‘เท้ง’ขอรัฐบาลตั้งธงให้ชัดคำว่า‘จบ’คือตรงไหน ใช้กำลังตอบโต้เขมร ต้องไม่ตกอยู่ในฐานะผู้รุกราน

‘เท้ง’ขอรัฐบาลตั้งธงให้ชัดคำว่า‘จบ’คือตรงไหน ใช้กำลังตอบโต้เขมร ต้องไม่ตกอยู่ในฐานะผู้รุกราน

วันพุธ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 12.51 น.

‘เท้ง’ขอรัฐบาลตั้งธงให้ชัด คำว่า‘จบ’สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาตรงไหน มองใช้กำลังทางทหารตอบโต้ทำลายขีดความสามารถได้ แต่ต้องไม่ตกอยู่ในฐานะผู้รุกราน พร้อมใช้วิธีบีบ‘กัมพูชา’เข้าโต๊ะเจรจา

10 ธันวาคม 2568 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) และผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ว่า ตนคิดว่าสิ่งสำคัญคือการตั้งโจทย์ให้ตรงกันว่าจะจบของเรื่องนี้จะไปอยู่ที่ตรงไหน จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ประชาชน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทหารเกิดความสูญเสีย และทุกคนก็รู้สึกเสียใจ และเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น อยากให้สถานการณ์จบโดยเร็ว แต่ต้องตั้งธงให้ชัดว่าคำว่าจบจะไปจบที่ตรงไหน


“แต่สำหรับตนการที่อยากให้สถานการณ์จบลง คือการคืนความปกติสุขให้กับชีวิตและความเป็นอยู่ให้กับประชาชนคนไทยตามพื้นที่จังหวัดแนวชายแดน อย่างการให้สัมภาษณ์ของพลตรีณัฐศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาค 2 ที่ออกมาระบุว่าไม่มีการรบใดไม่จบที่การเจรจา เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ตนอยากได้ยินจากรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูลนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอนนี้ก็คือต้องแสดงออกถึงทิศทางในการบริหารสถานการณ์ ความขัดแย้งตามแนวชายแดน”

นายณัฐพงษ์ ยังมองว่า การใช้กำลังทางการทหารในการตอบโต้สามารถทำได้ ตอบโต้อย่างเต็มกำลังเพื่อทำลายศักยภาพและขีดความสามารถของกำลังทางทหารกัมพูชา แต่ต้องเป็นไปตามหลักสากล และกฎการใช้กำลัง รวมไปถึงความได้สัดส่วน เพื่อปกป้องอธิปไตย ปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชน แต่การดำเนินการทุกอย่างเหล่านั้นต้องไม่ให้ประเทศไทยตกอยู่ในฐานะผู้รุกรานกัมพูชา แต่ต้องอยู่ในฐานะที่เป็น ประเทศที่มีกองทัพที่เข้มแข็งกว่า และใช้ในการป้องกันตนเอง และสิ่งสำคัญคือต้องกดดันกัมพูชาในทุกแนวรบ ทางด้านการทหาร การพูดการข่าวสาร การปราบปรามสแกมเมอร์เพื่อกดดันกัมพูชา โดยพุ่งเป้าไปที่หัวใจคือระบอบฮุนเซน เพื่อบีบให้เขายอมกลับเข้าสู่โต๊ะการเจรจาของเราให้ได้

เมื่อถามว่าแต่เมื่อสักครู่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่มีการเปิดโต๊ะเจรจา โดยอำนาจทั้งหมดเป็นของฝ่ายความมั่นคงในการตัดสินใจ ผู้นำฝ่ายค้านระบุว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาตนได้สื่อสารไปยังนายกรัฐมนตรีหลายครั้ง ซึ่งได้แสดงความเป็นห่วง และเตือนไปยังนายกรัฐมนตรี ว่าการสื่อสารในลักษณะเช่นนี้ อาจทำให้เกิดความกังวลใจต่อนานาชาติ เมื่อไหร่ก็ตามที่ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ตกอยู่ในฐานะผู้รุกรานประเทศกัมพูชาก่อน ก็จะทำให้เราขาดความชอบธรรมในการแก้ไขปัญหา พร้อมย้ำว่าสิ่งหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีจำเป็นคือการแสดงท่าที แต่เราแสดงความเข้มแข็งได้ และสามารถโต้ตอบได้อย่างเต็มที่เพื่อขจัดภัยความมั่นคง และสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้นการตอบโต้ด้วยกำลังทางการทหาร ที่มียุทธศาสตร์พุ่งเป้าไปที่ขีดความสามารถกองทัพกัมพูชา ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่พลเรือนกัมพูชา ตนเชื่อว่าทางฝั่งยุทธการ และฝังความมั่นคงสามารถทำได้ตามหลัก กติกาสากล

“แต่การที่นายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่าปิดตัวเจรจาทุกช่องทาง ต่อไปนี้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ โดยไม่รู้ว่าจุดจบจะไปอยู่ที่ตรงไหนคือสิ่งที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้”

