‘รัฐบาล’ไม่สนหน้าไหน ลุยจับแก๊งสแกมเมอร์ จนท.ค้น50จุดทั่วไทย ยึดทรัพย์กว่าหมื่นล.

‘รัฐบาล’ไม่สนหน้าไหน ลุยจับแก๊งสแกมเมอร์ จนท.ค้น50จุดทั่วไทย ยึดทรัพย์กว่าหมื่นล.

วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

‘รัฐบาล’ไม่สนหน้าไหน
ลุยจับแก๊งสแกมเมอร์
จนท.ค้น50จุดทั่วไทย
ยึดทรัพย์กว่าหมื่นล.

นายกฯ พร้อมคณะ แถลงผล ถอนรากถอนโคนแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ ตรวจค้น 50 เป้าหมาย อายัดทรัพย์สินกว่าหมื่นล้านบาท ลั่นยึดหลัก ‘ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม’ ย้ำใหญ่แค่ไหนถ้าเกี่ยวข้องก็จับกุมทั้งหมด

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย แถลงผลปฏิบัติการ “ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ” พร้อมด้วย นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. นายสุเทพ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก.


ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ได้ปูพรมตรวจค้นเป้าหมาย 50 จุด ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดและยึดของกลางรายการสำคัญ ทั้งเรือยอชต์ รถหรู ที่ดิน และอายัดเงินในบัญชีรวมมูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาท โดยเป็นการสืบสวนขยายผล และบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงาน ปปง.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งในการคณะกรรมการธุรกรรม ที่ได้ประชุมครั้งที่ 13/2568 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ 4 กลุ่มคดีใหญ่ ที่เชื่อมโยงเส้นทางการเงินและการกระทำความผิดในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอย่างชัดเจน

สำหรับรายละเอียดของคดีที่นำมาสู่การยึดทรัพย์ครั้งนี้ เนื่องจากคดีนายเฉิน จื้อ กับพวก ซึ่งเป็นเครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์และค้ามนุษย์ มีฐานใหญ่ในประเทศกัมพูชา เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท Prince Holding Group โดยพบพฤติการณ์ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลและสับเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ต่างๆ ในรูปแบบไฮบริดสแกม คณะกรรมการฯ จึงสั่งยึดทรัพย์สินกว่า 102 รายการ มูลค่าประมาณ 373 ล้านบาท ถัดมาคือคดีนายก๊ก อาน (Mr. Kok An) เจ้าของอาคารหลายแห่งในประเทศกัมพูชา ที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการใช้บัญชีม้า สแกนใบหน้าเพื่อโอนเงิน และนำเงินที่ได้มาซื้อทรัพย์สินในประเทศไทย แล้วให้ผู้อื่นถือครองแทน โดยคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 90 รายการ มูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท

คดีที่มีมูลค่าความเสียหายและยึดทรัพย์ได้สูงที่สุด คือคดี น.ส.แตงไทย กับพวก ซึ่งเชื่อมโยงกับนายยิม เลียก (Mr. Leak Yim) และนายเบน สมิธ (Mr. Smith Ben) บุคคลใกล้ชิดทายาทผู้มีอิทธิพลในประเทศกัมพูชา ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ และมีการโอนเงินหมุนเวียนระหว่างบริษัททั้งในและต่างประเทศอย่างซับซ้อน เพื่ออำพรางธุรกรรม คณะกรรมการฯ จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินประเภทที่ดิน ห้องชุด และหลักทรัพย์ต่างๆ 66 รายการ รวมมูลค่า 9,279 ล้านบาท นอกจากนี้เลขาธิการ ปปง.ได้ใช้อำนาจยึดรถหรูเพิ่มเติมอีก 3 คัน ได้แก่ ZEEKR รุ่น 009, FERRARI รุ่น 488 GTB และ PORSCHE รุ่น CAYENNE S E-HYBRID COUPE ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินราคา

ส่วนคดีนายเอื้ออังกูร กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนประชาชนลงทุนเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max โดยสร้างข้อมูลกำไรเท็จ เพื่อจูงใจผู้เสียหาย ก่อนจะนำเงินที่หลอกลวงได้ไปแปลงเป็นเหรียญดิจิทัล (USDT) ส่งต่อไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 31 รายการ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท

ทั้งนี้ คำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวมีผลไม่เกิน 90 วัน โดยผู้ที่ถูกยึดทรัพย์ หรือผู้มีส่วนได้เสีย สามารถยื่นคำร้องพร้อมหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้มาจากการกระทำความผิด ต่อเลขาธิการ ปปง.ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง

อย่างไรก็ตาม ช่วงหนึ่งในการแถลงข่าว นายอนุทิน ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถามถึงประเด็นความเชื่อมโยงกับบุคคลระดับสูง โดยเฉพาะกรณีที่นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมว.คลัง และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยอมรับว่ารู้จักกับนายเบน สมิธ หนึ่งในตัวละครสำคัญของเครือข่ายนี้ นายอนุทิน ชี้แจงว่า การรู้จักกันเป็นการส่วนตัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ในทางปฏิบัติ ได้มอบนโยบายชัดเจนว่า ให้ดูที่การกระทำเป็นหลัก หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร ต้องดำเนินคดีอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีการละเว้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีชื่อเสียงเพียงใด ยึดหลักการทำงานที่ว่า “ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม” คือไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร แต่ให้ดูพฤติการณ์การกระทำความผิด หากตนไม่ดำเนินการเช่นนี้ ก็จะตกเป็นผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียเอง

นายอนุทิน กล่าวถึงมาตรการเด็ดขาดต่อกลุ่มทุนสีเทา ที่แฝงตัวเข้ามาในประเทศไทย โดยสั่งการปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้เพิกถอนสัญชาติไทย ของนายยิม เลียก (Mr. Leak Yim) ประธานกรรมการ BIC Bank ธนาคารพาณิชย์กัมพูชา ซึ่งตรวจสอบพบว่าได้สัญชาติไทย มาจากการสมรสกับหญิงไทย (หมวด 6) โดยให้ดำเนินการตามมาตรฐานเดียวกับรายอื่นๆ ที่ถูกเพิกถอนไปก่อนหน้านี้

นอกจากนี้นายอนุทิน ได้กล่าวชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติทุกหน่วยงาน ทั้งตำรวจ , ปปง. กระทรวงดีอี และกระทรวงยุติธรรม ที่ทุ่มเททำงานหนักท่ามกลางความเสี่ยง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลชุดนี้แม้ว่าเพิ่งจะเข้ามาทำงานได้เพียง 8 สัปดาห์ แต่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉย และจะเดินหน้ากวาดล้างขบวนการเหล่านี้อย่างไม่มีวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงปีใหม่ หรือเทศกาลใด

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top