วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“ซูเปอร์โพล” กางผลสำรวจ ชี้หัวใจการเลือกตั้งปีนี้ ไม่ใช่ช่วงชิงอุดมการณ์-หมดยุคสร้างวาทกรรม แต่เป็นความหวังของประชาชน พรรคใดเข้าใจได้ลึกกว่ามีโอกาสกำชัยชนะ ขณะที่ “สวนดุสิตโพล”เปิดความต้องการของชาวบ้านอยากได้สส.-นายกรัฐมนตรีแบบพูดจริงทำจริง
เมื่อวันที่ 7ธันวาคม 2568สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเปิดเผยรายงานผลการสำรวจ เรื่อง “โพลเลือกตั้งพรรคการเมือง ใจคนยังไม่นิ่ง” จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,085 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 3-6ธันวาคมที่ผ่านมา
ผลการสำรวจครั้งนี้ เผยให้เห็นภาพรวมของสังคมไทยในห้วงเวลาทางการเมืองที่เปราะบางและเปลี่ยนแปลงเร็วอย่างยิ่ง การสำรวจครั้งนี้มิได้สะท้อนเพียง “คะแนนนิยมของพรรคการเมือง” หากแต่สะท้อนสภาพจิตวิทยาทางสังคม เศรษฐกิจ และโครงสร้างความคิดทางการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นท่ามกลางกระแสข้อมูลข่าวสารที่หมุนเร็วและความไม่มั่นใจต่ออนาคตของประเทศ
ผลลัพธ์ของโพลชุดนี้จึงบ่งบอกความเป็นจริงสำคัญอย่างหนึ่งว่า แม้ประชาชนจำนวนมากจะมีพรรคที่ “ชอบ” อยู่แล้ว แต่ใจของเขาเหล่านั้นกลับไม่เคยนิ่งและพร้อมจะขยับไปตามผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ เม็ดเงินที่ถึงมือประชาชน ความช่วยเหลือเยียวยา ข้อเสนอเชิงนโยบายใหม่ ๆ แบรนด์ทางการเมืองใหม่ ๆ หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า เมื่อตรวจสอบการรับรู้ด้านเศรษฐกิจของประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดการตัดสินใจทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่า พรรคภูมิใจไทยได้รับการระบุว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุด” สูงถึง 72.8% ตามด้วยพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันคือ 69.2% ขณะที่พรรคประชาชนตามมาในระยะห่างที่มากกว่า คือ 42.3%
ตัวเลขทั้งสามชุดนี้บ่งชี้ชัดเจนว่าประชาชนกำลังใช้ “ผลงานด้านเศรษฐกิจ” เป็นเข็มทิศสำคัญของความเชื่อมั่นทางการเมือง การที่สองพรรคใหญ่ได้รับคะแนนสูงเกือบเท่ากัน สะท้อนการแข่งขันด้านนโยบายเศรษฐกิจที่เข้มข้นและการช่วงชิงพื้นที่ในจิตใจคนไทยอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี การที่ประชาชนร้อยละ 68.2 ระบุว่ามีพรรคการเมืองที่ชอบแล้ว ไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจนั้นถูกปิดผนึก ตรงกันข้าม การที่ยังมีอีก 31.8% ที่ “ยังไม่มีพรรคที่ชอบ” สะท้อนขนาดอันใหญ่โตของกลุ่มคะแนนลอยตัว (floating votes) ซึ่งเป็นกลุ่มที่พร้อมจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ
และแม้ผู้ที่มีพรรคในใจก็ยังมิได้มั่นคงอย่างแท้จริง เพราะเมื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ในการ “เปลี่ยนใจในอนาคต” ถึง 70.6% ของประชาชนระบุชัดว่าตนเอง “อาจเปลี่ยนใจไปเลือกพรรคใหม่ได้” ขณะที่มีเพียง 29.4% เท่านั้นที่หนักแน่นว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง
สัดส่วนนี้คือหลักฐานสำคัญของภาวะทางการเมืองแบบใหม่ — ภาวะที่คะแนนเสียงเคลื่อนที่สูง ความเชื่อมั่นผันผวน และประชาชนพร้อมจะโยกย้ายจุดยืนเมื่อพบข้อเสนอหรือนโยบายที่ตอบโจทย์ชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริง
ที่น่าสนใจคือ เมื่อมองโครงสร้างความคิดเชิงอุดมการณ์ พบภาพที่น่าสนใจยิ่งกว่า ประชาชนเพียง 20.6% ที่จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มพรรคแนวเสรีนิยม ขณะที่ 38.9% ระบุว่ามีแนวคิดโน้มไปทางอนุรักษ์นิยม แต่กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดกลับมิใช่สองขั้วนี้ หากเป็นกลุ่มที่ “อยู่กลาง ๆ” สูงถึง 40.5% ตัวเลขนี้สะท้อนการลดลงของความคิดแบบแบ่งขั้วและการผงาดขึ้นของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับ “นโยบายที่ทำได้จริง” มากกว่าอุดมการณ์หรือวาทกรรมทางการเมือง
พรรคการเมืองใดสามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มกลางนี้ด้วยข้อเสนอที่มีเหตุผลและแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม ย่อมมีโอกาสคว้าคะแนนเสียงจำนวนมากในช่วงเวลาสำคัญก่อนวันเลือกตั้ง
ที่น่าพิจารณา คือ เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์ร่วมกัน จะเห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าความไม่นิ่งของคะแนนเสียงมิได้เกิดจากความลังเลเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากบริบททางเศรษฐกิจที่บีบคั้น ความเร็วของข้อมูลข่าวสารที่ทำให้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงได้ภายในเวลาไม่นาน และความต้องการ “ความหวังรูปธรรม” ของประชาชนในช่วงเวลาที่พวกเขารู้สึกว่าประเทศกำลังอยู่บนทางแยกสำคัญ
ผลสำรวจชุดนี้สะท้อนว่าประชาชนพร้อมจะขยับตามพรรคที่เสนอทางแก้ปัญหาปากท้องได้จริง เชื่อมโยงนโยบายเข้ากับชีวิตประจำวัน และสื่อสารอย่างตรงประเด็น เข้าใจง่าย และน่าเชื่อถือ
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุด้วยว่า ในมุมเชิงนโยบาย พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องกลับไปทบทวนยุทธศาสตร์ของตนอย่างจริงจัง เพราะคะแนนนิยมในเวลานี้มิใช่การต่อสู้ของ “พรรคใดพรรคหนึ่ง” หากเป็นการต่อสู้ของ “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนมีต่อผู้ที่สามารถทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้อย่างจับต้องได้
พรรคใดที่ยังสื่อสารเชิงภาพลักษณ์โดยไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน จะถูกกลืนหายไปในยุคของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่พร้อมจะเปลี่ยนใจถึงกว่าเจ็ดในสิบคน การเมืองไทยจึงกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคใหม่ที่พรรคจะต้องยืนบนฐานของข้อมูล นโยบายที่พิสูจน์ได้ และการสื่อสารที่จับหัวใจของประชาชนจริง ๆ มิใช่เพียงการประกาศสัญญาที่ลอยอยู่บนอากาศ
“ท้ายที่สุด ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า หัวใจของการเลือกตั้งในปีนี้ ไม่ใช่การช่วงชิงอุดมการณ์ แต่เป็นการช่วงชิงความหวังของประชาชน พรรคใดเข้าใจประชาชนได้ลึกกว่า มองเห็นความกังวลด้านเศรษฐกิจได้ชัดกว่า และเสนอทางออกที่ตรวจสอบได้มากกว่า พรรคดังกล่าวจะสามารถเปลี่ยน “ใจที่ยังไม่นิ่ง” ให้กลายเป็น”รายงานของซูเปอร์โพล ระบุ
ขณะเดียวกัน สวนดุสิตโพลมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง“ประชาชนอยากได้คนแบบไหนเป็น สส.และนายกรัฐมนตรี” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,186 คน สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม ระหว่างวันที่ 2-5 ธันวาคม 2568
พบว่า กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าคุณสมบัติผู้สมัคร สส. ที่สำคัญ คือ การพูดจริงทำจริง คะแนนเฉลี่ย 9.46 คะแนน รองลงมาคือ ความขยัน อดทน 9.44 คะแนน และความซื่อสัตย์ 9.42 คะแนน ด้านคุณสมบัติของผู้จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี คือ มีอุดมการณ์ก้าวหน้า มีวิสัยทัศน์ กล้าทำอะไรใหม่ ๆ ร้อยละ 40.71 รองลงมาคือ ไม่เล่นเกมการเมือง ทำเพื่อประชาชนจริง ร้อยละ 30.09 และไม่โกง ไม่เทา ซื่อสัตย์ สุจริต ร้อยละ 29.20
ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนบริบทที่คนไทยกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ภัยพิบัติ และความผันผวนทางการเมือง จึงทำให้ “ความสามารถในการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤต” กลายเป็นอีกคุณสมบัติสำคัญที่ประชาชนมองหาในตัวผู้แทน
“ด้านคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี เห็นชัดว่ามีองค์ประกอบหลัก 4 ประการ หรือ “4 ก.” ได้แก่ อุดมการณ์ ก้าวหน้า ไม่เล่นเกม และไม่โกง ซึ่งบ่งบอกถึงความคาดหวังต่อผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ พร้อมเปลี่ยนแปลง และไม่ต้องการการเมืองแบบเดิมที่เป็นภาระต่อการพัฒนา “ ดร.พรพรรณกล่าว
ด้าน ผศ.ดร.อานุภาพ รักษ์สุวรรณ ประธานหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายมหาชนและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิเคราะห์ว่า ข้อมูลจากผลโพลแสดงให้เห็นว่า พลวัตที่น่าสนใจในบริบทการเมืองไทยคือ ประชาชนให้ความสำคัญกับ “คุณค่าเชิงสมรรถนะและจริยธรรม” (Competency and Integrity Values) ของผู้ที่จะเป็นสส.มากกว่าปัจจัยทางกายภาพหรือสถานะทางสังคม โดยคะแนนสูงสุดจะกระจุกตัวอยู่ที่ “การพูดจริง ทำจริง” “ขยัน อดทน” และ “ความซื่อสัตย์” มากกว่าปัจจัยด้านอื่นๆ
ทั้งนี้ สะท้อนว่าผู้มีสิทธิออกเสียงต้องการผู้แทนที่เน้นผลสัมฤทธิ์ (Result-Oriented) และมีธรรมาภิบาล มากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก และในส่วนของประมุขฝ่ายบริหาร ผลสำรวจบ่งชี้ชัดเจนถึงความต้องการ “ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์และการเปลี่ยนแปลง” (Visionary and Change Leadership) โดยสังคมคาดหวังผู้นำที่มีอุดมการณ์ก้าวหน้า กล้าตัดสินใจทำสิ่งใหม่ เพื่อนำพาประเทศออกจากกับดักทางการเมืองแบบดั้งเดิม ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนตื่นรู้และต้องการการเมืองที่สร้างสรรค์ โปร่งใส และจับต้องได้จริง มากกว่าวาทกรรมทางการเมือง.jpg)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี