สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 9 ธันวาคม 2568

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 9 ธันวาคม 2568

วันอังคาร ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 18.41 น.

วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล  ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย            


1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐ
และผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ
พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

                สาระสำคัญของเรื่อง

                สปน. เสนอว่า

                1. เนื่องจากพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติให้เจ้าหน้าที่    ของรัฐมีบัตรประจำตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งการจะมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐได้นั้น บุคคลนั้นจะต้อง ถูกกำหนดให้เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ตามคำนิยามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ    พ.ศ. 2542 โดยกรณีข้าราชการพนักงานหรือเจ้าหน้าที่อื่น ซึ่งอยู่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ตามมาตรา 4(1) - (15) การจะกำหนดให้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ให้กระทำโดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อกำหนดให้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 4 (16) แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542

                2. ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดเจ้าหน้าที่อื่น  เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวม 27 ตำแหน่ง

                3. โดยที่ข้าราชการพลเรือนกลาโหม ตามพระราชกฤษฎีการะเบียบข้าราชการพลเรือนกลาโหม พ.ศ. 2566 ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ และกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ยังมิได้ถูกกำหนดให้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ แต่อย่างใด จึงมีผลให้บุคคลดังกล่าวไม่อาจมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัเพื่อใช้ยืนยันสถานะของตนในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ จึงสมควรกำหนดให้บุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งกำหนดผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ด้วย ตามมาตรา 4 (16) และมาตรา 7               แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542

                4. สปน. จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ขึ้น โดยกำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิ่มเติม ดังนี้

ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

เจ้าหน้าที่ของรัฐ

ผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ

28. ข้าราชการพลเรือนกลาโหม

28. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมอบหมาย สำหรับตำแหน่งข้าราชการ    พลเรือนกลาโหมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ    พลเรือนกลาโหม

29. ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ และกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ

29. ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ

30. ประธานกรรมการพิจารณาเรื่อง ร้องเรียนตำรวจ และกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ

30. ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ

                ทั้งนี้ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ ระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) เว็บไซต์สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (www.opm.go.th) และหนังสือประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการรับฟัง       ความคิดเห็นส่วนมากเห็นชอบด้วย

 

2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้  และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                สาระสำคัญของเรื่อง

                1. พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 มาตรา 46 วรรคสอง มาตรา 49 วรรคสอง และมาตรา 50 วรรคสอง กำหนดให้บรรดาการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข  ที่กำหนดในกฎกระทรวง ต่อมา สธ. ได้ออกกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม   หรือจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า พ.ศ. 2559 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข      การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาตให้ต่อใบอนุญาต และการขอและการออกใบแทนใบอนุญาตให้ศึกษาวิจัย หรือส่งออกสมุนไพรควบคุมหรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า และออกประกาศ สธ. เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 กำหนดให้กัญชาเฉพาะส่วนของช่อดอกเป็นสมุนไพรควบคุม รวมทั้งกำหนดเงื่อนไขที่ผู้รับใบอนุญาตให้ส่งออก หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุม (กัญชา) เพื่อการค้าจะต้องปฏิบัติ เช่น ห้ามจำหน่ายให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปี นักเรียน นักศึกษา หรือห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการสูบ ในสถานประกอบการ รวมถึงปัญหาของกลิ่นควันกัญชา ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าผู้รับใบอนุญาตบางรายไม่ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาในการควบคุมการนำกัญชาเฉพาะส่วนของช่อดอกไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้ สธ. ออกประกาศ สธ. เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2568 เพื่อยกเลิกประกาศ สธ. ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 และให้มีการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และควบคุมไม่ให้  นำกัญชาเฉพาะส่วนที่เป็นช่อดอกไปใช้ในทางผิดวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรดังกล่าว ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พ.ศ. 2560 กำหนดให้เปลี่ยนชื่อกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเป็นกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ทำให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับบทนิยามและหน่วยงานสำหรับการยื่นคำขอจดทะเบียนต่อนายทะเบียนตามกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยฯ ไม่สอดคล้อง กับชื่อหน่วยงานและบริบทที่ได้เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน  รวมถึงกฎกระทรวงดังกล่าวได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานแล้ว และยังมีข้อกำหนดบางประการที่ไม่ชัดเจนและต้องใช้ดุลพินิจตีความเป็นรายกรณีเช่น รูปแบบและรายละเอียดของสถานประกอบการและสถานที่เก็บสมุนไพรควบคุม ซึ่งมิได้กำหนดรูปแบบ และรายละเอียดดังกล่าวไว้ ทำให้การพิจารณาคำขอรับใบอนุญาตฯ ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และเป็นดุลพินิจ      ของเจ้าหน้าที่ในแต่ละกรณีไป จึงสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาต     ให้ส่งออก หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุม (กัญชา) สำหรับการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์   ให้ชัดเจนโดยเฉพาะละเอียดของสถานประกอบการ การลดกลิ่นควัน เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการใช้สมุนไพรควบคุม (กัญชา) ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการใช้อำนาจของหน่วยงานทางปกครองเกี่ยวกับเรื่องกัญชาเฉพาะส่วนของช่อดอกซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542

สธ. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ซึ่งในคราวประชุมคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์   แผนไทย ครั้งที่ 108-3/2568 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าว          และให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

                2. ด้วยเหตุผลดังกล่าว สธ. จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรหรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุม         เพื่อการค้า พ.ศ. 2559 เพื่อกำหนดวิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตให้ส่งออก หรือจำหน่าย         หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุม (กัญชา) เพื่อการค้า ให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของการใช้กัญชา และการเพิ่มข้อกำหนด สำหรับการพิจารณาไม่ต่ออายุใบอนุญาต รวมถึงปรับปรุงเพิ่มเติมบทนิยามของหน่วยงานของรัฐให้เหมาะสม        และสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันดังนี้

ประเด็น

กฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม            หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า พ.ศ. 2559

ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

(1) บทนิยาม

 “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการ    ที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาคราชการส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ

“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

 “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการ   ที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาคราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน                 และหน่วยงานอื่นของรัฐ

“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรม  การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

(2) คุณสมบัติของสถานประกอบการและสถานที่เก็บสมุนไพรควบคุม(กัญชา) ที่ใช้ยื่นประกอบคำขอรับใบอนุญาต

 มิได้กำหนด

(1) สถานประกอบการต้องตั้งอยู่ในสถานที่ที่ผู้ขอรับใบอนุญาตมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองหรือได้รับ ความยินยอมจากผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในสถานที่นั้นที่ไม่น้อยกว่าระยะเวลาการอนุญาต

(2) สถานประกอบการต้องมีระบบกำจัดกลิ่นและควันที่มีประสิทธิภาพ โดยต้อง  ไม่ก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรืออาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนที่อาศัยอยู่  ในบริเวณใกล้เคียง

(3) สถานที่เก็บสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ต้องมีขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมต่อปริมาณการจำหน่าย หรือแปรรูป มีอุปกรณ์ ในการเก็บรักษาและมีการเก็บรักษาภายใต้สภาวะอุณหภูมิและความชื้น       ที่เหมาะสมหลีกเลี่ยงแสงแดด  ถูกสุขลักษณะ เพื่อให้สมุนไพรควบคุมนั้นคงคุณภาพที่ดีรวมถึง แยกเก็บเป็นสัดส่วนไม่ปะปนกับสิ่งอื่น และไม่สัมผัสกับพื้นโดยตรง

(4) สถานประกอบการต้องเป็นสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล สถานที่ขายหรือสถานที่ผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร ร้านขายยา      ตามกฎหมายว่าด้วยยา หรือสถานที่ปฏิบัติงานของหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ทั้งนี้ เว้นแต่ในสถานที่ที่มีการเพาะปลูก

(5) สถานประกอบการต้องมีผู้ปฏิบัติงานซึ่งผ่านการฝึกอบรมจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก        อย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลาที่เปิดทำการ

   ทั้งนี้ เอกสารและหลักฐานที่ยื่นจะต้องคงไว้ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวอย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่ใบอนุญาตมีผลใช้บังคับ

(3) การเพิ่มข้อกำหนดสำหรับการพิจารณา     ไม่ต่ออายุใบอนุญาตให้กับผู้ขอต่อใบอนุญาตที่กระทำผิดเงื่อนไข

มิได้กำหนด

 ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตเคยถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต ผู้อนุญาตอาจพิจารณาไม่ต่ออายุใบอนุญาตก็ได้

(4) ชื่อสถานที่ยื่นคำขอรับใบอนุญาต

 การยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้ยื่นต่อ   นายทะเบียน ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ดังต่อไปนี้

(1) กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย        และการแพทย์ทางเลือก สธ.

การยื่นคำขอรับใบอนุญาตให้ยื่นต่อนายทะเบียน ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ดังต่อไปนี้

(1) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สธ.

(5) บทเฉพาะกาล

มิได้กำหนด

ผู้รับใบอนุญาตที่ได้รับใบอนุญาตอยู่     ในวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้ประกอบกิจการต่อไปได้จนกว่าใบอนุญาตจะสิ้นอายุ แต่หากจะต่อใบอนุญาตให้ปฏิบัติตามกฎกระทรวง    การอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า พ.ศ. 2559 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงนี้

   การใดที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ   ตามกฎกระทรวงการอนุญาตให้ศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า พ.ศ. 2559 อยู่ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับต้องดำเนินการกฎกระทรวงนี้ด้วย

                ทั้งนี้ สธ. ได้จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามความเห็นของ สคก. ตามข้อ 2 มาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว 

                ทั้งนี้  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วยกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวและมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ ได้แก่ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า กระทรวงสาธารณสุข ควรเร่งดำเนินการจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด รวมถึง เว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th)

3. เรื่อง การยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 39/2559 เรื่อง การจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พุทธศักราช 2559 แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 39/2559 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พุทธศักราช 2559 แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินการเสนอร่างประกาศกำหนดการยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ      ที่ 39/2559 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พุทธศักราช 2559 มาเพื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบอีกครั้ง ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป

                สาระสำคัญของเรื่อง

                1. เนื่องจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 39/2559 เรื่อง การจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พุทธศักราช 2559 เป็นคำสั่งในทางบริหารที่แก้ไขปัญหาการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษา ที่มีปัญหาเกี่ยวกับธรรมาภิบาลและการบริหารภายในที่มี      ความขัดแย้งและขาดประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะต้องกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาที่อยู่ภายใต้บังคับของคำสั่งนี้ เพื่อให้         การบริหารงานเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกประสบปัญหาเกี่ยวกับการสรรหากรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ โดยไม่สามารถสรรหาได้ภายหลังจาก ที่กรรมการเดิมครบวาระการดำรงตำแหน่ง รวมทั้งมี       ความขัดแย้งภายในระหว่างผู้บริหารมหาวิทยาลัยและระหว่างสภามหาวิทยาลัยกับอธิการบดี ส่งผลให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องอยู่ในบังคับตามคำสั่ง คสช. ที่ 2/2559 เรื่อง กำหนดรายชื่อสถาบันอุดมศึกษาอื่นตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 39/2559 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2559          ซึ่งในขณะนั้น เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงได้มีคำสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ อธิการบดีหรือผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี               และรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด พร้อมทั้งแต่งตั้ง        คณะบุคคลเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น      โดยคณะบุคคลดังกล่าวได้ดำเนินการยกเลิกข้อบังคับและจัดทำข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ และอธิการบดีทั้งหมด เพื่อให้กระบวนการ    สรรหา ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ ได้ดำเนินการเพื่อให้ได้มาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ จนได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกและได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เมื่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกได้แก้ไขปัญหาอันเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 39/2559 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจึงเห็นควรยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งหัวหน้า คสช. ดังกล่าว แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก

                2. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจึงได้เสนอ เรื่อง การยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 39/2559 โดยการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเป็นการดำเนินการ       ตามมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้ประกาศหรือคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางบริหาร การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมให้กระทำโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือมติคณะรัฐมนตรี ประกอบกับคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศ คสช. คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช.      บางฉบับที่หมดความจำเป็น ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ข้อ 6 กำหนดให้ในกรณีรัฐมนตรีว่ากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เห็นว่า สถาบันอุดมศึกษาใดได้รับการแก้ไขปัญหาอันเป็นเหตุสำคัญในการใช้บังคับคำสั่งนี้แล้ว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยความเห็นชอบ         ของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจออกประกาศยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งนี้แก่สถาบันอุดมศึกษานั้นต่อไป ซึ่งการยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. เรื่อง การยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 39/2559 จะทำให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกสามารถดำเนินการบริหารจัดการกิจการของมหาวิทยาลัยได้ตามอำนาจหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 และสามารถขับเคลื่อน   การจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่สังคมโดยรวมต่อไป

                3. กระทรวงยุติธรรมเห็นชอบด้วย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า
เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 39/2559 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พุทธศักราช 2559 แล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจะต้องเสนอร่างประกาศกำหนดการยกเลิกการใช้บังคับคำสั่งดังกล่าว มาเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง

 

4. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ และการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              รง. เสนอว่า

                1. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย อุทกภัยภาคใต้ จำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ประกอบกับ มาตรา 84/2 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 21/2560 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ลงวันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2560 บัญญัติให้ในกรณีมีเหตุสุดวิสัยหรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาตามมาตรา 39 หรือมาตรา 47 ออกไปได้ตามความเหมาะสมหรือจำเป็น ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือนายจ้างและผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากกรณีอุทกภัย อันเป็นเหตุสุดวิสัยในพื้นที่ 9 จังหวัดดังกล่าว รง. จึงได้จัดทำร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. ....

                2. ในคราวประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและปรับปรุง พัฒนาเกี่ยวกับขอบข่ายความคุ้มครองประกันสังคม การจัดเก็บเงินสมทบและการพัฒนาสิทธิประโยชน์ กองทุนประกันสังคม ครั้งที่ 9/2568 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 มีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรงเป็นระยะเวลา 6 เดือน

              3. ในคราวประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (ชุดที่ 14) ครั้งที่ 26/2568 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 มีมติเห็นชอบแนวทางการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง (กรณีอุทกภัยภาคใต้) รวม 9 จังหวัด ตามประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยตามข้อ 1 เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างและผู้ประกันตน

                4. รง. จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. ....

ซึ่งเป็นการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบของนายจ้างและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างตามมาตรา 47 วรรคสอง และการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัยในภาคใต้รวม 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ในงวดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ถึงงวดเดือนเมษายน พ.ศ. 2569 เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้างและผู้ประกันตนในท้องที่ดังกล่าว มีสาระสำคัญสรุป ดังนี้

ประเด็น

สาระสำคัญของร่างประกาศ

1. วันใช้บังคับ

• ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

2. จังหวัดที่ได้รับการขยายกำหนดเวลายื่นแบบรายการฯ และการนำส่งเงินสมทบ

ตามมาตรา 47

• รวม 9 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี

3. การขยายกำหนดเวลา

ยื่นแบบรายการแสดงการ

ส่งเงินสมทบและการนำส่ง

เงินสมทบสำหรับนายจ้าง

ในท้องที่ 9 จังหวัด

• นายจ้างที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างตามมาตรา 34 และขึ้นทะเบียนลูกจ้าง ซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จากเดิมต้องยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบให้แก่สำนักงานภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ ได้รับการขยายกำหนดเวลายื่นแบบรายการฯ และการนำส่งเงินสมทบเป็นระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้

1. ค่าจ้างงวดเดือนพฤศจิกายน 2568 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ

ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2569

2. ค่าจ้างงวดเดือนธันวาคม 2568 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ

ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2569

3. ค่าจ้างงวดเดือนมกราคม 2569 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ

ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2569

4. ค่าจ้างงวดเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ

ภายในวันที่ 15 กันยายน 2569

5. ค่าจ้างงวดเดือนมีนาคม 2569 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ

ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2569

6. ค่าจ้างงวดเดือนเมษายน 2569 ให้ยื่นแบบรายการฯ และนำส่งเงินสมทบ

ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2569

4. การขยายกำหนดเวลา

นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน

สำหรับผู้ประกันตน

ตามมาตรา 39 ที่มีทะเบียน

ผู้ประกันตนในท้องที่ 9

จังหวัด

• ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ซึ่งมีทะเบียนผู้ประกันตนในท้องที่ที่กำหนดจากเดิมต้องนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปได้รับการขยายกำหนดเวลานำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเป็นระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้

1. เงินสมทบงวดเดือนพฤศจิกายน 2568 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน

ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2569

2. เงินสมทบงวดเดือนธันวาคม 2568 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน

ภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2569

3. เงินสมทบงวดเดือนมกราคม 2569 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน

ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2569

4. เงินสมทบงวดเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน

ภายในวันที่ 15 กันยายน 2569

5. เงินสมทบงวดเดือนมีนาคม 2569 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน

ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2569

6. เงินสมทบงวดเดือนเมษายน 2569 ให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุน

ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2569

                5. รง. ได้ดำเนินการตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว ซึ่งจากข้อมูลการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ประกันภัย กรณีการขยายระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบเป็นระยะเวลา 6 เดือน ในพื้นที่ 9 จังหวัด ดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนประกันสังคมได้รับเงินสมทบช้าลง เป็นจำนวนเงิน 4,334 ล้านบาท ซึ่งไม่กระทบต่อการบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างมีนัยสำคัญและทำให้กองทุนประกันสังคมเสียโอกาสในการลงทุน 6 เดือน ภายใต้สมมติฐานผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 5 ต่อปี คิดเป็นเงินจำนวน 108 ล้านบาท ซึ่งมิได้ส่งผลกระทบต่อสถานะของกองทุนประกันสังคมอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน หากแต่ยังคุ้มค่าต่อการช่วยให้นายจ้างและผู้ประกันตนมีโอกาสอยู่ในระบบประกันสังคมในระยะยาว

เศรษฐกิจ-สังคม  

5. เรื่อง สรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าประจำเดือนตุลาคม 2568

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าประจำเดือนตุลาคม 2568 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. สรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าเดือนตุลาคม 2568 ดังนี้

              ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนตุลาคม 2568 เท่ากับ 100.00 เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเท่ากับ 100.77 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 0.76 (YoY) โดยปัจจัยหลักมาจากมาตรการ        ลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนของภาครัฐ ผ่านโครงการ Quick Big Win และสถานการณ์ราคาพลังงาน         ในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าในกลุ่มพลังงานลดลง ทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ มีสินค้าสำคัญที่ราคาลดลง ได้แก่ เนื้อสุกร ไข่ไก่ ผักสด และผลไม้สด จากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งของใช้       ส่วนบุคคล จากการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะ  เงินเฟ้อไม่มากนัก

               อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนกันยายน2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลงร้อยละ 0.72 (YoY) โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 6 จาก 140 เขตเศรษฐกิจ
ที่ประกาศตัวเลข และต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (บรูไน สิงคโปร์
ติมอร์-เลสเต มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา อินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว)

                อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 0.76 (YoY) ในเดือนนี้ มีการเคลื่อนไหวของราคาสินค้า        และบริการ ดังนี้

                หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 1.10 (YoY) จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพลังงาน (ค่ากระแสไฟฟ้า แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน) ของใช้ส่วนบุคคล (น้ำยาระงับกลิ่นกาย โฟมล้างหน้า สบู่ดูตัว แชมพู ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แป้งผัดหน้า) รถยนต์ ค่าโดยสารเครื่องบิน เสื้อผ้า (เสื้อยืดบุรุษ สตรี และเด็ก เสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี กางเกงขายาวบุรุษ) และสิ่งที่เกี่ยวกับการทำ    ความสะอาด (ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยารีดผ้า น้ำยาถูพื้น ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาว/น้ำยาซักผ้าขาว) ขณะที่มีสินค้าสำคัญปรับราคาสูงขึ้น อาทิ ค่าเช่าบ้าน ค่าทัศนาจรต่างประเทศ ค่าบริการขนขยะ ค่าแต่งผมบุรุษและสตรี และอาหาร    สัตว์เลี้ยง

                หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ 0.17 (YoY) จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มผักสด (ต้นหอม ผักกาดขาว พริกสด มะนาว กะหล่ำปลี ผักชี ขิง มะเขือ) กลุ่มผลไม้สด (องุ่น มะม่วง กล้วยน้ำว้า ส้มเขียวหวาน) ไข่ไก่ เนื้อสุกร ไก่สด และข้าวสารเหนียว อย่างไรก็ตาม มีสินค้าหลายรายการราคาสูงขึ้น อาทิ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว) ข้าวสารเจ้า กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ (ปลาทู ปลาช่อน) กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ (ร้อน/เย็น) เครื่องดื่มรสช็อกโกแลต) กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร (น้ำมันพืช กะทิสำเร็จรูป น้ำพริกแกง) และกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาล (ขนมหวาน ไอศกรีม)

                อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้นร้อยละ 0.61 (YoY) ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนกันยายน 2568 ที่สูงขึ้นร้อยละ 0.65 (YoY)

                ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนตุลาคม 2568 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2568 ลดลงร้อยละ 0.11 (MoM) ตามการลดลงของหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 0.14 (MoM) จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง (แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน) ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายบรรเทาภาระค่าครองชีพด้านพลังงาน ผ่านโครงการ Quick Big Win ค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษ จากการยกเว้นค่าผ่านทาง ๆ ในวันหยุดราชการประจำปีเพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ของใช้ส่วนบุคคลบางชนิด (น้ำยาระงับกลิ่นกายโฟมล้างหน้า ผ้าอนามัย) และเสื้อผ้า (เสื้อยืดบุรุษ เสื้อยกทรง เสื้อยืดเด็ก) จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม มีสินค้าที่ราคาปรับสูงขึ้น อาทิ สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด (ค่าบริการขนขยะ น้ำยาถูพื้น น้ำยารีดผ้า น้ำยาล้างห้องน้ำ) และของใช้ส่วนบุคคลบางชนิด (แชมพู กระดาษชำระ ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว) และหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ 0.05 (MoM) จากสินค้าสำคัญ ที่ราคาปรับลดลง อาทิ เนื้อสัตว์ (เนื้อสุกร ไก่สด) ไข่ไก่ และผลไม้สด (ส้มเขียวหวาน องุ่น กล้วยหอม) เนื่องจากปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น อาหารโทรสั่ง (Delivery) จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการขณะที่มีสินค้าที่ราคาปรับสูงขึ้น อาทิ ข้าวสารเจ้า และผักสด (ต้นหอม ผักคะน้า ผักชี กะหล่ำปลี มะนาว)

              ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เฉลี่ย 10 เดือน (มกราคม - ตุลาคม) ของปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ลดลงร้อยละ 0.09 (AOA)

              2. แนวโน้มเงินเฟ้อ

                แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 2568 คาดว่าจะยังคงลดลงโดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่ (1) ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกลุ่มประเทศโอเปกพลัสปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาล
มีนโยบายบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านโครงการ Quick Big Win ส่งผลให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (OFFO) ปรับลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนฯ และทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงมาอยู่ที่ 30.94 บาทต่อลิตร (2) ภาครัฐดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่า Ft
งวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2568 มาอยู่ที่ 15.72 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่ากระแสไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.94 บาทต่อหน่วย (3) ราคาผักสดและผลไม้สดต่ำกว่าปีก่อนหน้าค่อนข้างมาก จากผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากรวมทั้งฐานราคาผักสดในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง และ (4) ผู้ประกอบการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับลดราคา ห้องพัก เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐ (ณ วันที่21 ต.ค. 2568) โดยเฉพาะมาตรการหักลดหย่อนภาษีค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวภายในประเทศสูงสุด 20,000 บาท สำหรับ ปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ได้แก่ (1) การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวมีแนวโน้มทำให้ค่าโดยสารเครื่องบินปรับตัวสูงขึ้น และ (2) ราคาสินค้าเกษตรและเครื่องประกอบอาหารบางชนิดมีแนวโน้ม สูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น กะทิสำเร็จรูป กาแฟสำเร็จรูป เกลือป่น และน้ำมันพืช เป็นต้น ด้วยปัจจัยดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 0.0

                ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 50.9 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน (เดือน ก.ย.68 อยู่ที่ระดับ 49.4) สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 57.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 56.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับเชื่อมั่น คาดว่ามาจาก (1) การเร่งขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐอาทิ โครงการคนละครึ่ง พลัส และการเพิ่มวงเงินสวัสดิการให้กับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและสนับสนุนภาคธุรกิจ รวมถึงนโยบายอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นและสร้างผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาว (2) ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยในช่วงวันหยุดยาวและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ตลอดจนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจการค้าและบริการ และ (3) ภาพรวมการส่งออกยังเติบโตได้ดี อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 40.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 39.6 ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ในระดับไม่เชื่อมั่นคาดว่ามาจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลของประชาชนต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตได้ช้า ภาระหนี้สินและ ค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไปบางส่วนแล้ว และสินค้าเกษตรสำคัญของไทยที่เผชิญกับการแข่งขันสูงในตลาดโลก นอกจากนี้สถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อภาคการผลิต การจ้างงานและการส่งออกของไทย เป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิด ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดัน ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระยะต่อไป

 

6. เรื่อง ขอความเห็นชอบการจ่ายเงินสวัสดิการค่าเช่าบ้านของพนักงานและลูกจ้างประจำการยางแห่งประเทศไทย

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินสวัสดิการค่าเช่าบ้านให้แก่พนักงานและลูกจ้างประจำของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ กษ. การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง (กค.) สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงาน ก.พ. และ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) อย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย

                ทั้งนี้ ในคราวต่อไป หาก กษ. มีความประสงค์จะเสนอเรื่องเกี่ยวกับการปรับปรุงเงินเดือนค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์อื่นของบุคลากรภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรี ให้ กษ. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 (เรื่อง การเสนอเรื่องเกี่ยวกับการปรับปรุงเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์อื่นของบุคลากรภาครัฐ) อย่างเคร่งครัดด้วย

                สาระสำคัญ

              1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) [การยางแห่งประเทศไทย (กยท.)] เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินสวัสดิการค่าเช่าบ้านให้แก่พนักงานและลูกจ้างประจำทุกคนที่ได้รับสิทธิสวัสดิการค่าเช่าบ้านในอัตราค่าเช่าบ้านไม่เกินร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้าง และอย่างสูงไม่เกินอัตราสูงสุดตามที่พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ กำหนดโดยอนุโลม (ปัจจุบันพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2561 กำหนดอัตราค่าเช่าบ้านสูงสุดไม่เกินเดือนละ 6,000 บาท) เพื่อให้พนักงานและลูกจ้างประจำ ที่เข้ามาทำงานภายหลังการควบรวมสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) องค์การสวนยาง (อสย.) และสถาบันวิจัยยาง (สวย.) เป็น กยท. ได้รับสวัสดิการค่าเช่าบ้านเช่นเดียวกับพนักงานและลูกจ้างประจำเดิมของทั้ง 3 หน่วยงาน ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม และไม่เท่าเทียมต่อพนักงานใหม่ของ กยท. และเพื่อปรับปรุงอัตราค่าเช่าบ้าน ให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2561 และสอดคล้องกับค่าครองชีพในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน เพราะที่ผ่านมา กยท. ยังไม่เคยมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการจ่ายเงินสวัสดิการค่าเช่าบ้านที่สามารถนำมาบังคับใช้ได้กับพนักงานและลูกจ้างประจำทั้งหมด ทั้งนี้ กยท. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลตามหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณากำหนดค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจ และสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 เพื่อประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว โดยเมื่อเปรียบเทียบอัตราค่าเช่าบ้านของพนักงาน และลูกจ้างประจำของรัฐวิสาหกิจอื่นแล้ว ยังคงมีอัตราที่เทียบเท่าหรือไม่ได้สูงเกินกว่ารัฐวิสาหกิจอื่น และ กยท. ยืนยันว่าภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวจะใช้งบประมาณของ กยท. เองทั้งหมด (รายได้จากค่าธรรมเนียมและจากการดำเนินธุรกิจ) ทั้งนี้ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นการปรับปรุงสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินที่อยู่นอกเหนือจาก
ที่กำหนดไว้จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ซึ่งคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ

                2. ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินสวัสดิการ ค่าเช่าบ้านของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในทำนองเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้ง เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงาน มีอัตราค่าเช่าบ้านเริ่มต้นแตกต่างจาก กยท. กล่าวคือ อภ. และ ธ.ก.ส. กำหนดให้ได้รับเท่าที่จ่ายจริงในอัตราที่กำหนดตามระดับตำแหน่ง ในขณะที่ กยท. กำหนดให้ได้รับไม่เกินร้อยละ 20 ของเงินเดือนหรือค่าจ้าง โดยใช้อัตราเดิมตามกรอบข้อบังคับคณะกรรมการคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยางว่าด้วยค่าเช่าบ้าน พ.ศ. 2548 เป็นกรอบอ้างอิง อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 หน่วยงาน มีอัตราการจ่ายสูงสุดไม่เกิน 6,000 บาท เท่ากัน ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดตามที่พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2561 กำหนดไว้ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นด้วย/ไม่ขัดข้องในหลักการ

 

7. เรื่อง แนวทางในการกำกับการดำเนินโครงการตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงิน การคลังฯ และให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตาม
อย่างเคร่งครัดต่อ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              หลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เพื่อให้การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการ ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ ความคุ้มค่า ภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วย วินัยการเงินการคลังของรัฐ จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ดังนี้

                1. หลักเกณฑ์ของการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ

                        การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้

                        1) เป็นการดำเนินการที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย และอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายนั้น และ

                        2) เป็นการดำเนินการที่เป็นไปเพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม และ

                        3) เป็นการดำเนินการที่ไม่สามารถขอรับจัดสรรงบประมาณตามปกติ รวมถึงไม่สามารถขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้ และ

                        4) เป็นการดำเนินการที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 หรือเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกันสำหรับสินค้าหรือกิจกรรมใด ๆให้กับผู้ประกอบการ หรือประชาชนโดยตรง

 

                2. ข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำเพื่อขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการหรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ

                        การขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

                        1) เหตุผลความจำเป็นในการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ

                        2) วัตถุประสงค์ของการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ และความสอดคล้องของยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาลแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

                        3) คำชี้แจงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของการดำเนินกิจกรรม มาตรการหรือโครงการตามมาตรา 28 ที่สามารถกระทำได้ตามข้อ 1. ได้แก่

                                (1) เป็นการดำเนินการที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย และอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายนั้น

                                (2) เป็นการดำเนินการที่เป็นไปเพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม

                                (3) เป็นการดำเนินการที่ไม่สามารถขอรับจัดสรรงบประมาณตามปกติรวมถึงไม่สามารถขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้

                                (4) เป็นการดำเนินการที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกรตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 หรือเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกันสำหรับสินค้าหรือกิจกรรมใดๆ ให้กับผู้ประกอบการ หรือประชาชนโดยตรง

                        4) แผนบริหารจัดการกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ

                        5) หน่วยงานที่ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่าย หรือการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้น

                        6) ภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคตจากการดำเนินโครงการ รวมถึงผลการวิเคราะห์ประโยชน์และความคุ้มค่าจากการดำเนินโครงการ

                        7) ผลกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายการดำเนินโครงการ

                        8) แนวทางการบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐและผลกระทบจาก

                        9) อื่น ๆ (ถ้ามี)

                3. ขั้นตอนการเสนอขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ

                ในการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.
วินัยการเงินการคลังฯ หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องดำเนินการตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้

                        1) หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอเรื่องให้รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณี พิจารณาให้ความเห็นชอบ และจัดทำหนังสือนำส่งข้อมูล ที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำเพื่อขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ตามข้อ 2 มายังกระทรวงการคลัง

                        2) กระทรวงการคลังจะพิจารณาให้ความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ และเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ

                        3) เมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว กระทรวงการคลังจะมีหนังสือแจ้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเรื่องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณี

              ประโยชน์และผลกระทบ

                หลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ จะมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ ความคุ้มค่า ภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วย วินัยการเงินการคลังของรัฐ

 

8. เรื่อง มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 (วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568)

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เสนอ ดังนี้

                1. รับทราบมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 (วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568)

                2. พิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการ EV3 และ EV3.5 และมอบหมายหน่วยงาน ดังนี้

                        (1) เห็นชอบการขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 ดังนี้

                                (1.1) มาตรการ EV3 ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศในปี 2565 - 2568 จากเดิมต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เป็น “จำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2569”

                                (1.2) มาตรการ EV3.5 ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ (นอกเหนือจากกรณีรถยนต์นั่งที่ผลิตในประเทศที่สามารถจำหน่ายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2569) จากเดิม ต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 เป็น “จำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2571”

                        (2) เห็นชอบการเปลี่ยนวิธีการนับจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยที่ได้มีการส่งออกไปต่างประเทศตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 จากเดิมเป็น “ผลิต 1 คัน นับเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน” โดยให้มีผลสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยที่ได้มีการส่งออกไปต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป จนถึงวันสิ้นสุดมาตรการ EV3.5 และให้สามารถนับการผลิตชดเชยยานยนต์ไฟฟ้าในส่วนที่เตรียมส่งออกเป็น 1.5 เท่า ณ วันสิ้นปีได้ โดยผ่อนผันระยะเวลาการส่งออก ได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน ในปีถัดไปสำหรับมาตรการ EV3 และ EV3.5 และวางหนังสือค้ำประกัน (Bank Guarantee) ที่มีจำนวนเงินเท่ากับหนังสือค้ำประกันที่ผู้เข้าร่วมมาตรการฯ ได้ยื่นไว้ต่อกรมสรรพสามิต ขณะเข้าร่วมมาตรการฯ และมีระยะเวลา ค้ำประกันเพิ่มเติมอีก 6 เดือน

                        (3) เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยผู้เข้าร่วมมาตรการ ดังกล่าวต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด

                        (4) เห็นชอบการขยายระยะเวลาการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 ไปผลิตชดเชยภายใต้เงื่อนไขของมาตรการ EV3.5 (เพิ่มโรงอุตสาหกรรม) ได้ แม้ประเภทผู้ขอรับสิทธิ หรือ คู่สัญญาของผู้ได้รับสิทธิระหว่างมาตรการ EV3 กับมาตรการ EV3.5 จะแตกต่างกันก็ตาม โดยผู้เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนด

                        (5) เห็นชอบการทบทวนการขอรับสิทธิและการนับจำนวนการนำเข้าเพื่อนำมาผลิตชดเชยตามมาตรการ EV3 และมาตรการ EV3.5 (Reverse Exit) ดังนี้

                                (5.1) รถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาภายในปี 2565 - 2566 ตามมาตรการ EV3 ที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์กับกรมการขนส่งทางบกแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการ EV3 ให้สามารถดำเนินการคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิต พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวที่ได้มีการคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิตจนครบตามจำนวนที่กฎหมายสรรพสามิตกำหนด จะไม่ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าตามมาตรการ EV3 ที่จะต้องมีภาระในการผลิตชดเชยต่อไป

                                (5.2) รถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาภายในปี 2567 - 2568 ตามมาตรการ EV3.5 ที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์กับกรมการขนส่งทางบกแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรการ EV3.5 ให้สามารถดำเนินการคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิต พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวที่ได้มีการคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิตจนครบตามจำนวนที่กฎหมายสรรพสามิตกำหนด จะไม่ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าตามมาตรการ EV3.5 ที่จะต้องมีภาระในการผลิตชดเชยต่อไป

                        (6) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของกรมสรรพสามิต

                3. เห็นชอบการขอขยายเวลาการนับมูลค่าเซลล์แบตเตอรี่ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้

                        (1) ให้ขยายระยะเวลาการนับมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่จากต่างประเทศ สำหรับการนำมาผลิตเป็นแบตเตอรี่ และนำไปผลิตหรือประกอบเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในเขตปลอดอากรหรือเขตประกอบการเสรีรวมเป็นต้นทุนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศสำหรับการคำนวณมูลค่าเพิ่มในประเทศออกไปอีก 6 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2569) โดยจะไม่มีการขยายเวลาเพิ่มเติมอีก และให้ปรับลดสัดส่วนมูลค่าของเซลล์แบตเตอรี่เป็นไม่เกินร้อยละ 10 ของราคายานยนต์ไฟฟ้า (BEV) หน้าโรงงาน และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2569 เป็นต้นไป และกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมของผู้ขอรับการผ่อนผัน ดังนี้

                                (1.1) บริษัทที่ขอรับสิทธิตามมาตรการนี้จะไม่สามารถขอรับเงินสนับสนุนภายใต้มาตรการ EV3.5 ได้ ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยให้กรมสรรพสามิตหยุดการจ่ายเงินอุดหนุนจนกว่าจะ สิ้นสุดการขอขยายระยะเวลา

                                (1.2) ต้องเสนอแผนการจัดหาชิ้นส่วนในประเทศที่ชัดเจน

                        (2) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร

                ประโยชน์และผลกระทบ

              การกำหนดมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะทำให้มีการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สามารถรักษาฐานการผลิตยานยนต์ของประเทศไทยให้สอดรับกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต และความต้องการของตลาดยานยนต์ในประเทศและต่างประเทศ สร้างความสามารถในการแข่งขัน เพื่อยกระดับศักยภาพในหลากหลายมิติ ควบคู่กับการขยายโอกาสของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก และดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายการผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ในปี พ.ศ. 2573

                ทั้งนี้ การปรับปรุงเงื่อนไขภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 จะสามารถลดผลกระทบต่อกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะความผันผวนของเศรษฐกิจทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ ได้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนให้เป็นไปด้วยความรอบคอบ และมีประสิทธิภาพ

 

9. เรื่อง รายงานการประเมินผลการดำเนินและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคม (รายงานการสำรวจความพึงพอใจฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และรายงานการประเมินผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ (รายงานการประเมินผลฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (คณะกรรมการฯ) เสนอ

                สาระสำคัญ

                คณะกรรมการฯ ในคราวการประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) ในขณะนั้นเป็นประธาน] ได้มีมติเห็นชอบรายงานการสำรวจ            ความพึงพอใจฯ ประจำปึงประมาณ พ.ศ. 2567 และรายงานการประเมินผลฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567          พร้อมทั้งมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ นำเสนอรายงานการประเมินผลฯ และรายงานการสำรวจ  ความพึงพอใจฯ ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

                1. รายงานการสำรวจความพึงพอใจฯ ประจำปึงประมาณ พ.ศ. 2567

                        (1) ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรฯ) พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ ในสวัสดิการที่ได้รับคิดเป็นร้อยละ 77.7 (ระดับพอใจมากร้อยละ 38.1 และพอใจร้อยละ 39.6) เนื่องจากสามารถบรรเทาภาระ ค่าใช้จ่ายได้จริง ส่วนผลสำรวจความพึงพอใจของผู้มีบัตรฯ ต่อสวัสดิการรูปแบบต่าง ๆ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจกับสวัสดิการแห่งรัฐทุกรายการในระดับพึงพอใจมาก โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ มาตรการบรรเทาค่าน้ำประปา มาตรการบรรเทาค่าไฟฟ้า และค่าซื้อสินค้าร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้าฯ) ตามลำดับ ในขณะที่สวัสดิการค่ารถโดยสารสาธารณะเป็นสวัสดิการที่กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจเป็นลำดับสุดท้าย เนื่องจากไม่สามารถใช้สิทธิสวัสดิการค่ารถโดยสารสาธารณะได้อย่างครอบคลุม โดยเสนอให้ลดวงเงินค่ารถโดยสารดังกล่าวเพื่อนำไปเพิ่มเติมวงเงินค่าซื้อสินค้าร้านธงฟ้าฯ และค่าดำรงชีพด้านอื่น ๆ

                        (2) ผลสำรวจการได้ใช้ประโยชน์จากสวัสดิการรูปแบบต่าง ๆ พบว่า สวัสดิการที่มีการใช้ประโยชน์มากเป็น 3 อันดับแรก ได้แก่ ค่าซื้อสินค้าร้านธงฟ้าฯ ค่ารถโดยสารสาธารณะ และมาตรการบรรเทาค่าน้ำประปา ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายเพื่อดำรงชีพจากสวัสดิการรูปแบบต่าง ๆ ของผู้มีบัตรฯ 3 อันดับแรกได้แก่ มาตรการน้ำประปา มาตรการบรรเทาค่าไฟฟ้า และค่าซื้อสินค้าร้านธงฟ้าฯ

                        (3) ผลสำรวจการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของผู้มีบัตรฯ ในภาพรวม พบว่า ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่ผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุ (ร้อยละ 30.7) ผ่านเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย (ร้อยละ 23.2) และผ่านทางหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ (ร้อยละ 21.2) ตามลำดับ ทั้งนี้ การรับรู้ข้อมูลข่าวสารสองลำดับสุดท้าย คือ Infographic และแผ่นพับหรือโปสเตอร์หรือ X-frame ในสัดส่วนเท่ากัน (ร้อยละ 1)

                        (4) เมื่อเปรียบเทียบรายงานการสำรวจความพึงพอใจฯ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2567 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่า ยังคงมีความพึงพอใจ ต่อสวัสดิการที่ได้รับในระดับ
พึงพอใจมาก โดยค่าเฉลี่ยคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 3.91 คะแนน เป็น 4.08 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) รวมถึงผู้มีบัตรฯ ส่วนใหญ่ยังเห็นว่าสวัสดิการ ที่ได้รับสามารถบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะสวัสดิการค่ารถโดยสารสาธารณะ

                2. รายงานการประเมินผลฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

                        (1) ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 มีผู้มีสิทธิตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 ที่ยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้วจำนวนทั้งสิ้น 13.91 ล้านคน จากผู้ผ่านสิทธิทั้งหมดจำนวน 14.98 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 92.85 โดยผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการเป็นวงเงินสิทธิสูงสุดจำนวน 1,492 บาทต่อคนต่อเดือน

                        (2) ผลการดำเนินงานของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (กองทุนฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีรายละเอียดผลการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 ดังนี้

 

ประเภทสวัสดิการ

วงเงินที่เบิกจ่าย
(ล้านบาท)

สวัสดิการที่ให้เป็นวงเงินผ่านบัตรประจำตัวประชาชน

50,637.91

(2.1) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น จำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน

47,770.17

(2.2) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม จำนวน 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน

1,405.62

(2.3) วงเงินรวมค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ จำนวน 750 บาทต่อคนต่อเดือน

1,462.12

สวัสดิการที่จ่ายตรงให้ผู้บริการ

2,441.45

(2.4) มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า อุดหนุนค่าไฟฟ้า จำนวน 35 บาทต่อครัวเรือน
ต่อเดือน

2,159.72

 

(2.5) มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา อุดหนุนค่าน้ำประปา จำนวน 100 บาท
ต่อครัวเรือนต่อเดือน

281.73

สวัสดิการที่ให้ผ่านระบบพร้อมเพย์ (บัตรประจำตัวประชาชน)

2,734.23

(2.6) มาตรการเงินเพิ่มเบี้ยความพิการ จำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน

2,734.23

รวมทั้งสิ้น

55,813.59

 

                     (3) ในส่วนอัตราผู้ใช้สิทธิประชารัฐสวัสดิการ พบว่าค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมีผู้ใช้สิทธิสูงที่สุด (ร้อยละ 95.50) รองลงมาคือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (ร้อยละ 31.60) และในส่วนของมูลค่าวงเงินประชารัฐสวัสดิการพบว่า ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม มีวงเงินการใช้สิทธิสูงที่สุด (ร้อยละ 99.97) รองลงมาคือค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค (ร้อยละ 99.92) ทั้งนี้ สวัสดิการที่ยังคงมีวงเงินการใช้ประโยชน์ต่ำ เช่น ค่าโดยสารรถสาธารณะ (ร้อยละ 35.45) เนื่องจากประเภทรถโดยสารสาธารณะที่สามารถใช้สิทธิสวัสดิการมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับระบบขนส่งสาธารณะทั่วไป รวมถึงผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะเอกชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ปี 2565 น้อย โดยเฉพาะเรือโดยสารสาธารณะที่ปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการเข้าร่วมสมัคร

                        (4) ด้านความคุ้มค่าของการจัดประชารัฐสวัสดิการ หากประเมินความคุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์โดยการคำนวณผลประโยชน์จากการจัดประชารัฐสวัสดิการ ต่อระบบเศรษฐกิจเปรียบเทียบกับมูลค่าการใช้สิทธิของผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐพบว่าผลประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าต้นทุนที่ใช้ในการจัดสวัสดิการประมาณ 20,618.7 ล้านบาท โดยงบประมาณที่รัฐใช้สำหรับจัดสวัสดิการนอกจากเป็นการลดค่าครองชีพและช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นให้แก่ผู้มีรายได้น้อยแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งยังเป็นการกระจายรายได้เข้าสู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากโดยตรงด้วย

                3. การจัดทำรายงานการสำรวจความพึงพอใจฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ทำให้รัฐบาลทราบถึงความพึงพอใจของผู้มีบัตรฯ รวมทั้งทำให้ทราบความต้องการของผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการให้ภาครัฐพิจารณาช่วยเหลือให้เหมาะสมและตรงตามเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลการสำรวจดังกล่าวประกอบการพิจารณาในการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในส่วนการจัดทำรายงานประเมินผลฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ทำให้รัฐบาลทราบถึงผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณผ่านการจัดสรรสวัสดิการ โดยใช้เป็นข้อมูลเพื่อพิจารณากำหนดนโยบายในการช่วยเหลือและจัดสวัสดิการในการลดค่าครองชีพ และบรรเทาภาระ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รวมถึงสามารถสะท้อนการใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าและได้ประสิทธิผลที่ชัดเจน

 

10. เรื่อง การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2570

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ ดังนี้

                1. กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2570

                2. ประเด็นสำคัญ (Agenda) ตัวชี้วัดการขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs)1 และตัวชี้วัดการบูรณาการร่วมกันภายใต้ภารกิจเดียวกันระหว่างส่วนราชการและจังหวัด (Joint KPIs by Function) ของจังหวัด2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2570

                เรื่องเดิม

              1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 พฤศจิกายน 2567) เห็นชอบกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามมติ ก.พ.ร. ในการประชุม ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ตามที่ ก.พ.ร. เสนอ โดยมีสาระสำคัญ เช่น (1) องค์ประกอบการประเมิน ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ ได้แก่ (1.1) การประเมินประสิทธิผลการดำเนินงาน (น้ำหนักร้อยละ 70) มีการกำหนดตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น ตัวชี้วัดเชิงยุทธศาสตร์สำคัญ (Strategic KPIs) Joint KPIs และ (1.2) การประเมินศักยภาพในการดำเนินงาน (Potential Base) (น้ำหนักร้อยละ 30) เช่น การประเมินสถานะของหน่วยงานในการเป็นระบบราชการ 4.0 (PMQA 4.0)3 การประเมินระดับความพร้อมรัฐบาลดิจิทัลของหน่วยงานภาครัฐ (2) กลุ่มเป้าหมายในการประเมิน ประกอบด้วย ส่วนราชการ จำนวน 163 หน่วยงาน และจังหวัด 76 จังหวัด (3) เกณฑ์การประเมิน แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ เกณฑ์การประเมินระดับตัวชี้วัด (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) และเกณฑ์การประเมินระดับส่วนราชการและจังหวัด (คะแนนเต็ม 100 คะแนน) (4) รอบระยะเวลาการประเมินที่กำหนดให้ประเมินส่วนราชการและจังหวัด ปีละ 2 รอบ ได้แก่ ครั้งที่ 1 รอบการประเมิน 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 มีนาคม ของปีถัดไป) และครั้งที่ 2 รอบการประเมิน 12 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 30 กันยายน ของปีถัดไป)

                2. คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 พฤศจิกายน 2567) เห็นชอบการจัดทำ Joint KPIs ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้ประเด็น Agenda จำนวน 6 ประเด็น ได้แก่ (1) การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ (2) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (3) รายได้จากการท่องเที่ยว (4) รายได้ของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) และหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product: OTOP) (5) การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และ (6) การยกระดับผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment: PISA) (ผลการประเมิน PISA) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย และมอบหมายให้ ก.พ.ร. พิจารณาการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของ Joint KPIs ตามมติ ก.พ.ร. ในการประชุม ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2567 ตามที่ ก.พ.ร. เสนอ

                3. คณะรัฐมนตรีมีมติ (20 พฤษภาคม 2568) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) [สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.)] กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกับการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการตรวจตรา ตรวจสอบ จับกุม และยึดทรัพย์ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ทั้งผู้ค้าและผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินการควบคุมตัวและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดด้วย โดยให้สำนักงาน ป.ป.ส. เป็นหน่วยงานประสานการดำเนินการและบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้จัดทำแผนกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานต่าง ๆ ในภาพรวม ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณากำหนดเป็นตัวชี้วัดผลงานที่สำคัญของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวด้วย

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2570 (ระยะเวลา 2 ปี) โดยมีรายละเอียดไม่แตกต่างจากกรอบการประเมินฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อให้สอดคล้องตามแผนแม่บทและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 รวมทั้งเพื่อให้กระบวนการจัดทำตัวชี้วัดการประเมินผลดังกล่าวสอดคล้องตามปฏิทินงบประมาณที่มีการดำเนินการล่วงหน้า ทำให้ส่วนราชการและจังหวัดทราบตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายล่วงหน้า และสามารถจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ได้อย่างเหมาะสมต่อไป สำหรับตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2570 ประกอบด้วย 14 ตัวชี้วัด ตามประเด็นสำคัญ (Agenda) จำนวน 7 ประเด็น ได้แก่ (1) การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ (2) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (3) รายได้จากการท่องเที่ยว (4) รายได้ของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) และหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product: OTOP) (5) การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 (6) การยกระดับผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment: PISA) (ผลการประเมิน PISA) และ (7) การแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่ง ก.พ.ร. ในการประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 และครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ Joint KPIs ตามประเด็น Agenda มีความสอดคล้อง กับแผนการดำเนินงานที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบไว้และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เช่น ประเด็น Agenda ที่ 1 การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ สอดคล้องกับ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงช่วงที่ 1 พ.ศ. 2566 - 2580) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567 และนโยบายรัฐบาล เรื่อง การอนุรักษ์ ฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างยั่งยืน และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ ประเด็น Agenda ที่ 2 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสอดคล้องกับ (ร่าง) แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 - 2573 ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 และนโยบายรัฐบาล เรื่อง ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ โดยส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด อย่างไรก็ดี สำหรับ Joint KPIs ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2570 (ที่เสนอในครั้งนี้) แตกต่างจาก Joint KPIs ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 จากเดิมมีประเด็น Agenda จำนวน 6 ประเด็น เป็น จำนวน 7 ประเด็น โดยเป็นการเพิ่มประเด็น Agenda 1 ประเด็นและเพิ่มจำนวน Joint KPIs ภายใต้ประเด็น Agenda จากเดิม 9 ตัวชี้วัด เป็น 14 ตัวชี้วัด สรุปได้ ดังนี้

Joint KPIs by Function ประจำปีงบประมาณ

พ.ศ. 2568

(มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567)

Joint KPIs by Function ประจำปีงบประมาณ

พ.ศ. 2569 - 2570 ที่เสนอในครั้งนี้

 

• ประเด็น Agenda

มี 6 ประเด็น ได้แก่ (1) การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ (2) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (3) รายได้จากการท่องเที่ยว (4) รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP (5) การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และ (6) การยกระดับผลการประเมิน PISA

มี 7 ประเด็น โดยเพิ่มประเด็น Agenda ที่ 7 การแก้ไขปัญหายาเสพติด (เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568)

 

• จำนวน Joint KPIs ตามประเด็น Agenda

มี 9 ตัวชี้วัด ดังนี้

มี 14 ตัวชี้วัด

ประเด็น Agenda ที่ 1 การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ

- ดัชนีความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ

คงเดิม

- คุณภาพน้ำของแม่น้ำสายหลัก จำนวน 65 แหล่งน้ำ มีคุณภาพเหมาะสมกับการใช้ประโยชน์

คงเดิม

 

- เพิ่มตัวชี้วัดร้อยละของตำบลที่ประสบภัยแล้งและอุทกภัยลดลง

ประเด็น Agenda ที่ 2 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

- ปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก

คงเดิม

 

- เพิ่มตัวชี้วัดปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิต

ประเด็น Agenda ที่ 3 รายได้จากการท่องเที่ยว

- รายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศ

คงเดิม

 

- เพิ่มตัวชี้วัดอัตราคดีเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย เพศ และทรัพย์ที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

ประเด็น Agenda ที่ 4 รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP

- สัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

คงเดิม

- อัตราการเติบโตมูลค่าสินค้า OTOP

คงเดิม

ประเด็น Agenda ที่ 5 การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5

ค่าเฉลี่ยรายปีปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ลดลง

คงเดิม

ประเด็น Agenda ที่ 6 การยกระดับผลการประเมิน PISA

(1) สัดส่วนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ร้อยละ 50 ขึ้นไปของคะแนนเต็ม

คงเดิม

(2) คะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบ O-NET ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เข้ารับการทดสอบใน 3 วิชาหลัก

คงเดิม

 

ประเด็น Agenda ที่ 7 การแก้ไขปัญหายาเสพติด

 

- สัดส่วนผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่อประชากร 1,000 คน

 

- ร้อยละของการจับกุมคดีความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ตัวชี้วัดการบูรณาการร่วมกันภายใต้ภารกิจเดียวกันระหว่างส่วนราชการและจังหวัด (Joint KPIs by Function) ของจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2570 ภายใต้กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการดังกล่าว จำนวน 10 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) มูลค่าการค้าชายแดน (2) อัตราการขยายตัวของมูลค่าสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น (3) อัตราการขยายตัวของมูลค่าสินค้าเกษตรปลอดภัยที่เป็นสินค้าอินทรีย์ (4) สัดส่วนของจำนวนวิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพในระดับดีต่อจำนวนวิสาหกิจชุมชนที่เข้ารับการประเมิน (5) อัตราคดีอาชญากรรมต่อประชากรแสนคน (6) ดัชนีพัฒนาการเด็กสมวัย (7) สถิติเหตุการณ์ความรุนแรงและความสูญเสียจากสถานการณ์ความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลง (8) ร้อยละของการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับพื้นที่ (9) ร้อยละของปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง และ (10) ความสำเร็จของการส่งเสริมสถานประกอบการเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมสีเขียว โดยจังหวัดสามารถเลือกเฉพาะตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในพื้นที่และประเมินผลติดตามการดำเนินงานต่อไป

              2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาแล้ว เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่ ก.พ.ร. เสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการเกี่ยวกับตัวชี้วัดเชิงยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น (1) ควรมีแนวทางการกำหนดตัวชี้วัดเชิงยุทธศาสตร์สำคัญที่ชัดเจน เพื่อให้คณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของแต่ละส่วนราชการนำไปใช้ประกอบการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดให้มีความสอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันของส่วนราชการในระยะต่อไป (สำนักงาน ก.พ.) (2) ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2571 - 2575) (สศช.) สำหรับการแจ้งผลการประเมินควรพิจารณาเร่งรัดกระบวนการแจ้งผลการประเมินของส่วนราชการและจังหวัด ทั้งในรอบ 6 เดือนและรอบ 12 เดือน ภายในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับการประเมินผู้บริหารของส่วนราชการ (สำนักงาน ก.พ)

_________________________________

1 Joint KPIs คือ ตัวชี้วัดร่วมของส่วนราชการที่มีการถ่ายทอดเป้าหมายจากระดับประเทศลงสู่ระดับหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันระหว่างส่วนราชการ จังหวัด องค์การมหาชน รัฐวิสาหกิจ กรุงเทพมหานครและหน่วยงานอื่น ๆ

2 จากการประสานข้อมูลเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 สำนักงาน ก.พ.ร. แจ้งว่า จังหวัดจะใช้ Joint KPIs by Function ในการขับเคลื่อนการดำเนินการในระดับพื้นที่ เช่น (1) มูลค่าการค้าชายแดน (2) อัตราการขยายตัวของมูลค่าสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น (3) อัตราคดีอาชญากรรมต่อประชากรแสนคน

3 PMQA 4.0 เป็นเครื่องมือในการประเมินสถานะของหน่วยงานว่ามีการปฏิบัติงานที่พัฒนาไปสู่ระบบราชการ 4.0 ซึ่งประกอบด้วย 7 หมวด เช่น การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ การให้ความสำคัญกับผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การวัด วิเคราะห์ และการจัดการความรู้

             

11. เรื่อง โครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (โครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้)

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบหลักการและแนวทางการดำเนินโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) หรือโครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ (โครงการฯ) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และมอบหมาย กค. โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันโครงการฯ ให้เห็นผลโดยเร็วและร่วมกันดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป  

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. รัฐบาลได้มีนโยบายด้านเศรษฐกิจภายใต้ นโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” ภายใต้แนวคิด “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้นำนโยบายดังกล่าวมากำหนดเป็นแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงาน 5 เสาหลัก เพื่อเร่งรัดการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประกอบด้วย (1) กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว (2) ลดภาระหนี้ประชาชน (3) เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises/SMEs) (4) เพิ่มการออมภาคประชาชนและ (5) การสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

                กค. ได้หารือร่วมกับ ธปท. และภาคสถาบันการเงินเพื่อขับเคลื่อนโครงการฯ ภายใต้เสาหลักที่ 2 ลดภาระหนี้ประชาชน มีเป้าหมายหลักคือการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากสถานะดังกล่าวโดยเร็ว และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต ควบคู่กับการลดแรงกดดันจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่อยู่กับสถาบันการเงิน

                2.  โครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) หรือ โครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ เป็นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบปัญหาในการชำระหนี้ โดยการรับซื้อหนี้เสียของลูกหนี้รายย่อยผ่านกลไกของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) และกำหนดให้บริษัทบริหารสินทรัพย์( AMC) ช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนเพื่อลดภาระหนี้ มีสาระสำคัญ ดังนี้

                        2.1 หลักการ ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ NPLs ให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ มีประวัติการชำระหนี้ที่นี้ที่ดีขึ้น และปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น รวมทั้งมีโอกาสเข้าถึงเชื่อในระบบได้เร็วขึ้น โดยการให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นโครงการเฉพาะกิจที่จะให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดเท่านั้น รวมทั้งจะกำหนดแนวทางจูงใจให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้และรักษาวินัยในการชำระหนี้ควบคู่ไปด้วย

                        2.2 คุณสมบัติลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ

                                2.2.1 ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่มีสถานะ ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นหนี้ที่มีการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาเกินกว่า 90 วันนับแต่วันครบกำหนดชำระ และมีภาระหนี้ NPLs รวมทุกประเภทสินเชื่อกับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย

                                 2.2.2 ประเภทสินเชื่อที่รับซื้อ คือ สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan) สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น และสินเชื่อที่เคยมีหลักประกันมีการบังคับหลักประกันแล้วหรือไม่สามารถติดตามทรัพย์ได้ และยังคงเหลือภาระหนี้คงค้างที่สามารถเรียกร้องได้ตามกฎหมายจากธนาคารพาณิชย์ บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions: SFIS)

                        2.3 รูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไขของโครงการฯ

                                2.3.1 กรณีลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทในกลุ่มธุรกิจ
ทางการเงินของธนาคารพาณิชย์

                                        (1) ธนาคารพาณิชย์และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ขายและโอนหนี้ให้กับบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับมอบหมาย ตามราคากลางและวิธีการบริหารจัดการหนี้ ที่ตกลงร่วมกัน

                                        (2) บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับมอบหมาย ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้หลังรับซื้อหนี้โดยการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนเพื่อลดภาระหนี้ตามแนวทางที่ ธปท. กำหนด ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่ (1) การจ่ายชำระหนี้บางส่วนเพื่อปิดบัญชีจบหนี้ และ (2) การผ่อนชำระหนี้ เป็นงวด ระยะเวลาสูงสุด 3 ปี สำหรับภาระดอกเบี้ยในระหว่างเข้าร่วมมาตรการจะถูกพักไว้ โดยหากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขจะยกเว้นดอกเบี้ยทั้งจำนวน ทั้งนี้ การบริหารจัดการหนี้ภายหลังปีที่ 3 เป็นต้นไปจะพิจารณาให้สอดคล้องกับศักยภาพของลูกหนี้ต่อไป

                                2.3.2 กรณีลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs)

                                        (1) สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ขายและโอนหนี้ให้กับบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับมอบหมาย ตามราคากลางและวิธีการบริหารจัดการหนี้ที่ตกลงร่วมกัน

                                        (2) บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับมอบหมาย ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้หลังรับซื้อหนี้ โดยการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนเพื่อลดภาระหนี้ตามแนวทางที่ ธปท. กำหนดเช่นเดียวกับ ข้อ 2.3.1 (2) เพื่อให้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFls) สอดคล้องกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์

                                2.3.3 กำหนดแนวทางจูงใจให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้และรักษาวินัยในการชำระหนี้ควบคู่ไปด้วย โดยกำหนดแนวทางให้มีการรายงานประวัติการชำระหนี้ ของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการฯ แก่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau: NCB) เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาให้สินเชื่อเพิ่มเติมของสถาบันการเงินเพื่อให้ลูกหนี้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองหรือมีแหล่งเงินทุนในการประกอบธุรกิจ ซึ่งไม่ใช่การขอสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ทั้งนี้ ในการพิจารณาให้สินเชื่อเพิ่มเติมดังกล่าว ให้สถาบันการเงินพิจารณารายได้ของลูกหนี้ โดยใช้รายได้ที่แสดงต่อกรมสรรพากรในการยื่นรายการภาษีเงินได้ และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เป็นสำคัญ

                                2.3.4 ทั้งนี้ ในกรณีที่ลูกหนี้รายเดียวกันมียอดสินเชื่ออยู่ทั้งในกรณีลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ตามข้อ 2.3.1 และกรณีลูกหนี้ของ SFls ตามข้อ 2.3.2 ให้บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับมอบหมาย บริหารจัดการหนี้แบบรวมศูนย์ตามแนวทางที่ ธปท. กำหนด นอกจากนี้ สำหรับภาระภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นเพิ่มเติมจากการดำเนินการตามโครงการฯ ให้บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับมอบหมายหารือกับ กค. ต่อไป

                3. การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) เพื่อให้
การช่วยเหลือลูกหนี้ครอบคลุมกลุ่มลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่มีคุณสมบัติที่กำหนดอย่างครบถ้วน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะกิจของแต่ละธนาคาร เพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ซึ่งเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ เช่น มาตรการปิดบัญชีลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ เป็นต้น โดยการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้ลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) หมดภาระหนี้ หลุดพ้นจากประวัติหนี้เสีย และมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เร็วขึ้น

                เป้าหมายลูกหนี้ที่คาดว่าจะเข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือ

                ลูกหนี้ที่คาดว่าจะเข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือจากโครงการฯ และการให้ความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) มีจำนวนประมาณ 2.36 ล้านบัญชี  ภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท ดังนี้

ลูกหนี้

จำนวนบัญชีลูกหนี้และประมาณการภาระหนี้

การแก้ไขหนี้ตามโครงการ

ปิดหนี้ไว ไปต่อได้

(ตามข้อ 2)

การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้

เพิ่มเติมของ SFIs เอง

(ตามข้อ 3)

ลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์

 

7.2 แสนบัญชี

16,600 ล้านบาท

-

ลูกหนี้บริษัทในกลุ่มธุรกิจ

ทางการเงินของธนาคารพาณิชย์

8.5 แสนบัญชี

27,000 ล้านบาท

-

ลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ

(SFIs)

7.9 แสนบัญชี

18,800 ล้านบาท แบ่งเป็น

3.25 แสนบัญชี

9,600 ล้านบาท

4.65 แสนบัญชี

9,200 ล้านบาท

(ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้เกษตรกร

และเป็นลูกหนี้ตามนโยบายรัฐ)

รวม

2.36 ล้านบัญชี

62,400 ล้านบาท

                ทั้งนี้ ลูกหนี้รายย่อยของสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) และเจ้าหนี้กลุ่มอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากลูกหนี้ข้างต้น จะได้รับการพิจารณาช่วยเหลือในลักษณะเดียวกับโครงการฯ ในระยะถัดไป เพื่อให้การช่วยเหลือ ยึดแกนลูกหนี้เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric)

                4. แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

                        4.1 การยกระดับข้อมูลหนี้สินครัวเรือนที่จัดเก็บในระบบฐานข้อมูลเครดิตให้ครอบคลุมผู้ให้บริการทางการเงินทุกประเภท ซึ่งรวมถึงผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) บริษัทบริหารสินทรัพย์ สหกรณ์ และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาพร้อมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลฐานข้อมูลภาระหนี้นอกระบบ และข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีข้อมูลที่ครบถ้วน

                        4.2 การผลักดันให้มีการประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตและการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง (Risk-based Pricing) ของลูกหนี้ที่เหมาะสม โดยอาจนำอารีย์สกอร์ (Ari Score) ที่ กค. กำลังพัฒนาเป็นเครื่องมือทางเลือกหนึ่งในการคำนวณคะแนนเครดิตโดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ร่วมมือกับ กค. ในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว ภายใต้กรอบนโยบายที่ กค. กำหนด เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์สินเชื่อของลูกหนี้ให้มีประสิทธิภาพและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของทุกฝ่าย รวมทั้งดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศตามมาตรฐานสากลและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนสามารถทราบและเข้าใจศักยภาพของลูกหนี้ระดับบุคคล ครัวเรือน และ SMEs ซึ่งจะทำให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถออกแบบมาตรการที่จะเข้ามาช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างเหมาะสม ตรงจุด และทันการณ์ต่อไป

                        4.3 การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการยกระดับรายได้ผ่านการส่งเสริมแรงงาน ทั้งการยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน การมีกระบวนการรับรองระดับฝีมือแรงงานรวมถึงการดูแลให้ SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจขนาดใหญ่ (Supply Chain) ได้รับความเป็นธรรมในการค้ากับธุรกิจ รายใหญ่ พร้อมทั้งผลักดันให้ธุรกิจรายใหญ่มีบทบาทในการดูแลคู่ค้า SMEs ให้สามารถปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันได้

                5. คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจในคราวประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ได้มีมติรับทราบแนวทางการดำเนินโครงการฯ ตามที่ กค. เสนอและให้ กค. นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบตามขั้นตอน รวมถึงมอบหมาย กค. โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดัน โครงการฯ ให้เห็นผลโดยเร็วและร่วมกันดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป

 

 

12. เรื่อง โครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน และอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จากธนาคารโลก โดยให้ ธสน. ขออนุมัติการกู้เงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ 

               สาระสำคัญของเรื่อง

                1. ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญและแสดงเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยเข้าร่วมความตกลงปารีส (Paris Agreement) และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 (COP26) โดยความตกลงปารีส (Paris Agreement) กำหนดให้ประเทศภาคีดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC)  ของแต่ละประเทศ  นอกจากนี้ ในการประชุม COP26 ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608       (ค.ศ. 2065) ดังนั้น การผลักดันบทบาทของประเทศไทยในตลาดคาร์บอนจึงเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตและจำหน่ายคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                2. กค. กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ธสน.และธนาคารโลกได้บูรณาการข้อมูลในการขับเคลื่อนกลไกการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศและด้านการเงินคาร์บอน รวมทั้งสร้างกลไกการมัดรวมคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลเป็นครั้งแรก เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายประเทศผ่านโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน โดยมี ธสน. เป็นหน่วยงานหลักในการกู้เงินจากธนาคารโลก ภายใต้กรอบวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นจำนวน  6,494 ล้านบาท โดยโครงการนี้จะเป็นโครงการต้นแบบที่ประเทศไทยสามารถนำเสนอ ความสำเร็จในการจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยในเวทีระดับนานาชาติ ในการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลก (IMF - World Bank Group Annual Meetings 2026) ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนตุลาคม 2569 โดยจะเป็นตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางครั้งแรกของโลก และสามารถนำไปขยายผลการดำเนินงานให้กับประเทศอื่น ๆ ต่อไปได้

                3. กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการโครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน และอนุมัติให้ กค. ค้ำประกันเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) วงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,494 ล้านบาท) จากธนาคารโลกเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยโครงการฯ เป็นการให้ความช่วยเหลือด้านองค์ความรู้จากธนาคารโลกเป็นหลัก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศไทยครั้งแรก ซึ่งธนาคารโลกจะสนับสนุนเงินทุนในรูปแบบของเงินกู้ผ่าน ธสน. เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการด้วย และรัฐบาลไทย โดย กค. ต้องค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการให้กู้กับภาครัฐของธนาคารโลกที่ต้องให้รัฐบาลเป็นผู้กู้หรือค้ำประกัน

                โครงการเมืองคาร์บอนต่ำและการพัฒนาตลาดคาร์บอน มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและพัฒนาแนวทางการใช้กลไกตลาดคาร์บอน และส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกและพัฒนาตลาดคาร์บอนของประเทศไทย โดยมีการดำเนินการที่สำคัญแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้

                     1) การจัดหาแหล่งเงินทุนและการลงทุนสำหรับดำเนินกิจกรรมด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยธนาคารโลกมุ่งหวังที่จะใช้ตลาดการเงิน สถาบันการเงินทั้งของรัฐและเอกชน และภาคเอกชนเป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก ผ่านการนำร่องโดยธนาคารโลกให้เงินกู้แก่ ธสน. เพื่อนำไปปล่อยกู้ต่อให้แก่ภาคเอกชนซึ่งเป็นบริษัทจัดการด้านพลังงาน (Energy Service  Company: ESCOs) และผู้รับเหมา (Engineering - Procurement – Construction : EPCs)  เพื่อให้ภาคเอกชนดังกล่าวลงทุนเทคโนโลยีด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก [เช่น การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) การปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency) ผ่านการเปลี่ยนไฟถนนเป็น LED] ในพื้นที่ของหน่วยงานนำร่องภาครัฐ (ในระยะแรก ได้แก่  การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร) โดยไม่เป็นภาระงบประมาณด้านการลงทุนติดตั้งระบบของหน่วยงานของรัฐ เมื่อดำเนินการลงทุนและมีการประหยัดพลังงานเกิดขึ้นแล้ว หน่วยงานของรัฐจึงชำระค่าบริการซึ่งจะมีอัตราที่ต่ำกว่าค่าไฟฟ้าที่หน่วยงานต้องจ่ายก่อนการลงทุนประหยัดพลังงานดังกล่าว เพื่อที่ภาคเอกชนผู้ลงทุนจะได้นำไปชำระคืนเงินกู้ แก่ ธสน. ต่อไป ซึ่งนอกจากการประหยัดงบประมาณที่เกิดขึ้นแล้ว จะเกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งสามารถนำไปสร้างคาร์บอนเครดิตเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้ของหน่วยงานของรัฐอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ หากการดำเนินการนำร่องประสบความสำเร็จ ธนาคารโลกมุ่งหวังว่าจะสามารถขยายการดำเนินการต้นแบบดังกล่าว โดยภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  (SMEs) ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการลงทุนประหยัดพลังงาน ผ่านการสนับสนุนภาคเอกชน  ซึ่งเป็นบริษัทจัดการด้านพลังงาน (ESCOs) และผู้รับเหมา (EPCs) ซึ่งสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ผ่านสถาบันการเงิน โดยไม่เป็นภาระงบประมาณทั้งต่อภาคธุรกิจและภาครัฐ

                2. การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงในประเทศไทย โดยการจัดตั้งหน่วยประสานงานและบริหารการซื้อขาย (Coordinating and Managing Entity: CME) จากการประสานข้อมูลกับ กค. ได้รับแจ้งว่า ในเบื้องต้น คาดว่าธนาคารกรุงไทยจะรับเป็นหน่วยประสานงานและบริหารการซื้อขาย (CME) ดังกล่าว ซึ่งมีบทบาทในการนำผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้จากหน่วยงานนำร่องภาครัฐและภาคธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการมาสร้างคาร์บอนเครดิตให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การว่าจ้างหน่วยงานรับรองในระดับสากล (เช่น Gold Standard ซึ่งเป็นหน่วยงานรับรองที่มีความน่าเชื่อถือสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์) และการนำคาร์บอนเครดิตที่มาจากโครงการขนาดเล็กต่าง ๆ มามัดรวมกัน (Aggregaion) เพื่อให้เป็นคาร์บอนเครดิตที่มีขนาดและปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ซื้อ โดยจะเป็นคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพสูง ได้มาตรฐานสากล มีการตรวจวัดและรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจกในรูปแบบ Digital Monitoring, Reporting and Verification (Digital MRV) (เช่น การติดตั้งมิเตอร์ดิจิทัลวัดพลังงานที่ประหยัดได้ ณ จุดติดตั้ง) และยังมีต้นทุนการตรวจรับรองต่อหน่วยต่ำเนื่องจากการมัดรวมโครงการขนาดเล็กจำนวนมากที่มีรูปแบบการดำเนินการเดียวกันมาตรวจรับรองร่วมกัน ทำให้โครงการขนาดเล็กต่าง ๆ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคารเรียนหรืออาคารสำนักงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีโอกาสเข้าถึงการลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมีรายได้

จากคาร์บอนเครดิตได้มากขึ้น และเมื่อมีการสร้างคาร์บอนเครดิตในคุณภาพและปริมาณที่เหมาะสมก็จะเอื้อให้เกิดการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย ซึ่งธนาคารโลกจะร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อพัฒนาระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วย และตั้งเป้าหมายในการขายคาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์แรกไปยังตลาดคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ และจะเริ่มขายคาร์บอนเครดิตครั้งแรกภายในปี พ.ศ. 2569

                ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน  สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นและข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ควรมีการเชื่อมโยงข้อมูลคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นเข้ากับระบบรายงานผลตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ของประเทศ เพื่อป้องกันการนับซ้ำของคาร์บอนเครดิต เพื่อให้การศึกษาและพัฒนาแนวทางการใช้กลไกตลาดคาร์บอนเป็นไปด้วยความรอบคอบ เห็นควรให้ กค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการประเมินความเสี่ยงและการจัดการความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และเป้าหมายของโครงการฯ จะเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกประเภทการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน (EE) และพลังงานหมุนเวียน (RE) โดยผู้ดำเนินโครงการอาจพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของโครงการลดก๊าซเรือนกระจกประเภทการดูดกลับ/กักเก็บก๊าซเรือนกระจก (Remora) ซึ่งเป็นประเภทที่มีความน่าเชื่อถือสูง (High Integrity) และมีความต้องการในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ขัดข้องในหลักการภาพใหญ่ของโครงการฯ อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยขอเสนอปรับรายละเอียดโครงการฯ ในส่วนของการจัดตั้งหน่วยประสานงานและบริหารการซื้อขาย (CME) ว่า ต้องดำเนินการโดยสถาบันการเงินที่มีความพร้อมและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นควรรับเข้าทดสอบการดำเนินการ CME และซื้อขายคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการ “นวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม (Green Innovation)” ภายใต้ Enhanced Regulatory Sandbox (ERS) หรืออนุญาตให้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวได้ รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินงานของ ธสน. เช่น ควรมีการวิเคราะห์สินเชื่ออย่างรัดกุมและกำหนดเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทจัดการด้านพลังงาน (ESCos) และผู้รับเหมางานด้านวิศวกรรมและการก่อสร้าง (EPCs) ให้ครอบคลุมความเสี่ยงของลูกหนี้ ตลอดจนคำนึงถึงการกระจุกตัวของลูกหนี้ตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ (Single Lending Limity)

 

13. เรื่อง แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และข้อเสนอโครงการของส่วนราชการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาค พ.ศ. 2566-2570  ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
(ก.น.บ.) เสนอ ดังนี้    

                1. แผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ของจังหวัด 76 จังหวัด และกลุ่มจังหวัด
18 กลุ่มจังหวัด  ประกอบด้วย (1) เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน (Y1) จำนวน 1,869 โครงการ งบประมาณรวม 23,763,394,303 บาท และ (2) เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน (Y2) จำนวน 261 โครงการ งบประมาณรวม 7,695,930,108 บาท รวมทั้งสิ้น 2,130 โครงการ งบประมาณรวม 31,459,324,411 บาท จำแนกเป็น

                1) โครงการและงบประมาณของจังหวัด 76 จังหวัด ประกอบด้วย (1) เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน (Y1) จำนวน 1,645 โครงการ งบประมาณรวม 17,628,924,183 บาท และ (2) เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน (Y2) จำนวน 244 โครงการ งบประมาณรวม 5,960,484,908 บาท รวมทั้งสิ้น 1,889 โครงการ งบประมาณรวม 23,589,409,091 บาท จำแนกเป็น

                        (1) โครงการและงบประมาณของจังหวัด ส่วนที่ 1 โครงการสำคัญตามแผนพัฒนาจังหวัด เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน (Y1) จำนวน 1,121 โครงการ งบประมาณรวม 13,597,083,488 บาท โครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน (Y2) จำนวน 151 โครงการ งบประมาณรวม 4,522,955,078 บาท รวมทั้งสิ้น 1,272 โครงการ งบประมาณรวม 18,120,038,566  บาท

                        (2) โครงการและงบประมาณของจังหวัด ส่วนที่ 2 โครงการอื่นที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาของจังหวัด หรือสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพัฒนาจังหวัด เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน (Y1) จำนวน 524 โครงการ งบประมาณรวม 4,031,840,695 บาทโครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน (Y2) จำนวน 93 โครงการ งบประมาณรวม 1,437,529,830 บาท รวมทั้งสิ้น 617 โครงการ งบประมาณรวม 5,469,370,525 บาท

                2) โครงการและงบประมาณของกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย (1) เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน (Y1) จำนวน 224 โครงการ งบประมาณรวม 6,137,470,120 บาท และ (2) เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน (Y2) จำนวน 17 โครงการ 1,735,445,200 บาท รวมทั้งสิ้น 241 โครงการ งบประมาณรวม  7,869,915,320  บาท จำแนกเป็น

                        (1) โครงการและงบประมาณของกลุ่มจังหวัด ส่วนที่ 1 โครงการ สำคัญตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน (Y1) จำนวน 160 โครงการ งบประมาณรวม 5,049,060,940 บาท โครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน (Y2) จำนวน 12 โครงการ งบประมาณรวม 1,529,063,000 บาท รวมทั้งสิ้น 172 โครงการ งบประมาณรวม 6,578,123,940 บาท

                        (2) โครงการและงบประมาณของกลุ่มจังหวัด ส่วนที่ 2 โครงการอื่นที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาของกลุ่มจังหวัด หรือสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน (Y1) จำนวน 64 โครงการ งบประมาณรวม 1,085,409,180 บาท โครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน (Y2) จำนวน 5 โครงการ งบประมาณรวม 206,382,200 บาท รวมทั้งสิ้น 69 โครงการ งบประมาณรวม 1,291,791,380 บาท

                2. เห็นชอบข้อเสนอโครงการของส่วนราชการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาค พ.ศ. 2566-2570 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 รวมจำนวน 372 โครงการ ทั้งนี้ ขอให้สำนักงบประมาณให้ความสำคัญและพิจารณาสนับสนุนงบประมาณโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาภาคเป็นลำดับแรก เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12

                ประโยชน์และผลกระทบ

                เพื่อให้จังหวัด กลุ่มจังหวัด และส่วนราชการ สามารถดำเนินการตามคำของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการอนุมัติ เพื่อดำเนินการตามแผนงาน/โครงการ และสามารถใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ

 

14. เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักเกณฑ์ แนวทาง และอัตราการจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยและขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัย เพิ่มเติม

               คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ ดังนี้

                1. อนุมัติหลักการเพิ่มเติมพื้นที่ในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเป็นค่าปลงศพอีก 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปัตตานี ยะลา พัทลุง นราธิวาส สตูล และจังหวัดตรัง

                2. เห็นชอบในหลักเกณฑ์ แนวทาง และอัตราการจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยตั้งแต่วันที่           17-30 พฤศจิกายน 2568 ทั้งนี้ หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมให้หน่วยงานพิจารณาดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว และขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป

                3. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติมอีกจำนวนเงิน 164,000,000 บาท เพื่อจ่ายเงินค่าปลงศพผู้ประสบอุทกภัยตามหลักเกณฑ์ แนวทาง และอัตราค่าการจ่ายเงินปลงศพผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และจังหวัดตรัง โดยให้จังหวัดที่มีผู้ประสบอุทกภัยเสียชีวิตดังกล่าว เร่งรัดดำเนินการตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป

 

15. เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และขอทบทวนเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 18 พฤศจิกายน 2568 และ 25 พฤศจิกายน 2568

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอ ดังนี้

                1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568

                2. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569  งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม 10,405,769,100 บาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือ    ผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ข้อ 1. โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย ผ่านธนาคารออมสิน โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป

รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้

               สาระสำคัญของเรื่อง

               เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ มีความรุนแรงก่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้ประสบภัยอย่างรุนแรง ประกอบกับเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่อำเภอบางบาล                   จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย และรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน   จึงมีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.)                   ครั้งที่ 1/2568 ในวันจันทร์ ที่ 6 ตุลาคม 2568 ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอขอค่าช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้นให้แก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัย เป็นกรณีพิเศษ ต่อคณะรัฐมนตรี ดังนี้

                1. ให้ความช่วยเหลือในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท กรณีดังต่อไปนี้

                        1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย

                        2) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง เกินกว่า 7 วันขึ้นไป

                        3) กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบ จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป

                        4) กรณีที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัยจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป

                2. ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ประสบอุทกภัยถูกน้ำท่วมขังติดต่อกัน                  ในอัตราดังต่อไปนี้

                        1) ตั้งแต่ 31-60 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท

                        2) ตั้งแต่ 61-90 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 10,000 บาท

                        3) ตั้งแต่ 91-120 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 15,000 บาท

                        4) ตั้งแต่ 121 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 20,000 บาท

                3. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ให้แล้วเสร็จและครบถ้วนโดยเร็ว โดยไม่ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ โดยมอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้เสนอทบทวนหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าว

                        จากเดิม

                        (2) ต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จากผู้นำชุมชน หรือ ผู้ใหญ่บ้าน หรือ กำนัน คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับรอง กรณีที่ผู้ประสบภัยรายใดไม่มีผู้รับรองให้ทำการประชาคมเพื่อเป็นการรับรองแทน และ...

                      ขอทบทวนเป็น

                        (2) ต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จากผู้นำชุมชนหรือ ผู้ใหญ่บ้าน หรือ กำนัน คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับรอง และ...

                        ทั้งนี้ ให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ

โดยขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 วงเงิน                             10,405,769,100 บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสินโดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้

                4. ผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568  ตามข้อ 1. และ     ข้อ 2. (ข้อมูล ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2568 เวลา 19.55 น.)

                        (1) ดำเนินการจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยแล้ว จำนวน 522,585 ครัวเรือน จำนวนเงิน 4,707,749,000 บาท

                        (2) อยู่ระหว่างรอโอนจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน 388,268 ครัวเรือน จำนวนเงิน 3,494,412,000 บาท

                        (3) อยู่ระหว่างจังหวัดดำเนินการและคาดว่าจะต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัย จำนวน1,526,274 ครัวเรือน จำนวนเงิน 12,192,474,100 บาท

ดังนั้น เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม จึงเห็นควรขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ                  พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม จำนวน 10,405,769,100  บาท

               ประโยชน์และผลกระทบ

                ผู้ประสบอุทกภัยได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และให้การดำรงชีพกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

 

16. เรื่อง ผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของวุฒิสภาในการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาการบริหารงานของสำนักงานประกันสังคม

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของวุฒิสภาในการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาการบริหารงานของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป

                เรื่องเดิม

                1. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (สว.) ได้เสนอข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของวุฒิสภาในการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาการบริหารงานของ สปส. มาเพื่อดำเนินการ โดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิรูป สปส. ให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสร้างความมั่นคงให้กับผู้ประกันตน อาทิ การทบทวนหลักการและยุทธศาสตร์การลงทุน สิทธิประโยชน์และมาตรฐานการรักษาพยาบาล การปรับปรุงการบริหารงานกองทุนประกันสังคม รวมถึงการตรวจสอบและการป้องกันการทุจริต

                2. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ รง. เป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) สำนักงบประมาณ (สงป.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าวและสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

                สาระสำคัญของเรื่อง

              กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาผลการพิจารณาข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของวุฒิสภาในการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาการบริหารงานของสำนักงานประกันสังคมแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาว่าสำนักงานประกันสังคมได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนระยะยาว ฉบับที่ 5 ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2558 - 2570) กำหนดสัดส่วนการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและมั่นคงสูง โดยขยายการลงทุนในตลาดต่างประเทศและสินทรัพย์นอกตลาด มีการศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและอิสระในการบริหารงานและได้กำหนดแผนการชำระหนี้ค้างชำระในปีงบประมาณ 2569 - 2572 และขยายความคุ้มครองและเพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 40 แต่ไม่เพิ่มเงินสมทบให้แก่ผู้ประกันตน รวมถึงมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ในหลายช่องทาง (www.sso.go.th, Facebook, Tiktok, Line) เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง

 

ต่างประเทศ

 

17. เรื่อง การภาคยานุวัติเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการยกเลิกข้อกำหนดของการนิติกรณ์ สำหรับเอกสารมหาชนจากต่างประเทศ (Convention Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents หรืออนุสัญญา Apostille)

               คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้

                1. เห็นชอบการภาคยานุวัติ เพื่อเข้าเป็นเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการยกเลิกข้อกำหนดของการนิติกรณ์ สำหรับเอกสารมหาชนจากต่างประเทศ (Convention Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents หรืออนุสัญญา Apostille)

                2. มอบหมายให้ กต. ดำเนินการจัดทำภาคยานุวัติสาร (Instrument of Accession) สำหรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว เพื่อยื่นต่อกระทรวงการต่างประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะผู้เก็บรักษา

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. อนุสัญญา Apostille มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2508 ทั้งนี้ ปัจจุบันมีประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญา Apostille ทั้งหมดจำนวน 127 ประเทศ และตั้งแต่ปี 2565 – 2567 คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา Apostille ได้จัดการประชุมเพื่อพิจารณาการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา Apostile ทั้งหมด 3 ครั้ง โดยในการประชุม ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมมีมติว่า ประเทศไทยมีความพร้อมในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา Apostille ทั้งทางด้านเอกสาร กฎหมาย และเทคนิค ซึ่งต่อมาคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการภายหลังประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกที่ประชุมแห่งกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (คณะกรรมการระดับชาติฯ) ในการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 ซึ่งมีรัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรม (พลตำรวจเอก ทวี สอดส่อง) ในขณะนั้น เป็นประธาน มีมติเห็นชอบตามมติของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา Apostille ครั้งที่ 1/2567 แล้ว

              2. อนุสัญญา Apostille มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสะดวกในการหมุนเวียนเอกสารมหาชนที่ได้ทำขึ้นในภาคีคู่สัญญาหนึ่งและจะถูกนำไปแสดงในภาคีคู่สัญญาอีกภาคีหนึ่งโดยเปลี่ยนระบบการรับรองเอกสารตามรูปแบบธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศแบบห่วงโซ่ที่มีหลายขั้นตอน (chain legalisation) และมีค่าใช้จ่ายในขั้นตอนต่าง ๆ จำนวนมาก ให้เหลือเพียงการรับรองเอกสารเพียงขั้นตอนเดียวในรูปแบบของการออกใบรับรอง Apostille และสามารถนำเอกสารไปใช้กับหน่วยงานในภาคีคู่สัญญาปลายทางได้ทันที

                3. ภายหลังจากที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา Apostille แล้วการรับรองนิติกรณ์เอกสารที่จะนำไปใช้ในต่างประเทศจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบการออกใบรับรอง Apostille [แทนการรับรองเอกสารแบบห่วงโซ่ที่มีหลายขั้นตอน (chain legalisation)] ซึ่งทำให้จำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการในปีแรกหลังเข้าเป็นภาคี ประมาณ 42.27 ล้านบาทและในปีถัดไปปีละประมาณ 19.50 ล้าน

                ประโยชน์และผลกระทบ

                1. ช่วยลดภาระขั้นตอนการรับรองเอกสารให้กับหน่วยงานราชการป้องกันไม่ให้เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกัน

                2. เพิ่มความสะดวกในการนำเอกสารมหาชนของไทยไปใช้ในภาคีคู่สัญญาที่ไม่มีสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลในประเทศไทย

                3. อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและภาคธุรกิจทั้งสัญชาติไทยต่างชาติที่จำเป็นต้องดำเนินการรับรองเอกสาร โดยจะมีส่วนช่วยให้การดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศมีความสะดวกขึ้น

                4. ลดภาระให้กับเจ้าหน้าที่กงสุลไทยในต่างประเทศ

 

18. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์อาหารและบริการที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมฮาลาลและการพัฒนาส่งเสริมการส่งออกฮาลาล ระหว่างรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี - เปอร์ตวน แห่งบรูไนดารุสซาลาม และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ดังนี้

                1. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนในผลิตภัณฑ์อาหารและบริการที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมฮาลาล และการพัฒนาส่งเสริมการส่งออกฮาลาล ระหว่างรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี - เปอร์ตวน แห่งบรูไนดารุสซาลาม (บรูไน) และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (ไทย) (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทยให้ อก. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง

                2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวของฝ่ายไทย

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. สมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี ฮัขซานัล บลเกียะฮ์ มูอิชชัดดิน วัดเดาละฮ์ แห่งบรูไน ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนไทยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 - 29 เมษายน 2567 ในฐานะแขกรองรัฐบาลตามคำกราบบังคมทูลเชิญของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ณ ขณะนั้น โดยในระหว่างการเยือนไทยผู้นำทั้งทั้งสองประเทศได้ออกถ้อยแถลงข่าวร่วมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ อก. ในสาขาความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านความมั่นคงทางอาหารและความร่วมมือฮาลาล โดยผู้นำทั้งสองได้ย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือในอุตสาหกรรมฮาลาลผ่านความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่าง อก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของบรูไน อาทิ กระทรวงการคลังและเศรษฐกิจ กระทรวงทรัพยากรพื้นฐานและการท่องเที่ยว และกระทรวงศาสนา ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านอุตสาหกรรมฮาลาล และการส่งเสริมและพัฒนาการส่งออกสินค้าฮาลาล เพื่อกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นต่อไป

                2. อก. ได้ยกร่างบันทึกความเข้าใจฯ และได้มีการประสานงานจัดทำร่างโต้ตอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่าง อก. และทรวงการคลังและเศรษฐกิจแห่งบรูไนเพื่อให้มีความสอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของทั้งสองประเทศ ประกอบกับ อก. อยู่ระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2567 - 2570) เพื่อเตรียมการขับเคลื่อนการดำเนินงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหารและความร่วมมือฮาลาล ในการนี้ อก. ได้มีการเตรียมการจัดสรรงบประมาณประจำปี เพื่อรองรับการดำเนินงานข้อริเริ่มกิจกรรมและโครงการความร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือในด้านความมั่นคงทางอาหาร และความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของทั้งสองประเทศ

                โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่มีเจตนาที่จะสร้างข้อผูกพันทางกฎหมายระหว่างไทยและบรูไนตามกฎหมายภายในประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงจะไม่ก่อให้เกิดกระบวนการทางกฎหมายและข้อผูกพันที่มีผลทางกฎหมายที่บังคับใช้ได้ทั้งโดยตรงหรือโดยนัย แต่หากในกรณีที่เหมาะสม ไทยหรือบรูไนหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจะสามารถทำข้อตกลงที่มีผลผูกพันเพื่อดำเนินการตามโครงการ กิจกรรมหรือโปรแกรมร่วมที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันได้

                    นอกจากนี้ ไทยหรือบรูไนสามารถยกเลิกการดำเนินการตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการชั่วคราวได้ทั้งหมดหรือบางส่วนด้วยเหตุผลผลด้านความมั่นคงของประเทศ ผลประโยชน์แห่งชาติ ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือสาธารณสุข ซึ่งการระงับการดำเนินการจะมีผลทันทีหลังจากที่ได้มีการแจ้งให้ผู้เข้าร่วมอีกฝ่ายทราบผ่านช่องทางการทูต รวมทั้ง ร่างบันทึกความเข้าใจฯ อาจถูกทบทวน แก้ไข หรือปรับปรุงได้ตลอดเวลาโดยได้รับความยินยอมและ/หรือการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจากทั้งสองฝ่ายและจะมีผลบังคับใช้ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ณ วันที่ไทยและบรูไนตกลงร่วมกัน โดยการทบทวน/แก้ไข/ปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะไม่กระทบต่อผลประโยชน์และข้อผูกพันที่เกิดขึ้นตามหรือก่อนวันที่มีการทบทวน/แก้ไข/ปรับปรุง

                 ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่มีการลงนามโดยไทยและบรูไนและการยุติและจะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 5 ปี (สามารถขยายระยะเวลาออกไปได้อีก 5 ปี แต่จะต้องผ่านความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายผ่านช่องทางการทูต) ทั้งนี้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจยุติร่างบันทึกความเข้าใจ ได้โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ภาคีอีกฝ่ายทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน ก่อนวันที่ตั้งใจจะยุติ ซึ่งการยุติร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะไม่กระทบต่อการดำเนินการ กิจกรรมหรือโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ก่อนวันที่จะมีการยุติร่างบันทึกความเข้าใจฯ เว้นแต่ผู้เข้าร่วมจะตัดสินใจร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรในการยุติการดำเนินการ กิจกรรมหรือโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ก่อนกำหนด

 

19. เรื่อง มาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตคอนเทนต์ของต่างชาติ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ และเห็นสมควรที่กระทรวงวัฒนธรรมจะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน พิจารณาถึงความเป็นไปได้ ในการดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เหมาะสม และศึกษาวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างรอบคอบ ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์ สิทธิประโยชน์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินงานที่ชัดเจนเหมาะสม และโปร่งใส ให้ครอบคลุมทั้งด้านการลงทุน การจ้างงานและการพัฒนาทักษะแรงงานไทย ผลลัพธ์ตอบแทนต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งสามารถวัดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และไม่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้โดยไม่จำเป็น สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นหากกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแสดงให้เห็นถึงที่มาของการคำนวณอัตราการคืนเงิน ที่เหมาะสม และพิจารณาแล้วเห็นว่าการจ่ายเงินคืนตามมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ มีความคุ้มค่า และคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญแล้ว ก็เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและสอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป โดยพิจารณาให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 โดยแถลงถึงนโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจในการสร้างรายได้ มุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการสร้างโอกาสให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น ซึ่งมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติจะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านการให้เงินสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในสาขาแอนิเมชั่น วิชวลเอฟเฟกต์ (Visual Effects) และงานหลังการผลิต (Post-Production) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างรายได้จากต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพแรงงานทักษะสูงของไทยอย่างเป็นรูปธรรม

                2. อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างผลิตมูลค่าสูง ผู้ผลิตงานด้านดิจิทัลคอนเทนต์ในประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ มีเครื่องมือการผลิตมาตรฐานระดับสากล และมีแรงงานทักษะสูง จึงดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้ามาจ้างผู้ประกอบการไทยให้ผลิตงานดิจิทัลคอนเทนต์จำนวนมาก สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชันและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) ได้รายงานมูลค่าอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยในปี พ.ศ. 2567 ว่า มีการจ้างรวมกว่า 3,322 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าการผลิตใช้ในประเทศ 1,019 ล้านบาท และมูลค่าการรับจ้างจากต่างประเทศ 2,303 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยในเวทีนานาชาติมีคุณภาพสูงและสามารถแข่งขันได้ แต่เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์จึงทำให้เกิดความเสียเปรียบในการแข่งขัน ผู้ประกอบการต่างชาติส่วนมากจะไปจ้างผู้ประกอบการในประเทศที่มีมาตรการให้เงินสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการจ้างมากกว่า เช่น สหพันธรัฐมาเลเซีย มีมาตรการให้เงินสนับสนุนร้อยละ 30 – 35 ไต้หวันมีมาตรการให้เงินสนับสนุนร้อยละ 30 สาธารณรัฐฟิลิปปินส์มีมาตรการให้เงินสนับสนุนร้อยละ 20 และนิวซีแลนด์มีมาตรการให้เงินสนับสนุนร้อยละ 20

                3. การส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติจึงเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อสร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยในเวทีนานาชาติ และยังก่อให้เกิดการจ้างแรงงานเพิ่มในอุตสาหกรรมฯ ในประเทศไทยซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาในด้านที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม เกิดการพัฒนาทักษะและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับต่างชาติ จำเป็นต้องกำหนดมาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีนโยบายในการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ ซึ่งสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ได้เสนอต่อที่ประชุมฯ ให้มีการศึกษา จัดการประชุมหารือ รวบรวมข้อมูล อุตสาหกรรมฯ และจัดทำข้อเสนอแนะกลไก กระบวนการ และแนวทางการพิจารณาสิทธิประโยชน์มาตรการเงินคืน (Cash Rebate) เพื่อสนับสนุนการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ และเพื่อลดขั้นตอนและกระบวนการพิจารณา ประกอบกับมาตรการดังกล่าวเป็นวาระเร่งด่วนเพื่อสร้างแต้มต่อและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมแอนิเมชันของไทย คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจึงมีมติมอบหมาย วธ. ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการเงินคืนตามแนวทางที่สำนักงาน ป.ย.ป. นำเสนอต่อไป

                4. วธ. โดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติได้ประสานขอรับข้อมูลจากภาคอุตสาหกรรมแอนิเมชันและได้จัดประชุมหารือและรับฟังข้อคิดเห็นกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฯ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 เพื่อชี้แจงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของมาตรการส่งเสริมสิทธิประโยชน์เงินคืน (Cash Rebate) โดยกำหนดนิยามชื่อมาตรการใหม่ คือ มาตรการส่งเสริมการจ้างผลิต ดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ และได้รับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว จึงได้นำเสนอต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี) เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติได้เห็นชอบในหลักการร่างมาตรการ ส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ โดยมอบหมายให้ วธ. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

                มาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตดิจิทัลคอนเทนต์ของต่างชาติ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

                (1) วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการผลิต ยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ส่งเสริม ศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระดับนานาชาติ ส่งเสริมการจ้างแรงงานไทย พัฒนาทักษะและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ รวมถึงรวบรวมและจัดทำฐานข้อมูล ค่าใช้จ่ายเพื่อกำหนดนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อไป

                (2) ผู้มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ คือ บริษัทต่างชาติที่มีสัญญาจ้างบริษัทไทยวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไปต่อสัญญา และมอบหมายให้ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ยื่นคำขอรับสิทธิประโยชน์แทน โดยผู้ประกอบการไทยที่เป็นผู้รับจ้าง ต้องเป็นนิติบุคคลด้านแอนิเมชัน วิชวลเอฟเฟกต์ หรือ Post-Production มีผู้ถือหุ้นและกรรมการ กึ่งหนึ่งเป็นคนไทย เปิดกิจการไม่น้อยกว่า 2 ปี มีค่าใช้จ่ายจ้างพนักงานไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และมีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย

                (3) สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ คือ เงินสนับสนุนร้อยละ 20 ของค่าจ้างตามสัญญา

                (4) เงื่อนไขการเข้าร่วมมาตรการ ได้แก่ ผู้ประกอบการไทยที่เป็นผู้รับจ้าง ต้องยื่นแสดงความประสงค์ขอรับสิทธิมาตรการก่อนเริ่มดำเนินการตามรายการรับจ้างและสามารถยื่นได้หลายสัญญา โดยภาครัฐจะจ่ายเงินคืนครั้งเดียวแก่บริษัทต่างชาติโดยตรงเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จตามสัญญา มีหลักฐานการส่งมอบงาน และหลักฐานการรับเงินค่าจ้างบริษัทต่างประเทศ ทั้งนี้ วธ. ได้ประมาณการวงเงินที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อปีประมาณปีละ 500 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะขอรับการจัดสรรงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 200 ล้านบาท และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป จะขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีวงเงินประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี

                5. สลค. เห็นว่า การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว วธ. ได้ประมาณการวงเงินที่ขอรับการจัดสรรต่อปี ประมาณปีละ 500 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นวงเงินประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ข้อ 9 (3) กำหนดให้ สงป. พิจารณา จัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้แก่หน่วยรับงบประมาณ ซึ่งในกรณีวงเงินที่เกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท สงป. จะเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว สงป. จะแจ้งให้หน่วยรับงบประมาณนำเรื่องเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น จึงเห็นควรให้ วธ. ดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไป

                6. ประโยชน์ : มาตรการส่งเสริมการจ้างผลิตคอนเทนต์ของต่างชาติ จะทำให้ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมด้านแอนิเมชันและกระบวนการให้บริการด้านงานหลังการผลิต (Post - Production Service) มีความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันการเจรจาธุรกิจกับผู้จ้างจากต่างประเทศ  ลดค่าเสียโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย ดึงดูดการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายในการจ้างงานหลักในอุตสาหกรรม อีกทั้งเป็นการช่วยส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในประเทศไทย เกิดการพัฒนาทักษะลดการเคลื่อนย้ายของแรงงานไทยที่จะออกไปทำงานที่ต่างประเทศ และสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรม

 

20. เรื่อง การเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกของพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

                คณะรัฐมนตรีมติรับทราบการเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออก จำนวน 5 ด่าน ในภาคผนวกของพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ

                เรื่องเดิม

              1. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of Customs of the People’s Republic of China: GACC) ได้มีการลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับเงื่อนไขของใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกักกันโรคและการตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ไทยผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยกับจีน ซึ่งจุดนำเข้าและ  จุดส่งออกสำหรับการขนส่งผลไม้ของทั้งสองฝ่ายจะถูกกำหนดลงในภาคผนวกของพิธีสารฉบับนี้ โดยไม่จำกัดเส้นทางในการขนส่งผลไม้ระหว่างกัน ทั้งนี้ การลงนามพิธีสารเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเห็นชอบและอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการดังกล่าว

                2. ในการประชุมหารือทางเทคนิคระหว่างกรมการกักกันพืชและสัตว์ GACC และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกทั้ง 5 ด่านของไทยและจีนในภาคผนวกของพิธีสารฯ โดยเห็นควรให้ภาคผนวก มีผลบังคับใช้ในเบื้องต้นภายในวันที่ 1 กันยายน 2568 ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายภายในประเทศ และตกลงจะแลกเปลี่ยนช่องทางติดต่อรวมถึงวันที่ด่านพร้อมดำเนินการต่อไป

                สาระสำคัญ

                1. พิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจร่วมกันว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2547 โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดของใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) ตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกักกันโรคและการตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยกับจีน ซึ่งจุดนำเข้าและจุดส่งออกสำหรับการขนส่งผลไม้ของทั้งสองฝ่ายจะถูกกำหนดลงในภาคผนวกของพิธีสารฉบับนี้ กรณีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกอื่นของทั้งสองฝ่าย สามารถเพิ่มเข้าไปในภาคผนวกของพิธีสารนี้ได้ผ่านการหารือเห็นชอบร่วมกัน โดยในภาคผนวกของพิธีสารที่ได้มีการลงนามแล้วระบุจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 10 ด่าน ได้แก่ 1) โหย่วอี้กว่าน 2) โม่ฮาน 3) ตงชิง 4) สถานีรถไฟผิงเสียง 5) สถานีรถไฟโม่ฮาน 6) หลงปัง 7) สุยโข่ว 8) เหอโข่ว 9) สถานีรถไฟเหอโข่ว และ 10) เทียนป่าว ขณะที่จุดนำเข้าและจุดส่งออกของไทยมีจำนวน 6 ด่าน ได้แก่ 1) เชียงของ 2) มุกดาหาร 3) นครพนม 4) บ้านผักกาด 5) บึงกาฬ และ 6) หนองคาย ซึ่งปัจจุบันจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ระบุในพิธีสารฯ จำนวน 1 ด่าน ได้แก่ สถานีรถไฟเหอโข่ว ยังไม่เปิดนำเข้าผลไม้จากไทยเนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก

                2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ GACC ได้เห็นชอบร่วมกันในการเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกของพิธีสารดังกล่าว โดยขอเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 ด่านในมณฑลยูนนาน ได้แก่ 1) เมิ่งคัง และ 2) ต๋าลั่ว และขอเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกของราชอาณาจักรไทย จำนวน 3 ด่าน ได้แก่ 1) ทุ่งช้าง จังหวัดน่าน 2) ภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และ 3) บ้านฮวก จังหวัดพะเยา ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือตอบรับอย่างเป็นทางการ และผ่านการประชุมหารือทางเทคนิคระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

                ประโยชน์และผลกระทบ

                1. การเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกของพิธีสารฯ สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 - 2569) รวมถึงแผนความร่วมมือที่เกี่ยวข้องด้านต่าง ๆ ในภาคเกษตร เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและเกิดการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามพรมแดน เพื่อให้เกิดการไหลเวียนที่คล่องตัวขึ้นของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรระหว่างไทยกับจีน

                2. การเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกดังกล่าว เป็นการช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าสู่ตลาดจีนของผลไม้ไทยและเพิ่มทางเลือกในการขนส่งผลไม้ทางบก อันเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและ ผู้ประกอบการไทย อีกทั้งช่วยลดความแออัดจากการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางเดิมในช่วงฤดูกาลผลไม้ด้วย

 

21. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการพัฒนากฎหมายในประเทศไทยกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)

                คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานความคืบหน้าการพัฒนากฎหมายในประเทศไทย ในเรื่องการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพ (Regulatory Reform in Thailand: Reinforcing an Effective Regulatory Environment) และเอกสารเชิงนโยบายเรื่องการเริ่มต้นนำหลักความได้สัดส่วนมาปรับใช้กับโครงสร้างการวิเคราะห์ผลกระทบของกฎหมายในประเทศไทย (OECD Public Govence Policy Papers-Introducing Proportionality to Thailand's Regulatory Impact Assessment Framework) (เอกสารเชิงนโยบายฯ) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.)  เสนอ

               สาระสำคัญ

                1. ประเทศไทยได้ดำเนินโครงการ Country Programme (CP) ระยะที่ 1 ร่วมกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) มาตั้งแต่ปี 2561 โดย สคก. เป็นผู้รับผิดชอบหลักในด้านการปฏิรูประบบกฎหมายและดำเนินการตามหลักปฏิบัติเรื่องการมีกฎหมายที่ดี (Regulatory Reform and Good Regulatory Practices) และ สคก. ได้นำหลักปฏิบัติดังกล่าวมาพัฒนาเป็นแนวทางและคู่มือการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและ
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 รวมทั้งได้จัดให้มีการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาทักษะด้านการมีกฎหมายและกฎระเบียบที่ดีให้แก่เจ้าหน้าที่ของ สคก. โดยมีผู้เชี่ยวชาญงานหลักจาก OECD ร่วมให้ความรู้ด้วย ซึ่งในปี 2563 สคก. ได้มีการนำเสนอผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 เพื่อทราบแล้วครั้งหนึ่ง (OECD Reviews of Regulatory Reform, Regulatory Management and Oversight Reforms in Thailand:A Diagnostic Scan เผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม 2563)

                2. ต่อมารัฐบาลได้เริ่มดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทย และ OECD ระยะที่สองในช่วงระหว่างปี 2566-2568 (Thailand-OECD Country Progamme Phase 2) ซึ่ง สคก. ได้ร่วมดำเนินงานในโครงการย่อย เพื่อพัฒนากฎหมายของไทย โดยมุ่งปรับปรุงระบบกฎหมายเพื่อลดต้นทุนการดำรงชีวิตและประกอบธุรกิจของประชาชน รวมทั้งการสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐจัดทำร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคม และ
ในปัจจุบัน สคก. ดำเนินการดังกล่าวร่วมกับ OECD จนสำเร็จลุล่วงแล้ว โดยจัดทำรายงานสรุปผลการศึกษาเรื่องดังกล่าวในหัวข้อ การพัฒนากฎหมายในประเทศไทย ในเรื่องการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพ (รายงานการพัฒนากฎหมายในประเทศไทยฯ) นอกจากนั้น  ยังดำเนินการร่วมกับ
กองนโยบายกฎหมายของ OECD เพื่อศึกษาการนำหลักความได้สัดส่วนมาปรับใช้กับระบบกฎหมายไทย และมีการจัดทำเอกสารเชิงนโยบายฯ ซึ่งได้เผยแพร่อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568

                3. รายงานและเอกสารดังกล่าว เป็นการศึกษาพัฒนาการของการดำเนินการในแนวนโยบายด้านกฎหมาย (Regulatory Policy Review) ของประเทศไทยทั้งนโยบายกฎหมายและกฎระเบียบที่มีอยู่ สถาบัน
ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการกำกับดูแลและเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน  รวมถึงการประเมินผลกระทบของกฎระเบียบทั้งก่อนการประกาศใช้บังคับ (ex ante) และหลังการใช้บังคับ (ex post) ตลอดจนแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดทำกฎหมายและกฎระเบียบ โดยเป็นการวิเคราะห์ภาพรวมของระบบการกำกับดูแลของประเทศทั้งระบบ ซึ่งเมื่อเทียบกับรายงาน Thailand Regulatory Management and Oversight  Reforms:
A Diagnostic Scan เล่มเดิมที่ จัดทำเมื่อปี 2563 พบว่า ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านการพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในช่วงระยะเวลา 4 ปี
ที่ผ่านมา ความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของหน่วยงานภาครัฐในการยกระดับกรอบการดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ผลกระทบและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและกฎระเบียบสมควรได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ OECD จึงได้จัดทำข้อเสนอแนะเพื่อเสริมสร้างให้กรอบการดำเนินงานของประเทศไทยมีความสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่ดีในระดับสากลอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จำนวน 15 ข้อ ดังนี้

                        1) ส่งเสริมการตัดสินใจเชิงนโยบายที่อิงจากข้อมูลและหลักฐาน โดยทำให้การวิเคราะห์ผลกระทบและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายและกฎระเบียบ (RIA) เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางนโยบายในทุกระดับ พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มากขึ้น

                        2) พิจารณาเพิ่มความโปร่งใสและความรับผิดชอบในระบบการทำงาน เช่น การจัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับคุณภาพของการจัดทำ RIA และการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลตัวเลขที่เกี่ยวข้องเท่าที่สามารถทำได้ และอาจพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการด้านกฎหมายที่ดี โดยกำหนดเป้าหมายชัดเจนเพื่อพัฒนางานในด้านนี้

                        3) สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้จากหน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่นด้านการจัดทำ RIA เพื่อให้หน่วยงานอื่นสามารถนำแนวทางที่ดีไปปรับใช้และยกระดับการทำงานของตนเอง

                        4) เน้นย้ำบทบาทของ สคก. ในฐานะหน่วยงานกลางรับผิดชอบในการพัฒนาคุณภาพและสร้างมาตรฐานของการออกกฎหมาย

                        5) เสริมสร้างศักยภาพด้านการวิเคราะห์เชิงนโยบายในหน่วยงานภาครัฐโดยการ
เพิ่มประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่จัดทำนโยบายให้มีความเชี่ยวชาญแบบพหุศาสตร์ เช่น เศรษฐศาสตร์
การวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีทักษะในการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลและหลักฐาน

                        6) พัฒนาคู่มือและแนวทางในการทำ RIA และการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้
ส่วนเสียอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งพิจารณากำหนดมาตรฐานด้านหลักฐานที่ควรใช้ในการประเมิน เพื่อให้การดำเนินงานมีความชัดเจนและน่าเชื่อยิ่งขึ้น

                        7) เริ่มต้นกระบวนการ RIA ตั้งแต่ระยะแรกของการกำหนดนโยบายและปรับปรุงแนวทางการดำเนินงาน โดยให้ผู้ปฏิบัติงานพิจารณาทางเลือกนโยบายอย่างหลากหลาย  รวมถึงทางเลือก “ไม่ดำเนินการใด ๆ” (do-nothing scenairo) และกำหนดเป้าหมายที่สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายนั้นอย่างชัดเจน

                        8) นำระบบการวางแผนการออกกฎหมายล่วงหน้าและหลักการจัดลำดับความสำคัญ
มาใช้ เพื่อให้สามารถบริหารทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและให้ความสำคัญกับการศึกษานโยบายหรือกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบสูงเป็นพิเศษอย่างรอบคอบ

                        9) กำหนดให้รัฐมนตรีลงนามรับรองในสรุปผลการจัดทำ RIA เพื่อให้ทั้งฝ่ายข้าราชการประจำและฝ่ายการเมืองมีความรับผิดชอบร่วมกันต่อสาธารณะและเพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ
ในกระบวนการกำหนดนโยบาย

                        10) กำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนว่า การเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียควรเกิดขึ้นเมื่อใด โดยส่งเสริมให้เริ่มกระบวนการรับฟังตั้งแต่ระยะแรกของการวิเคราะห์นโยบายเพื่อช่วยระบุว่า
เป็นปัญหาจริงหรือไม่ และปัญหานั้นคืออะไรแทนที่จะเริ่มรับฟังเมื่อร่างกฎหมายหรือข้อเสนอได้ถูกจัดทำขึ้นแล้ว

                        11) ขยายระยะเวลาขั้นต่ำในการเปิดรับฟังความคิดเห็นจาก 15 วัน เป็น 30-60 วัน
ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีของ OECD เพื่อให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจมีเวลาศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
อย่างรอบคอบ

                        12) ใช้ระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น โดยส่งเสริม
ให้เป็นช่องทางสื่อสาร 2 ทาง ระหว่างภาครัฐกับประชาชน เช่น การเผยแพร่ร่าง RIA  เพื่อเปิดให้แสดงความคิดเห็นและพิจารณาให้แต่ละกระทรวงตอบข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเปิดเผย

                        13) วิเคราะห์และทบทวนกฎหมายตามระดับผลกระทบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากร บุคลากร และงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลในเชิงคุณภาพ
ตามเป้าหมายของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย                        พ.ศ. 2562

                        14) กำหนดให้มีการบังคับให้มีการดำเนินการทบทวนกฎหมายและกฎระเบียบหลังการประกาศใช้บังคับ หากเป็นกรณีที่มีผลกระทบสูง เพื่อให้มั่นใจว่าการทบทวนในประเด็นสำคัญจะได้รับการวางแผนล่วงหน้า มีการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรที่เหมาะสมรองรับการดำเนินการทบทวนอย่างเป็นระบบ เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย

                        15) พัฒนานโยบายระดับชาติด้านการบังคับใช้กฎหมายและการส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (regulatory delivery policy) ในภาพรวมของรัฐบาล โดยควรบูรณาการหลักการกำกับดูแลตามระดับความเสี่ยง (risk-based regulation) การกำหนดเป้าหมายการตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้อง
กับระดับความเสี่ยงที่แท้จริง รวมถึงการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย
เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพโดยทั้งหมดควรดำเนินการตามแนวปฏิบัติที่ที่ดีด้านกฎหมายและกฎระเบียบตามมาตรฐาน OECD เพื่อเสริมสร้างระบบการกำกับดูแลที่โปร่งใสและสนับสนุนการปฏิบัติตามกฎหมายโดยภาคประชาชนและภาคธุรกิจ

                4. แนวทางที่ประเทศไทยควรดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าว เพื่อพัฒนาการบังคับใช้พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 สามารถ
แบ่งออกเป็นกิจกรรมในระยะสั้นและระยะยาวใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การจัดสรรทรัพยากร (2) การพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ และ (3) การเสริมสร้างระบบกำกับดูแล โดยในระยะสั้นควรกำหนดให้มีการวางแผนออกกฎหมายล่วงหน้าเพื่อเปิดเผยต่อสาธารณะ สร้างกลไกคัดกรองลำดับความสำคัญของกฎหมายและพัฒนาระยะเวลาการรับฟังความคิดเห็นให้ยืดหยุ่นและทันเวลา รวมถึงส่งเสริมการอบรมเชิงลึกและความตระหนักรู้
ของเจ้าหน้าที่รัฐในเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎหมายและกฎระเบียบและในระยะยาว ควรมีการศึกษาและพัฒนาแนวทางการวิเคราะห์ผลกระทบที่สามารถวัดผลได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น cost-benefit analysis รวมถึงเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นใน RIA  กับการประเมินผลสัมฤทธิ์ภายหลังที่กฎหมายประกาศใช้บังคับแล้ว พร้อมจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะภายในแต่ละหน่วยงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการจัดทำ RIA อย่างเป็นระบบ อีกทั้งควรพัฒนาระบบการกำกับดูแลและรายงานผลต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลด้านกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศ

                5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

                        1) ผลการศึกษาของรายงานฉบับนี้ทำให้รับทราบถึงมุมมองที่ OECD มีต่อโครงสร้างทางนโยบายด้านกฎหมายของประเทศไทยทั้งต่อตัวบทกฎหมายและแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนากฎหมายและกระบวนการก่อนและหลังการออกกฎหมายของประเทศ รวมถึงมุมมองที่มีต่อหน่วยงานที่มีบทบาทเกี่ยวข้อง
กับการกำกับดูแลนโยบายด้านกฎหมายของประเทศและหน่วยงานในระดับปฏิบัติ ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องในกระบวนการออกกฎหมาย

                        2) สคก. อยู่ในระหว่างการนำคำแนะนำต่าง ๆ มาปรับใช้กับการพัฒนากฎหมายของประเทศไทยให้สอดคล้องกับบริบทการพัฒนาของประเทศ โดยได้เริ่มดำเนินการตามคำแนะนำดังกล่าวไปบ้างแล้ว เช่น การพัฒนาคู่มือและแนวทางในการทำ RIA และการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างต่อเนื่อง
การดำเนินการวิเคราะห์และทบทวนกฎหมายตามระดับผลกระทบ

                        3) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำคำแนะนำของ OECD ไปปรับปรุงและพัฒนากลไกการกำหนดนโยบายทางด้านกฎหมายและกฎระเบียบ ปรับปรุงและพัฒนากลไกการกำกับดูแลและการปฏิบัติงานของสถาบันที่เกี่ยวข้องในกระบวนการออกกฎหมาย ปรับปรุงและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินงาน รวมถึงการประเมินผลกระทบของกฎหมายทั้งก่อนและหลังการใช้บังคับ ตลอดจนแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดทำกฎหมายและกฎระเบียบ เพื่อทำให้กลไกการดำเนินการของประเทศไทยมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติที่ดีในระดับสากล

 

22. เรื่อง การรับรองร่างแถลงการณ์สุดท้ายของการประชุม Global Forum of the United Nations Alliance of Civilizations ครั้งที่ 11 

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้

                1. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์สุดท้ายของการประชุม Global Forum of the United Nations Alliance of Civilizations ครั้งที่ 11 ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างแถลงการณ์สุดท้ายฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของไทย อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาและดำเนินการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก

                2. ให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม Global Forum of the United Nations Alliance of Civilizations ครั้งที่ 11 หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ร่วมรับรองร่างแถลงการณ์สุดท้ายฯ

                สาระสำคัญของเรื่อง

               ร่างแถลงการณ์สุดท้ายฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม Global Forum of the United Nations Alliance of Civilizations ครั้งที่ 11 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “UNAOC: Two Decades of Dialogue for Humanity: Advancing a New Era of Mutual Respect and Understanding a Multipolar World” โดยรัฐบาลราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ ซึ่งร่างแถลงการณ์สุดท้ายฯ จะมีการรับรองในช่วงการประชุมดังกล่าว ระหว่างวันที่ 14 - 15 ธันวาคม 2568 ที่กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยร่างแถลงการณ์สุดท้ายฯ มีสาระสำคัญ เช่น  ย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมความเข้าใจและความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างอารยธรรม วัฒนธรรม ศาสนา และความเชื่อ รวมถึงบทบาทสำคัญของสตรี เยาวชน การศึกษา ผู้นำทางศาสนา สื่อ การกีฬา และปัญญาประดิษฐ์ ในการส่งเสริมการสนทนาระหว่างศาสนาและวัฒนธรรม

                ประโยชน์และผลกระทบ

                ร่างแถลงการณ์สุดท้ายฯ สะท้อนประเด็นที่สมาชิกพันธมิตรหลากอารยธรรมแห่งสหประชาชาติ แสดงเจตนารมณ์รวมกันที่จะผลักดันสำหรับการดำเนินงานของพันธมิตรฯ ต่อไป                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                    

 

23. เรื่อง ขอความเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Coop ไทย – สปป.ลาว) ครั้งที่ 8

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) (Cooperative Plan Meeting between the Ministry of Commerce of Thailand and the Ministry of Industry and Commerce of Lao PDR: Coop ไทย – สปป.ลาว) ครั้งที่ 8 ระดับรัฐมนตรี ทั้งนี้ หากมีความร่วมมือนอกเหนือจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ที่เป็นผลประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทยกับ สปป.ลาว ให้ผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. การประชุม Coop ไทย – สปป.ลาว เป็นกลไกการหารือระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของ สปป.ลาว เป็นประธานร่วม โดยจะมีการหารือประเด็นเชิงนโยบายด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ความเชื่อมโยงการค้าชายแดนและผ่านแดน ร่วมถึงการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาศักยภาพหรือที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน

                2. พณ. โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้จัดประชุมเตรียมการฝ่ายไทยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 และเข้าร่วมการประชุม Coop ไทย - สปป.ลาว ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ผ่านระบบประชุมทางไกลเพื่อพิจารณาประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายประสงค์จะผลักดันในการประชุม Coop ไทย - สปป.ลาว ครั้งที่ 8 ระดับรัฐมนตรี โดยได้จัดทำเป็นแนวทางข้อเสนอท่าทีไทยใน 4 ประเด็น ได้แก่ เป้าหมายการค้า การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยว และความร่วมมืออื่น ๆ

                 ทั้งนี้ พณ. แจ้งว่า การประชุมดังกล่าวจะเป็นโอกาสในการรื้อฟื้นการประชุมทวิภาคีระดับรัฐมนตรี ซึ่งผ่านมาเป็นระยะเวลา 7 ปี นับจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และจะเป็นเวทีหารือแนวทางขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน รวมถึงผลักดันการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ให้มีความคืบหน้าและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นตลอดจนร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย – สปป.ลาว ในปี 2568 ด้วย

 

24. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทาน
ของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน  

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนา
ความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ

               สาระสำคัญ

                1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (23 ตุลาคม 2568) เห็นชอบหลักการร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริม
การลงทุน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ โดยให้ปรับปรุงถ้อยคำตามที่ กต. และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 รวมทั้งอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจตัดสินใจว่าจะลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ หรือไม่ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ในการประชุมและประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ

                2. ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติตามข้อ 1 กต. ได้ปรับปรุงถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ของฝ่ายไทยตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และได้นำส่งฝ่ายสหรัฐอเมริกาพิจารณา โดยเป็นการปรับปรุงถ้อยคำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญภายใต้หัวข้อ Areas of Cooperation โดยได้เพิ่มเติม 2 ประเด็น ดังนี้

                        2.1 หัวข้อ Areas of Cooperation ข้อ 1 ฝ่ายสหรัฐอเมริกาขอคงคำว่า first opportunity to invest ในขณะที่ฝ่ายไทยขอเพิ่มเติมในส่วนของโอกาส ในการเข้ามาลงทุนของสหรัฐอเมริกา จะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย (in accordance with domestic laws) เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับภายในที่บังคับใช้อยู่ อาทิ พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542

                        2.2 หัวข้อ Areas of Cooperation ข้อ 5 ฝ่ายสหรัฐอเมริกายอมรับการปรับปรุงถ้อยคำของฝ่ายไทยในเรื่องการพัฒนาตลาดที่มีมาตรฐานสูง แต่ขอเพิ่มคำว่า preferentially เพื่อรักษาสิทธิพิเศษระหว่างผู้แข่งขันในตลาดที่มีมาตรฐานสูง โดยไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่า ต้องเป็นนักลงทุนสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว

                        ทั้งนี้ การปรับปรุงถ้อยคำดังกล่าวเพื่อให้มีความรัดกุมมากขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อไทย และถือเป็นร่างโต้ตอบสุดท้ายของฝ่ายสหรัฐอเมริกา เพื่อฝ่ายไทยประกอบการพิจารณาลงนาม

                ประโยชน์ที่ไทยได้รับ

                บันทึกความเข้าใจฯ จะช่วยเสริมสร้างความเป็นพันธมิตรไทย – สหรัฐอเมริกา และเป็นโอกาส
ในการแสดงความมุ่งมั่นของไทยที่จะส่งเสริมความร่วมมือและเป็นพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ กับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือกับไทยในประเด็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญและ
ประสงค์ผลักดันให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อเป็นเอกสารผลลัพธ์สำคัญ (key deliverable) ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ในห้วงที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา มาร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47
ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย ดังนั้น การลงนามบันทึกความเข้าใจฯ จึงเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกและ
แสดงความพร้อมของฝ่ายไทย อีกทั้งเป็นโอกาสสำหรับไทยในการมีปฏิสัมพันธ์และความร่วมมือกับฝ่ายสหรัฐอเมริกา
ทั้งในแง่ของการแบ่งปันความรู้ความเชี่ยวชาญ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในประเด็นแร่ธาตุสำคัญต่อไปได้ตลอดจนจะมีส่วนช่วยให้ฝ่ายสหรัฐอเมริกามีข้อพิจารณาที่เป็นบวกต่อไทยในการขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวโยงกับแร่ธาตุที่มีความสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงอื่น ๆ โดยส่งเสริม
ให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมดังกล่าว นอกจากนี้ บันทึกความเข้าใจฯ มิได้มุ่งหมาย
ที่จะกีดกันหรือห้ามมิให้ภาคีมีความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในประเด็นห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุและแร่ธาตุหายาก

  

แต่งตั้ง

 

25. เรื่อง การแต่งตั้งประธานร่วมฝ่ายไทยในองค์กรร่วมไทย – มาเลเซีย

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เสนอ นายณอคุณ
สิทธิพงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานร่วมฝ่ายไทยในองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ต่อไป อีกวาระหนึ่ง และสมาชิกอื่น (ฝ่ายไทย) อีก 6 คน ในองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ซึ่งเป็นข้าราชการระดับหัวหน้าส่วนราชการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คงองค์ประกอบเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2541 (เรื่อง การแต่งตั้งประธานร่วมและสมาชิกฝ่ายไทยในองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย) โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2570 ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี
(นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

                1. นายณัฏฐา พาชัยยุทธ ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ.ร.

                2. นายธนศักดิ์ มังกโรทัย ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ.ร.

                3. นางสาวณฐิณี สงกุมาร ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ.ร.

                4. นางสาวจิตตา กิตติเสถียรนนท์ ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ.ร. ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ.ร.

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นายเผด็จ ลายทอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล
และชายฝั่ง ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 2 ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

                1. นายชาครีย์ บำรุงวงศ์    รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                2. นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

                1. นายคมกฤช จันทร์ขจร รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                2. นางธรรมพร แข็งกสิการ รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 2 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                3. นางจีรนันท์ เพ่งพินิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                4. นางยุพิน บัวคอม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                5. นายเอกราช ชวีวัฒน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป และรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) ได้ให้ความเห็นชอบด้วยแล้ว

 

30. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญ

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอรับโอน นายชยันต์
เมืองสง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรีมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักนายกรัฐมนตรี

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการบริหารราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้เห็นชอบ และผู้มีอำนาจสั่งบรรจุของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว

 

31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งว่างและเพื่อการสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

                1. นายพีรพันธ์ คอทอง พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมส่งเสริมการเกษตร และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

                2. นางอัญชลี สุวจิตตานนท์ พ้นจากตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมหม่อนไหม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมส่งเสริมการเกษตร

                3. นายศรัญญู พูลลาภ พ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง

ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมหม่อนไหม

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป

 

32. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการธนาคารออมสิน

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการธนาคารออมสิน ดังนี้

                1. นายพรชัย ฐีระเวช                  ประธานกรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)

                2. นายพลจักร นิ่มวัฒนา                      กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)

                3. นายนรพรรษ เพ็ชรตระกูล               กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)

                4. นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์                    กรรมการ

                5. รองศาสตราจารย์ธนวรรธน์ พลวิชัย  กรรมการ

                6. นางสาวศศิธร พลัตถเดช          กรรมการ

                7. นายอนุรักษ์ นิยมเวช                       กรรมการ

                8. นายวิษณุ ตัณฑวิรุฬห์                     กรรมการ

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

 

33. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการ
และกรรมการในคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ดังนี้

                1. นายธีรลักษ์ แสงสนิท (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)          ประธานกรรมการ

                2. นางชนันภรณ์ พิศิษฐวานิช (ผู้แทนกระทรวงการคลัง) กรรมการ

                3. พลตำรวจเอก สำราญ นวลมา                           กรรมการ

                4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทศพล สอตระกูล                 กรรมการ

                5. นายทองเปลว กองจันทร์                          กรรมการ

                6. นายบุญชัย จรัสแสงสมบูรณ์                             กรรมการ

                7. นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์                          กรรมการ

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

 

34. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการ ธอส. ดังนี้

                1. นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล          กรรมการ

                2. นางสาวขนิษฐา สหเมธาพัฒน์               กรรมการ

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเพิ่มเติมอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว

 

35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง เสนอแต่งตั้ง นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล เป็นกรรมการในคณะกรรมการ ธ.ก.ส. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการ ซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว

 

36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอแต่งตั้ง นายสมฤกษ์ จึงสมาน (ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข) กรรมการในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม แทน นายพงศธร พอกเพิ่มดี ประธานกรรมการที่ขอลาออก แต่ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ทั้งนี้ ให้มีผลในการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง นับตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และให้มีวาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่ง คือ เท่ากับวาระของคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมชุดปัจจุบันที่คงเหลืออยู่

 

37. เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายดิชวัฒน์ จันทร์อี่
ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568

 

38. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงยุติธรรม

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายการเมือง โดยแต่งตั้ง นายศุภชัย  ใจสมุทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นโฆษกกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายการเมือง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

 

ของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2569

 

39. ทราบเพื่อเป็นข้อมูล 5 เรื่อง โครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2569 สำหรับประชาชน ของกระทรวงคมนาคม
                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2569 สำหรับประชาชน ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                กระทรวงคมนาคมโดยหน่วยงานในสังกัดได้พิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่มีความเหมาะสมที่จะมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2569 ให้แก่ประชาชน เพื่อส่งความสุขให้แก่ประชาชนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง และกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศ ดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา โดยเป็นแผนงาน/โครงการที่หน่วยงานในสังกัดสามารถดำเนินการให้มีผลในทางปฏิบัติได้ทัน ช่วงเวลาปีใหม่ ภายใต้กรอบแนวคิด “H.N.Y 2569 - Happiness of All, Network of Care, and Year of Safety” ประกอบด้วย          “H - Happiness of Al!” เดินทางอย่างมีความสุข ทุกเส้นทางเพื่อคนไทย “N - Network of Care” ใส่ใจ ดูแลกัน เหมือนเพื่อนร่วมทาง “Y - Year of Safety” ปีแห่งความปลอดภัยบนท้องถนนและทุกการเดินทาง สรุปสาระสำคัญดังนี้

                “H - Happiness of Al!” เดินทางอย่างมีความสุข ทุกเส้นทางเพื่อคนไทย อาทิ

                        1. กรมเจ้าท่า (จท.) ร่วมกับบริษัท ไทยสมายล์ โบ้ท จำกัด จัดโครงการล่องเรือไหว้พระ 9 วัด รับปีใหม่ พ.ศ. 2569 ในวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2568 เพื่อมอบความสุข สร้างรอยยิ้ม และเสริมสร้างสิริมงคลชีวิตเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2569 ตลอดจนสร้างจิตสำนึก ปลูกฝังค่านิยมและวิถีชีวิตอันดีงามในสังคมไทย และเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ในหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา ให้แก่ประชาชนชาวไทย จำนวน 240 คน ด้วยการล่องเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า MINE Smart Ferry (เรือ EA) จำนวน 2 ลำ ลำละ 120 คน เริ่มเดินทางออกจาก จท. ไปยังสถานที่ปลายทาง ดังนี้

                        1) เรือลำที่ 1 ออกเดินทางล่องเรือไหว้พระจากทางทิศเหนือ

                        2) เรือลำที่ 2 ออกเดินทางล่องเรือไหว้พระจากทางทิศใต้

 

ลำดับที่

เส้นทางล่องเรือลำที่ 1 (ทิศเหนือ - ใต้)

เส้นทางล่องเรือลำที่ 2 (ทิศใต้ - เหนือ)

1

วัดบุคคโล

วัดวิมุตยาราม

2

วัดวรจรรยาวาส

วัดแก้วฟ้าจุฬามณี

3

วัดยานนาวา

วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

4

วัดวิมุตยาราม

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

5

วัดแก้วฟ้าจุฬามณี

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

6

วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

7

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

วัดยานนาวา

8

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

วัดวรจรรยาวาส

9

วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

วัดบุคคโล

หมายเหตุ  เส้นทางการล่องเรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

 

                        2. กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) อาทิ

                        2.1 ขยายเวลารับชำระภาษีรถประจำปีสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการขนส่งที่ใช้รถในช่วงเทศกาลปีใหม่และไม่สามารถเดินทางมาชำระภาษีรถประจำปีในช่วงเวลาราชการ สามารถชำระภาษีรถประจำปีก่อนและหลังเวลาราชการ ดังนี้

                        - การชำระภาษีรถประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ให้บริการผ่านช่องทางเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม 2568 - 2 มกราคม 2569 (เว้นวันหยุดราชการ) เวลา 07.30 - 18.00 น. ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ

                        - การชำระภาษีรถประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ให้บริการระหว่างวันที่
22 - 30 ธันวาคม 2568 (เว้นวันหยุดราชการ) เวลา 07.30 - 18.00 น. ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 จตุจักร กรุงเทพมหานคร  

                     2.2 ขยายเวลารับลงทะเบียนรถจักรยานยนต์สาธารณะผ่านแอปพลิเคชันในเขตกรุงเทพมหานครก่อนเวลาเปิดทำการ ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2568 - 15 มกราคม 2569
(เว้นวันหยุดราชการ) เวลา 07.30 - 08.30 น. ณ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 จตุจักร กรุงเทพมหานคร โดยผู้ยื่นลงทะเบียนต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ มีชื่อเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองรถในเล่มจดทะเบียน จดทะเบียนได้ 1 คนต่อ 1 คัน จำกัดขนาดเครื่องยนต์ (รถน้ำมันไม่เกิน 125 ซีซี รถไฟฟ้ามอเตอร์ขนาด 250 - 4,000 วัตต์) และภายหลังจดทะเบียนต้องเปลี่ยนป้ายทะเบียนเป็นป้ายเหลือง

 

                     3. กรมทางหลวง (ทล.) อาทิ

                        3.1 ยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เป็นเวลา 7 วัน ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 เวลา 00.01 น. - 5 มกราคม 2569 เวลา 00.00 น. ทั้งในส่วนของมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 กรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง และมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอน บางปะอิน - บางพลี และ ตอน พระประแดง - บางแค ช่วงพระประแดง - ต่างระดับบางขุนเทียน

                        3.2 เปิดใช้งานชั่วคราวทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 (M6) สายบางปะอิน - สระบุรี – นครราชสีมา ช่วง อำเภอบางปะอิน ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร (4 - 6 ช่องจราจร ไป - กลับ) เพื่อแบ่งเบาการจราจรบนทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) โดยเปิดทางเข้า - ออก จำนวน 8 จุด ดังนี้

        1)     จุดที่ 1 ทางเข้า - ออก M6 ด่านบางปะอิน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

        2)     จุดที่ 2 ทางเข้า - ออก M6 ด่านหินกอง บนทางหลวงหมายเลข 33 กม.82+000 อำเภอบ้านหินกอง จังหวัดสระบุรี

        3)     จุดที่ 3 ทางเข้า - ออก M6 ด่านสระบุรี บนทางหลวงหมายเลข 1 กม.99+000 อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี

        4)     จุดที่ 4 ทางเข้า - ออก M6 ด่านแก่งคอย บนทางหลวงหมายเลข 3222 อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

        5)     จุดที่ 5 ทางเข้า - ออก M6 ด่านปากช่อง บนทางหลวงหมายเลข 2090 อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

        6)     จุดที่ 6 ทางเข้า - ออก M6 ด่านสีคิ้ว ตัดกับทางหลวงหมายเลข 201 ที่ กม.5+500 อำเภอสีคิ้ว เพื่อเดินทางสู่จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดบุรีรัมย์

        7)     จุดที่ 7 ทางเข้า - ออก M6 ด่านขามทะเลสอ ตัดกับทางหลวงหมายเลข 290 (ถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา) ที่ กม.14+775 พื้นที่อำเภอขามทะเลสอ เพื่อเดินทางสู่จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดขอนแก่น

        8)     จุดที่ 8 ทางเข้า - ออก M6 ที่ กม.195+943 กับ ทางหลวงหมายเลข 204 ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา (ด้านตะวันตก) ที่ กม.3+230 พื้นที่อำเภอเมืองนครราชสีมา เพื่อเดินทางไปสู่อำเภอเมืองนครราชสีมา อำเภอปักธงชัย และจังหวัดขอนแก่น

                        ทั้งนี้ อนุญาตให้วิ่งเฉพาะรถยนต์ขนาด 4 ล้อเท่านั้น ห้ามรถจักรยานยนต์และรถขนาดใหญ่ เช่น รถโดยสาร รถบรรทุก เข้าใช้บริการเด็ดขาด สำหรับการเปิดทดลองให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ช่วงบางปะอิน - ปากช่อง จะเปิดให้วิ่งทิศทางเดียว โดยสลับวันวิ่งขาออก ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 1 มกราคม 2569 และขาเข้า ระหว่างวันที่ 2 - 5 มกราคม 2569) ส่วนช่วงปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา จะเปิดทดลองให้บริการทั้งสองทิศทาง ไป - กลับ ตลอด 24 ชั่วโมง

                        3.3  แจกคูปองส่วนลดค่าผ่านทางทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ในราคาสมนาคุณที่ถูกกว่าราคาเต็ม 5% ระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2568 - 22 มิถุนายน 2569

 

                        4. การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อาทิ

                        4.1 เพิ่มขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2568 - 4 มกราคม 2569 รวม 18 ขบวน ไป - กลับ ในเส้นทางสายเหนือ 6 ขบวน สายตะวันออกเฉียงเหนือ 10 ขบวน และสายใต้อีก 2 ขบวน เพื่อไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง

                        4.2 ผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางด้วยขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร สามารถสำรองที่นั่งก่อนวันเดินทางในระบบ D-Ticket และสถานีรถไฟทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป

 

                        5. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) อาทิ

                        ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ จำนวน 2 ทาง ได้แก่

                        1) ค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ทั้งนี้ หากกรมทางหลวง (ทล.) มีการปรับปรุงแก้ไขกำหนดวันยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษเป็นประการใด ให้ กทพ. ปรับปรุงแก้ไขกำหนดวันที่ไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษดังกล่าวในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ให้สอดคล้องกับ ทล. ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

                          2) ค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา (ยกเว้นการจัดเก็บค่าผ่านทางเฉพาะวันหยุดนักขัตฤกษ์) ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 - 1 มกราคม 2569

 

                        6. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) อาทิ

                        6.1 ขยายเวลาเปิดให้บริการเดินรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้ามหานครในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เวลา 06.00 น. - 1 มกราคม 2569 เวลา 02.00 น. ได้แก่
1) โครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) 2)  โครงการรถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
3) โครงการรถไฟฟ้าสายนัคราพิพัฒน์ (สายสีเหลือง) และ 4) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู

                     6.2 ขยายเวลาให้บริการอาคารและลานจอดรถของโครงการรถไฟฟ้ามหานครในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 - 1 มกราคม 2569 ได้แก่

                1) โครงการรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

                2) โครงการรถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

                3) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต ขยายเวลาให้บริการถึง 03.00 น.

                4) โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตะวันออก ช่วงมีนบุรี - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

 

                        7. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) อาทิ

                        7.1 เพิ่มจำนวนรถโดยสารเชื่อมต่อสถานีขนส่งให้บริการประชาชนกลับภูมิลำเนา ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 4 มกราคม 2569

รถโดยสาร ขสมก. เชื่อมต่อท่าอากาศยาน

1) ท่าอากาศยานดอนเมือง ได้แก่ สาย A1, A2, A3 และ A4

2) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คือ สาย S1

รถโดยสาร ขสมก. เชื่อมต่อสถานีขนส่งกรุงเทพ

1) A1, 1-36, 1-42, 2-1, 2-20, 2-37, 2-43, 2-52, 3-18, 3-9E, 3-24E, 3-47, 4-22E, 4-33E และ 4-60

2) 2-25, 3-22E, 4-42, 4-57, 4-64, 511, 515, 4-70E และ 2-28

3) สถานีขนส่งเอกมัย ได้แก่ สาย 1-53, 3-5, 3-46, 1-57 และ 11

รถโดยสาร ขสมก. เชื่อมต่อสถานีรถไฟ

1) สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ได้แก่ สาย 1-53, 2-43, 3-7E, 4-9, 2-9 และ 2-45

2) A1, 1-36, 1-42, 2-1, 2-20, 2-37, 2-43, 2-52, 3-18, 3-19E, 3-24E, 3-47, 4-22E, 4-60 และ 4-33E

                7.2 ขยายเวลาเดินรถโดยสารที่ผ่านสถานที่จัดงานสวดมนต์ข้ามปีถึงเวลา 02.00 น. ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 4 มกราคม 2569

              วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ได้แก่ สาย 1-38, 1-53, 1-80E, 2-5, 3-41, 4-2, 3-7E, 2-9 และ 2-37

                วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) ได้แก่ สาย 1-38, 3-22E, 4-60, A4, S1, 1-7E, 1-80E, 511, 3-41, 4-6, 4-2, 4-42 และ 2-43

                สนามหลวง ได้แก่ สาย1-7E, 1-38, 1-53, 1-80E, 2-9, 2-14, 2-32E, 3-7E, 3-22E, 4-43, S1, A4, 1-8, 3-41, 4-2, 91, 91ก, 2-5 และ 2-37

                วัดไร่ขิง คือ สาย 4-64

                7.3 เพิ่มการเดินรถรองรับกิจกรรมทำบุญวันขึ้นปีใหม่ ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 4 มกราคม 2569

                ศาลหลักเมือง ได้แก่ สาย 1-7E, 1-38, 1-53, 1-80E, 2-9, 2-14, 2-32E, 3-7E, 4-43, A4, 1-8,3-41, 4-2, 91, 91ก, 2-5, 2-37, 3-41, 2-14 และ 2-32

                วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ได้แก่ สาย 1-7E, 1-38, 1-53, 1-80E, 2-9, 2-14, 2-32E, 3-7E, 3-22E, 4-43, S1, 1-8, 3-41, 4-2, 91, 91ก, 2-5 และ 2-37

                วัดชนะสงคราม ได้แก่ สาย 2-9, A4, S1, 2-5, 2-37, 3-41, 4-2 และ 4-35

วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) ได้แก่ สาย 2-43,3-7E, 4-9, 2-9, 2-52 และ 2-45

              7.4 เพิ่มจำนวนรถโดยสายให้บริการระหว่างสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ หมอชิต 2 และสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ช่วงเทศกาลวันสิ้นปี ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 4 มกราคม 2569

              เดินรถในเส้นทางรถโดยสารที่ผ่านสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ได้แก่ สาย A1, 1-36, 1-42, 2-1,2-20, 2-37, 2-43, 2-52, 3-18, 3-19E, 3-24E, 3-47, 4-22E, 4-60 และ 4-33E

                เดินรถในเส้นทางรถโดยสารที่ผ่านสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) ได้แก่ สาย A1, 1-36, 1-42, 2-1,  2-20, 2-37, 2-43, 2-52, 3-18, 3-19E, 3-24E, 3-47, 4-33E และ 4-60

                7.5 เดินรถเส้นทางเฉพาะกิจ (วงกลม) เส้นทางวงกลมเฉพาะกิจ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ - สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 4 มกราคม 2569

 

              8. สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.)

                        จัดโครงการ CATC Park and Go บริการพื้นที่จอดรถยนต์ฟรีสำหรับประชาชนที่จะออกเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 จำนวน 93 คัน เป็นเวลา 7 วัน ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 เวลา 16.00 น. - 5 มกราคม 2569 เวลา 10.30 น. ณ ลานจอด 1 และ 2 สบพ. โดยอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่จะเฝ้าระวังและเดินตรวจตราความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ผู้ที่มีความประสงค์ขอรับบริการต้องลงทะเบียนขอรับบริการล่วงหน้าผ่านช่องทางของ สบพ. https://forms.gle/62RoqSuTg1sKkZwV6 (Google Form)

 

              9. บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)

                     จัดโปรโมชันชวนเดินทาง “ไปก่อน - กลับทีหลัง” มอบส่วนลดค่าโดยสาร 20% ให้ผู้ใช้บริการ บขส. ที่จองตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์ ได้แก่ แอปพลิเคชัน E-Ticket เว็บไซต์ บขส. https://tcl99web.transport.co.th และ Social booking (Facebook หรือ Line) โดยเดินทางใน 2 ช่วงเวลา คือ 1) เดินทางก่อนปีใหม่ ระหว่างวันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2568 ระยะเวลาซื้อตั๋วตั้งแต่วันนี้ถึง 30 พฤศจิกายน 2568 และ 2) เดินทางหลังปีใหม่ ระหว่างวันที่ 6 - 8 มกราคม 2569 ระยะเวลาซื้อตั๋วระหว่างวันที่ 1 - 15 ธันวาคม 2568 เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บขส. กำหนด และไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงการตั๋วโดยสารได้

 

              10. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.)

              10.1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)

              บริการพื้นที่จอดรถยนต์ฟรีช่วงเทศกาลปีใหม่ให้แก่ผู้ใช้บริการ จำนวน 718 คัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เวลา 00.01 น. - 4 มกราคม 2569 เวลา 24.00 น. ณ ลานจอดรถระยะยาวโซน C ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และจัดเตรียมรถ Shuttle Bus ไว้สำหรับบริการรับ - ส่งผู้ใช้บริการไปยังอาคารผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมง

              10.2 ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)

              บริการพื้นที่จอดรถยนต์ฟรี ประมาณ 250 คัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เวลา 00.01 น. - 4 มกราคม 2569 เวลา 23.59 น. บริเวณระหว่างอาคารจอดรถ 5 และอาคารคลังสินค้า 2 พร้อมจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก และบริการรถรับ - ส่งจากพื้นที่จอดรถยนต์ไปยังอาคารผู้โดยสารโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

              10.3 ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.)

              บริการพื้นที่จอดรถยนต์ฟรี จำนวน 20 คัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เวลา 00.00 น. - 4 มกราคม 2569 เวลา 23.59 น. ณ อาคาร X - Terminal ท่าอากาศยานภูเก็ต

              10.4 ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

              บริการพื้นที่จอดรถยนต์ฟรีสำหรับผู้โดยสารและผู้ใช้บริการทั่วไป จำนวน 250 คัน ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 - เวลา 00.00 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2569 ณ บริเวณสนามฟุตบอล ท่าอากาศยานหาดใหญ่

              10.5 ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)

              บริการพื้นที่จอดรถยนต์ฟรีสำหรับประชาชนที่จะเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2568 เวลา 00.01 น. - 4 มกราคม 2569 เวลา 23.59 น. ณ บริเวณสนามฟุตบอลด้านข้างอาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานเชียงใหม่

 

              11. บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.)อาทิ

              11.1 ขยายเวลาการให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ในวันพุธที่ 31 ธันวาคม 2568 ถึงเวลา 02.00 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2569 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ

                11.2 จำหน่ายบัตรกำหนดระยะเวลา 7 วัน ประเภทนักเรียน - นักศึกษา ราคา 260 บาท (มูลค่า 210 บาท และค่ามัดจำบัตรอีก 50 บาท) เป็นมูลค่าเดินทางตามจำนวนวัน วันละ 30 บาท รวม 7 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป หากบัตรหมดอายุแต่ต้องการเดินทางต่อ ผู้โดยสารสามารถนำบัตรมาขอเปลี่ยนบัตรใหม่โดยชำระเงินในราคา 210 บาท หากไม่ต้องการใช้งานต่อโดยบัตรยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ (ไม่บิด หัก เจาะ งอ) ผู้โดยสารจะได้ค่ามัดจำบัตรคืน

 

              12. สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)

              ประสานสายการบินของไทย จำนวน 6 สายการบิน ได้แก่ 1) การบินไทย 2) บางกอกแอร์เวย์ส 3) นกแอร์ 4) ไทย ไลอ้อน แอร์ 5) ไทยแอร์เอเชีย และ 6) ไทยเวียตเจ็ท ออกมาตรการพิเศษช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ดังนี้

            - ลดราคาค่าโดยสาร 30% จากอัตราเพดานสูงสุด จำนวน 36,620 ที่นั่ง 202 เที่ยวบิน ใน 11 เส้นทาง ไป - กลับ ได้แก่

   7)  กรุงเทพฯ - ชุมพร
  8)       กรุงเทพฯ - หาดใหญ่
   9)       กรุงเทพฯ - นครศรีธรรมราช
  10)     กรุงเทพฯ - สุราษฎร์ธานี
     11)  กรุงเทพฯ - ภูเก็ต

- เพิ่มเที่ยวบินพิเศษ รองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น จำนวน 11,312 ที่นั่ง 66 เที่ยวบิน ใน 6 เส้นทาง ไป - กลับ ได้แก่

5) กรุงเทพฯ - ตรัง
6) กรุงเทพฯ - สมุย
ให้มีจำนวนที่นั่งรวม 72,569 ที่นั่ง 328 เที่ยวบิน โดยสายการบินอาจดำเนินการมาตรการใดมาตรการหนึ่งหรือมากกว่านั้น เช่น ลดค่าโดยสารในเที่ยวบิน
ที่เพิ่มมาใหม่ เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อตั๋วได้ตามความต้องการ ทั้งนี้ กพท. จะลงพื้นที่ตรวจสอบ
การแสดงราคาค่าโดยสารอย่างเปิดเผยของทุกเส้นทางภายในประเทศ ณ สถานที่จำหน่ายบัตรโดยสาร
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง รวมถึงตรวจสอบการจำหน่ายบัตรโดยสารที่ต้องไม่เกินเพดานที่ กพท. กำหนด โดยเฉพาะเส้นทางที่ผู้โดยสารนิยมเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ เช่น กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ กรุงเทพฯ - ภูเก็ต กรุงเทพฯ - หาดใหญ่ และกรุงเทพฯ - กระบี่ หากพบราคาบัตรโดยสารเกินกำหนดเพดาน สามารถร้องเรียนได้ที่เว็บไซต์ www.caat.or.th/complaint

 

         “N - Network of Care” ดูแลใส่ใจอย่างเป็นระบบทั่วถึง  อาทิ

              1. กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)

                     1.1 ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดตั้ง “ศูนย์อาชีวะอาสา ร่วมด้วยช่วยประชาชน” ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 จำนวน 150 จุด ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2568 - 3 มกราคม 2569 บริเวณถนนสายหลักที่มีการจราจรหนาแน่นและถนนสายรอง โดยจะให้บริการตรวจเช็คสภาพรถเบื้องต้นเพื่อความปลอดภัย ให้ความช่วยเหลือผู้เดินทางกรณีฉุกเฉิน บริการรถยก (บางพื้นที่) บริการนวดผ่อนคลายผ้าเย็น น้ำดื่ม ข้อมูลเส้นทางและแหล่งท่องเที่ยว รายชื่ออู่รถที่เปิดให้บริการ เป็นต้น โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

                     1.2 จัดตั้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะและรับเรื่องร้องเรียน (ชั่วคราว) ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2568 - 15 มกราคม 2569 ณ บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) และตรวจสอบการนำรถที่ไม่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางมาใช้รับ – ส่งผู้โดยสาร

                     1.3 บริการ Application “Q Ride” มั่นใจทุกการเดินทาง เพื่อให้บริการและความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารรถแท็กซี่ในกรุงเทพมหานครด้วยการจัดทำ QR Code เชื่อมต่อระบบ GPS โดยติดที่ตัวรถแท็กซี่ จำนวน 3 จุด ประกอบด้วย 1) ด้านหน้าคนขับ (คนขับสแกน) 2) ด้านในรถ ข้างเบาะที่นั่งหลังซ้าย (ผู้โดยสารสแกน) และ 3) ด้านนอกรถ ด้านหลังซ้าย (ผู้โดยสารสแกน) เพื่อให้ ขบ. รับทราบข้อมูลคนขับรถและสามารถตรวจสอบติดตามรถได้ ขณะเดียวกันผู้โดยสารสามารถทราบข้อมูลคนขับรถและประมาณการค่าโดยสารในเบื้องต้นเทียบกับราคาหน้ามิเตอร์ รวมถึงสามารถร้องเรียนการให้บริการหรือการปฏิเสธผู้โดยสารโดยตรง ทั้งนี้ แอปพลิเคชันจะเปิดให้บริการตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 ของเดือนมกราคม 2569 เป็นต้นไป

                     2. กรมทางหลวง (ทล.)

                     2.1 แจกกระเป๋ากันง่วง ส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัย ในวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2568 เวลา 07.00 - 09.00 น. และ 15.00 - 17.00 น. ณ ทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ด่านดินแดง 1

                        2.2 อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทางในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 โดยจัดให้มีบริการห้องน้ำ ช่วง อำเภอทับกวาง กม.64+000 ขาออก และช่วง ปากช่อง - สีคิ้วที่ กม.147 ทั้งทิศทางขาเข้าและขาออก และมีบริการห้องสุขาเคลื่อนที่ ณ บริเวณพื้นที่ด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางทั้งหมด 7 ด่าน ได้แก่ 1) ด่านบางปะอิน 2) ด่านหินกอง 3) ด่านสระบุรี 4) ด่านแก่งคอย 5) ด่านปากช่อง 6) ด่านสีคิ้ว และ 7) ด่านขามทะเลสอ ทั้งขาเข้า - ขาออก ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ ทล. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คอยอำนวยความสะดวกด้านข้อมูล บริหารจัดการด้านจราจร และช่วยเหลือประชาชนกรณีเกิดอุบัติเหตุ เหตุฉุกเฉิน และรถเสีย

                        ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นการเปิดใช้บริการชั่วคราว จึงขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด อนุญาตเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน เท่านั้น ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และห้ามจอดรถลงมาถ่ายรูป เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ

                        2.3 อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทางในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 ตลอดช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569

                      - ตั้งจุดให้บริการ เช่น เครื่องดื่ม ชา กาแฟ ผ้าเย็น ห้องน้ำสะอาด ยาดม บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 จำนวน 8 แห่ง ดังนี้

         - จัดโซนพื้นที่เสี่ยงและปรับปรุงจุดเสี่ยงอันตรายเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การติดตั้งป้ายเตือน ปรับปรุงระบบไฟสัญญาณจราจร และจัดเตรียมเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

          - จัดรถบริการช่วยเหลือประชาชนกรณีรถเสีย เปลี่ยนยาง จั๊มแบตเตอรี่ เติมน้ำมันฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง

        - จัดทีมบริหารจัดการการจราจรและติดตามสถานการณ์ พร้อมดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนตลอดเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569

        - สำหรับการบริหารการจราจรในพื้นที่โครงการก่อสร้างทุกโครงการ ให้ดำเนินงานบริหารและคืนผิวจราจรให้ประชาชนสามารถสัญจรได้ตามปกติ และปฏิบัติตามคู่มือการปฏิบัติด้านความปลอดภัยในระหว่างการก่อสร้างงานบำรุงทางอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน

           2.4 อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทางบนทางหลวงทั่วประเทศในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569

          - ให้บริการจุดกางเต็นท์ฟรีสำหรับประชาชน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการน้ำดื่มและห้องน้ำฟรี ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569

        -  บริการจุดพักรถชั่วคราวสำหรับประชาชน และจัดเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น น้ำดื่ม ชา กาแฟ ห้องน้ำสะอาด พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่แนะนำเส้นทางตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569

         - จัดหน่วยบริการรถช่วยเหลือประชาชนกรณีรถเสีย เปลี่ยนยาง จั๊มแบตเตอรี่ โดยสามารถโทรแจ้งเหตุได้ที่ 1586 ตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569

           2.5 บริการ Application “Highway Traffic” สำหรับวางแผนการเดินทางเพื่อความสะดวก รวดเร็ว ผู้ใช้บริการสามารถติดตามสภาพการจราจรหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ บนทางหลวงได้ทันที รองรับการใช้งานทั้งบนระบบปฏิบัติการ Windows, IOS และ Android

              3. กรมทางหลวงชนบท (ทช.) อาทิ

       บริการสายด่วน 1146 (DRR Contact Center) ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2568 - 5 ม.ค. 2569 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางบนทางหลวงชนบท และให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร รวมถึงแจ้งเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ประกอบด้วย

        1) การให้ข้อมูลเส้นทางทางเลือก จุดเสี่ยง และสภาพการจราจรในพื้นที่ต่าง ๆ ผ่านเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์

        2) การรับแจ้งเหตุอุบัติเหตุ สิ่งกีดขวาง หรือปัญหาด้านความปลอดภัยบนทางหลวงชนบท พร้อมประสานหน่วยงานภาคสนามเข้าดำเนินการทันที

        3) การจัดทำรายงานสรุปเหตุการณ์และข้อร้องเรียนเพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยของประชาชน

        4. สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)

       บริการ Web Application และ Mobile Application “นำทาง” (NAMTANG) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการวางแผน ตัดสินใจ เลือกใช้เส้นทางและขนส่งสาธารณะทางถนน ทางราง และทางน้ำ ภายในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีความถูกต้อง เหมาะสม และรวดเร็ว ครอบคลุมข้อมูลการเดินทาง จำนวน 1,422 เส้นทาง 7,717 จุดให้บริการ รองรับการใช้งานทั้งบนระบบปฏิบัติการ Windows, IOS และ Android

       5. การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

              แจกถุงรถไฟรักษ์โลกที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลธรรมชาติ จำนวน 5,000 ใบ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ให้กับผู้ใช้บริการที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) สถานีเชียงใหม่ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ สถานีดอนเมือง สถานีรังสิต สถานีบางบำหรุ สถานีตลิ่งชัน สถานีวงเวียนใหญ่ สถานีธนบุรี และตามสถานีหลักในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อแสดงความขอบคุณและส่งต่อความห่วงใยในการเดินทางตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม เพียงแสดงตั๋วโดยสารรถไฟในวันเดินทาง ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป หรือจนกว่าสินค้าจะหมด ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง และ Facebook Page “ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย”

              6. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)

              จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจ (War Room) ณ อาคารศูนย์บริหารทางพิเศษ ชั้น 22 กทพ. และจัดเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ควบคุมสั่งการทุกสายทาง ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ตลอด
24 ชั่วโมง โดยประชาชนสามารถสอบถามสภาพการจราจรและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนทางพิเศษได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลทางพิเศษ หมายเลขโทรศัพท์ 1543

        7. บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)

        จัดโครงการพนักงานอาสา พาผู้โดยสารกลับบ้าน อำนวยความสะดวกผู้โดยสารในการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 29 - 30 ธันวาคม 2568 เวลา 17.00 - 20.00 น. โดยให้พนักงาน บขส. เป็นจิตอาสาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวก ให้คำแนะนำ และช่วยเหลือผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) หรือหมอชิต 2 ด้านข้อมูลข่าวสารเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ป้องกันการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ และสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนที่เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ

       8. บริษัท ท่าอากศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.)

       8.1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)

แจกของให้ผู้โดยสาร จำนวน 2,500 ชิ้น และจัดกิจกรรมสันทนาการเล่นเกมส์แจกของที่ระลึก  ระหว่างวันที่ 24 - 26 ธันวาคม 2568
แจกของขวัญ Surprise จำนวน 1,500 ชิ้น บริเวณสายพานรับกระเป๋า ระหว่างวันที่ 24 - 25 ธันวาคม 2568
แจก Travel Kit ให้ผู้โดยสารในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ จำนวน 1,000 ชุด ระหว่างวันที่ 29 - 30 ธันวาคม 2568
แจกน้ำดื่ม จำนวน 5,000 แพ็ค (59,760 ขวด) ระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569

       8.2 ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)

แจกของขวัญและของที่ระลึกให้แก่ผู้โดยสารเนื่องในเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 จำนวน 2,500 ชุด ระหว่างวันที่ 25 ธันวาคม 2568 - 2 มกราคม 2569 ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง
จัดเตรียมน้ำดื่มตราสัญลักษณ์ท่าอากาศยานดอนเมืองสำหรับมอบให้แก่ผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 จำนวน 5,000 ขวด ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2568 - 15 มกราคม 2569
จัดเตรียมพื้นที่สนามเด็กเล่นบริเวณ Pier 2, 3 และ 4 ณ อาคาร 1 และ 2 ชั้น 3 ให้แก่ผู้โดยสาร
ที่เดินทางพร้อมเด็กเล็กระหว่างรอขึ้นเครื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

        8.3 ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.)

          แจกตุ๊กตาน้องใส่ใจ จำนวน 300 ตัว ให้แก่ผู้โดยสาร ในวันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ชั้น 2 ท่าอากาศยานภูเก็ต

        8.4 ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

        แจกพวงกุญแจแซนต้าให้แก่ผู้โดยสารและผู้ใช้บริการ จำนวน 300 ชิ้น ในวันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม 2568 ณ ท่าอากาศยานหาดใหญ่

        8.5 ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.)

        จัดเตรียมน้ำดื่มตราสัญลักษณ์ท่าอากาศยานเชียงใหม่สำหรับมอบให้แก่ผู้โดยสารช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 จำนวน 5,500 ขวด ระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ณ ท่าอากาศยานเชียงใหม่

        8.6 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย (ทชร.)

แจกน้ำดื่มตราสัญลักษณ์ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ณ ด่านชุมชนในพื้นที่บริเวณพื้นที่เทศบาลตำบลบ้านดู่ จำนวน 600 ขวด และจุดบริการประชาชน แยกแม่กรณ์ จำนวน 600 ขวด รวม 1,200 ขวด
แจกของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้โดยสาร จำนวน 400 ชิ้น ในวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2569
ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ประกอบด้วย 1) พวงกุญแจช้างไทย จำนวน 200 ชิ้น และ 2) พวงกุญแจ
ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย จำนวน 200 ชิ้น

9. บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.)

        แจกกระเป๋า RED Line รักษ์โลก (Reusable Bag) ให้แก่ผู้โดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จำนวน 2,026 ใบ ในวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2569 ตลอดระยะเวลาเปิดให้บริการ หรือจนกว่าของจะหมด

 

              “Y - Year of Safety” ปีแห่งความปลอดภัยบนท้องถนนและทุกการเดินทาง สรุปสาระสำคัญดังนี้

              1. กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)

                     1.1 ตรวจความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะและผู้ประจำรถในเส้นทางสายหลักที่เข้าและออกกรุงเทพมหานครระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2568 - 15 มกราคม 2569 ณ บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร)

                        1.2 ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจัดกิจกรรม “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ระหว่างวันที่ 1 - 31 ธันวาคม 2568 เพื่อให้บริการตรวจสภาพความพร้อมของรถยนต์และรถจักรยานยนต์เบื้องต้นก่อนเดินทางกว่า 20 รายการ เช่น การตรวจระบบเบรก สภาพยาง การทำงานของเครื่องยนต์ ระดับน้ำมันเครื่องและความสกปรกของน้ำมันเครื่อง หม้อน้ำและรอยรั่ว ไส้กรองอากาศ การทำงานของไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่าง ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะได้รับการดูแลจากช่างผู้ชำนาญงาน ผู้สนใจสามารถนำรถเข้ารับบริการได้ที่ศูนย์บริการของภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ทั่วประเทศ

                                1.3 จัดฝึกอบรมหลักสูตรขับรถบรรทุก (ท.2) และหลักสูตรขับรถลากจูง (ท.3) ให้แก่ผู้สนใจ จำนวน 1,000 คน ทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ ความรับผิดชอบ และจิตสำนึกด้านความปลอดภัยของผู้ขับรถ สร้างแรงงานขับรถมืออาชีพเข้าสู่ระบบขนส่งของประเทศ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนน และลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในระดับประเทศ โดยมีกำหนดการฝึกอบรม ดังนี้

        1)     รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 15 - 19 ธันวาคม 2568

        2)     รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 - 26 ธันวาคม 2568

        3)     รุ่นปี 2569 ระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2569

                2. กรมทางหลวงชนบท (ทช.)

                ป้องกันและอำนวยความปลอดภัยบนทางหลวงชนบททั่วประเทศในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ประกอบด้วยกิจกรรม ดังนี้

                1) งานภาคสนามเพื่อลาดตระเวนอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย

                2) งานสำรวจภาคสนามเพื่อสอบสวนวิเคราะห์บริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ

                3) งานเตรียมความพร้อมเส้นทางเพื่ออำนวยความปลอดภัยช่วงเทศกาลโดยเฉพาะสายทางเลี่ยงสายทางหลัก เช่น งานตัดหญ้า ทำความสะอาด ตรวจสอบและซ่อมบำรุงไฟฟ้า

                4) งานปรับปรุงระยะเร่งด่วนจากการตรวจสอบความปลอดภัยทางถนน (RSA) ช่วงเทศกาล ก่อนดำเนินการระยะยาวต่อไป เช่น ติดตั้งป้าย ไฟกะพริบ และราวกันอันตราย ตีเส้นจราจร

              3. การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

                     3.1 จัดตั้งศูนย์ปลอดภัยทั่วประเทศเพื่อรับแจ้งเหตุและประสานงานต่าง ๆ เป็นเวลา 7 วัน ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ตลอด 24 ชั่วโมง

                     3.2 ขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่นจัดอาสาสมัครเฝ้าระวังทางผ่านเสมอระดับรถไฟ - รถยนต์ ที่มีความเสี่ยง หรือบริเวณที่เป็นชุมชนหนาแน่น เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันเหตุทั้งทางถนนและทางรถไฟ พร้อมกับบูรณาการการทำงานร่วมกับศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมบนขบวนรถไฟ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจมาปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ตรวจตราความเรียบร้อยบนขบวนรถโดยสารทุกเส้นทาง และมีเจ้าหน้าที่ รฟท. และพนักงานรักษาความปลอดภัยช่วยดูแลด้วยอีกหนึ่งทาง เพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินทางให้แก่ผู้โดยสาร ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ตลอด 24 ชั่วโมง

                     4. การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.)

                     จัดทำป้ายรณรงค์ด้านความปลอดภัยช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ณ ประตูตรวจสอบ 1 – 4

                     5. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)

                     5.1 ตั้งหน่วยบริการประชาชน

                1) ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษขาออกเมือง จำนวน 3 จุด ได้แก่ (1) ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษบางแก้ว 1 (2) ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษฉิมพลี และ (3) ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษบางปะอิน (ขาออก) ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 1 มกราคม 2569

                2) ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษขาเข้าเมือง จำนวน 3 จุด ได้แก่ (1) ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษบางนา (2) ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษจตุโชติ และ (3) ด่านเก็บเงินค่าผ่านทางพิเศษบางปะอิน (ขาเข้า) ระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 2568 - 1 มกราคม 2569

                5.2 จัดพนักงานจัดการจราจรกวดขันรถที่ผิดระเบียบการจราจรในทางพิเศษ เช่น รถบรรทุกสิ่งของไม่ผูกมัด ปกคลุม คนนั่งท้ายกระบะ ห้ามใช้ทางพิเศษ ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 ณ บริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ

                     6. บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)

              จัดโครงการ “ตรวจรถฟรี ขับขี่ปลอดภัย” ก่อนออกเดินทางช่วงปีใหม่ ระหว่างวันที่ 1 - 31 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 - 16.00 น. ณ ศูนย์ซ่อมบำรุงและตรวจสภาพรถ (รังสิต) เพื่อตรวจสภาพความพร้อมของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จำนวน 20 รายการ เช่น ระบบเบรก สภาพยาง อุปกรณ์ปัดน้ำฝน ระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก และการทำงานของไฟส่องสว่าง ไฟสัญญาณต่าง ๆ ให้กับผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนโดยรอบ ศูนย์ซ่อมบำรุงและตรวจสภาพรถ (รังสิต) สถานีเดินรถรังสิต และประชาชนทั่วไป ที่ต้องการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน โดยผู้ใช้บริการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2901 2338

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top