เมื่อถามย้ำว่าการที่ออกมาระบุว่าคำพูดของนายกรัฐมนตรีนั้นอันตรายหมายถึงอะไร นายณัฐพงษ์ ระบุ หากไม่มีการลดระดับสถานการณ์การปะทะตามแนวชายแดน ปล่อยให้มีการรุกลามบานปลายไปเรื่อยๆ ยังไม่เห็นว่าจุดจบจะอยู่ตรงไหน ตนก็ยังไม่เห็นว่าทางออกจะอยู่ตรงไหน และย้ำว่าธงที่ทุกคนต้องการ คือ อยากให้สงบและจบกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ และมีการตั้งคำถามว่าเมื่อฝั่งกัมพูชาไม่เคยให้ความจริงใจในการเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างที่เราแสดงความจริงใจ วิธีที่เราต้องทำคือบีบบังคับทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังในการตัดขีดความสามารถ เพื่อไม่ให้สามารถโจมตีไทยได้อีก หรือพุ่งเป้าไปที่สแกมเมอร์ ใช้โลกล้อมกัมพูชา เพื่อให้ไทยคงสถานะความได้เปรียบ ก็จะเป็นการทำให้ประเทศมหาอำนาจรวมถึงทั่วโลกล้อมกัมพูชา ไม่ใช่ไทยเป็นผู้ถูกล้อมด้วยสายตาว่าใครเป็นผู้รุกราน

เมื่อถามว่าการปฏิบัติการของกองทัพมุ่งเป้าไปที่รังสแกมเมอร์ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการ เพียงพอแล้วหรือไม่นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ต้องมีพื้นฐานข้อเท็จจริงว่าการโจมตีกาสิโน เป็นพื้นที่ในการปฏิบัติทางทหาร ซึ่งกองทัพก็ออกมาให้ข้อมูลในลักษณะนั้น จึงต้องระมัดระวังอย่าให้เกินกรอบไปมากกว่านี้ และสิ่งที่นายกไม่ควรทำคือการให้เช็คเปล่าฝ่ายความมั่นคงทำได้ทุกเรื่อง และตัวเองลอยตัวอยู่เหนือปัญหา เพราะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวในฐานะฝ่ายบริหาร

เมื่อถามว่าคิดว่าปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาจะสามารถจบในรัฐบาลนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากหลายคนในรัฐบาลออกมาระบุว่า "ให้มันจบที่รุ่นเรา" นายณัฐพงษ์ ระบุว่าปัญหาชายแดนเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เป็นสิบๆปี การบริหารให้สถานการณ์จบลงคงไม่ง่าย แต่สิ่งหนึ่งที่ตนไม่อยากเห็น คือการพยายามใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ครั้งนี้ เพื่อคะแนนความนิยมอย่างหนึ่งอย่างใด ความพยายามที่จะบริหารสถานการณ์ให้จบโดยเร็วถือเป็นเรื่องที่ดี การจะแก้ให้จบ เร็วจะต้องพูดคุยทั้งสองฝ่ายปักปันเขตแดนให้ครบ ซึ่งไม่มีทางที่จะทำให้ครบทุกหมุดภายในระยะเวลาที่รัฐบาลนั้นเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นแฮชแท็กที่ออกมาว่าให้มันจบที่รุ่นเรา จึงอยากส่งคำถามออกไปดังๆว่าจะจบได้จริงหรือ แล้วตกลงจุดจบอยู่ที่ตรงไหน จะใช้กองทัพของไทย ทลายให้ราบคาบเราจะทำจริงๆหรือ หรือจุดจบที่แท้จริง เป็นไปตามที่รองแม่ทัพ ภาคที่ 2 ได้บอกไว้ว่าไม่มีการรบใด ไม่จบที่การเจรจา จึงต้องพยายามกดดันและตีล้อมให้กัมพูชากลับเข้าสู่โต๊ะเจรา

เมื่อถามว่าสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาออกมาระบุว่าการปะทะกันตามแนวชายแดน เป็นการสร้างกระแสและคะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย และนายกรัฐมนตรี นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ทุกคนประเมินได้ ตนไม่อยากให้ทำให้สัมภาษณ์ ไปสรุปโดยที่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง 100% แต่ตนได้ตั้งข้อสังเกตไว้ ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากก่อน จะเห็นว่า 2 ครั้งที่ผ่านมา เกิดจากที่มีความพยายามพุ่งเป้าปราบปรามสแกมเมอร์หรือไม่ เพราะฉะนั้นหากมองในมุมหนึ่งเราไม่ควรไปตกหลุมพราง ของเขา อย่างไรก็ตาม หากเกิดการปะทะทำในชายแดน แล้วกองทัพทำเกินหลักกติกาสากล เราจะขาดความชอบธรรมทันทีเพราะฉะนั้นค่าที่ของนายกรัฐมนตรีจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อย่าไปแสดงท่าทีเสริมเข้ากับทางกัมพูชาต้องการ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top