกได้แจ้งขอปรับปรุงถ้อยคำของความตกลงฯ เพิ่มเติม เช่น (1) การเพิ่มถ้อยคำให้ประเทศสมาชิกและหน่วยงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติอาจส่งผู้แทนเข้าร่วมงานได้ หรือผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกอาจเชิญผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมงานได้ (2) การเพิ่มเติมข้อกำหนดเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ สิทธิของเจ้าของข้อมูลในการเข้าถึง แก้ไข ลบข้อมูลส่วนบุคคลของตน และ (3) การปรับแก้ถ้อยคำเกี่ยวกับการรับผิดชอบต่อการเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินเพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการข้อเรียกร้องต่อความเสียหาย ต่อยูเนสโก ซึ่ง ดศ. แจ้งว่า การปรับปรุงถ้อยคำดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินงานของประเทศไทยและ ดศ. ได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า การปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
( 3 ธันวาคม 2567) เห็นชอบไว้แล้ว
4. ดศ. แจ้งว่า การเป็นเจ้าภาพการประชุม GFEAI 2025 ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ที่สำคัญในหลายมิติ ทั้งในระดับนโยบาย ระดับเศรษฐกิจ และระดับภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ เช่น (1) ประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำด้านจริยธรรม AI ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (2) ช่วยเปิดโอกาสให้ประเทศไทยเข้าถึงองค์ความรู้ระดับโลก สร้างเวทีในการร่วมกำหนดมาตรฐานจริยธรรมและนโยบาย AI ร่วมกับนานาชาติ (3) ส่งผลให้หน่วยงานรัฐและเอกชนไทยตื่นตัวต่อจริยธรรม AI มากขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาแนวนโยบาย มาตรการการกำกับดูแล และมาตรฐาน AI ของไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และ (4) สร้างโอกาสในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยและกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นและช่วยขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลด้านการส่งเสริม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
27. เรื่อง ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะในการรับมือกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป และข้อเสนอให้ยกระดับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะในการรับมือกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรปและข้อเสนอให้ยกระดับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการนำข้อเสนอแนะ
ของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายไปดำเนินการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายตามข้อ 1 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ สืบเนื่องจากสหภาพยุโรปได้เริ่มนำกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) เพื่อจัดเก็บ “ราคา”คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon-pricing) กับสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่สูง มาใช้กับสินค้า 6 ประเภทที่นำเข้าไปในสหภาพยุโรป ได้แก่ ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และไฮโดรเจน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 และจะมีการบังคับใช้กลไกดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2569 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าโดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่สูง และอาจทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดของสหภาพยุโรปได้ โดยคณะกรรมการพัฒนากฎหมายได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการเพื่อรับมือกับกลไก CBAM ของสหภาพยุโรป และยกระดับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว โดยเห็นว่าควรเร่งดำเนินการจัดให้มีภาษีคาร์บอน ภาคบังคับโดยกำหนดกลไกจัดเก็บภาษีคาร์บอนดังกล่าวให้สอดคล้องตามเงื่อนไขที่สหภาพยุโรปกำหนดเร่งจัดทำกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้ศึกษากลไกต่าง ๆ อย่างรอบคอบบนพื้นฐานของข้อมูลและประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ และผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติหลักการพร้อมกับข้อเสนอแนะในเรื่องนี้ด้วยแล้ว)จัดหาข้อมูลที่จำเป็นและดำเนินการด้านอื่น ๆ เพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกลไก CBAMได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน สนับสนุนองค์กรภาคเอกชนในประเทศไทยที่ทำหน้าที่เป็นผู้ทวนสอบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้รับการรับรองให้ทำหน้าที่เป็นผู้ทวนสอบตามกลไก CBAM ของสหภาพยุโรป ยกระดับการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาพรวมให้สอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วน
ของสถานการณ์ กำหนดมาตรการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าและเลือกใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเร่งหาแหล่งพลังงานสะอาดเพื่อมาใช้ทดแทนพลังงานจากฟอสซิลโดยเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวอาจจะทำให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากมีต้นทุนจากการจ่าย “ราคา” คาร์บอนภาคบังคับที่เพิ่มขึ้น แต่มาตรการดังกล่าวจะสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในระยะยาว แต่ยังจะมีส่วนส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงหรืออุตสาหกรรมสีเขียวให้เติบโต อันจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ และจะช่วยลดความรุนแรงของปัญหาสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนลดต้นทุนต่อเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ และยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปขายยังสหภาพยุโรปให้สามารถปฏิบัติตามกลไก CBAM ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
แต่งตั้ง
28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้ง นายยอดฉัตร ตสาริกา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการกอง [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (นิติการ) สูง] กองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ
(สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เสนอแต่งตั้ง นางศิริลักษณ์ ทัสนารมย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) สำนักงาน กปร. ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร. ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
(กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 9 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
1. นายนิกรเดช พลางกูร ตำแหน่ง อธิบดีกรมสารนิเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส
2. นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ ตำแหน่ง อธิบดีกรมยุโรป ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
3. นายพิชิต บุญสุด ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก
4. นายศิระ สว่างศิลป์ ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ สาธารณรัฐโปแลนด์
5. นายทรงชัย ชัยปฏิยุทธ ตำแหน่ง รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต รัฐคูเวต
6. นายมงคล วิศิษฏ์สตัมภ์ ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน นิวซีแลนด์
7. นายดามพ์ บุญธรรม ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา แคนาดา
8. นายพงศ์ปราชญ์ มากแจ้ง ตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
9. นายอัครพงศ์ เฉลิมนนท์ ตำแหน่ง กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครโอซากา ญี่ปุ่น ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน เนการาบรูไนดารุสซาลาม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศทั้ง 9 รายดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับและนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายกานตพันธุ์ พิศาลสุขสกุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายชิดชนก สุขมงคล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายโอภาส ถาวร รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายสุทธิพล เอี่ยมประเสริฐกุล รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายณัฐ โก่งเกษร รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
32. เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้ง นายวัฒนา ศักดิ์ชูวงษ์ เป็นผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (อ.ส.พ.)
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น) ได้พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
(สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้ง นางสาวฝนทิพย์ วรัญญูรัตนะ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอแต่งตั้ง นางสาววีราภรณ์ เกียรติชัยพัฒน เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว
35. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง และการบรรจุและแต่งตั้งผู้ออกจากราชการกลับเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง
(กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอแต่งตั้งข้าราชการ ดังนี้
1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1.1 นางสาวชมภารี ชมภูรัตน์ ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง(นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนตำแหน่งว่าง
1.2 ว่าที่ร้อยตรี ธนะสิทธิ์ เอี่ยมอนันชัย ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนตำแหน่งว่าง
2. การบรรจุและแต่งตั้งผู้ออกจากราชการกลับเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 1 ราย คือ นายพลวรรธน์ วิทูรกลชิต ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง(ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2563 ให้บรรจุและแต่งตั้งกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนตำแหน่งว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
36. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นายนริศ ขำนุรักษ์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
37. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายธนกร วังบุญคงชนะ) เป็นผู้รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี