วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568
‘กมธ.ศึกษาMOU 43-44 สว.’เคาะมติเอกฉันท์เห็นควรยกเลิก‘MOU 44’ หลัง‘กัมพูชา’แสดงเจตนาไม่ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจ-ละเมิดอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยของไทยอย่างชัดแจ้ง ย้ำ 7 เหตุผล 6 ข้อเสนอแนะ ชงถึง‘รัฐบาล’ชี้ช่องใช้วิธีการเจรจาขอยกเลิกภายใต้ความยินยอมของทั้งสองประเทศ ตามข้อบทแห่งอนุสัญญากรุงเวียนนา บอก หากต้องการรายงานฉบับเต็ม ยินดีส่งให้‘ครม.’
16 ธันวาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา วุฒิสภา ที่มี นายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา(สว.)ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นประธานการประชุม
นายนพดล กล่าวว่า ทางกมธ.ได้มีการประชุมพิจารณาหารือมาแล้ว 12 ครั้ง ซึ่งได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูล รวมถึงเดินทางไปศึกษาที่จ.ตราด จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ และจ.สระแก้ว จากผลการพิจารณาศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทาง กมธ.ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับ MOU 2544 โดยมีมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่า เห็นควรให้ยกเลิก MOU 2544 ด้วยเหตุผล 7 ประการ ดังนี้
ประการที่หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีป พ.ศ. 2515 ของราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นการละเมิดอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยของไทยอย่างชัดแจ้ง ดังนั้น จึงไม่สมควรที่จะนำเส้นเขตดังกล่าว เข้ามาเป็นกรอบในการเจรจาใด ๆ ทั้งสิ้น
ประการที่สอง ราชอาณาจักรกัมพูชาแสดงเจตนารมณ์อันชัดแจ้งว่า จะไม่ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนของเขตทางทะเลของทั้งสองประเทศ พ.ศ. 2544 ซึ่งการแสดงเจตนารมณ์ดังกล่าวมิใช่ครั้งแรก กัมพูชาได้เคยแจ้งกับฝ่ายไทยเมื่อปี พ.ศ. 2538 ว่า “เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา ไม่สามารถเจรจาต่อรองได้
ประการที่สาม ไม่ปรากฏความคืบหน้าในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เช่นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับ กรณีระหว่างการกำหนดเขตแดนทางทะเลระหว่างไทย และเวียดนาม หรือการจัดทำข้อตกลงในการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมกับมาเลเซีย นับเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดแจ้งว่า บันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2544 มิอาจบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้
ประการที่สี่ ราชอาณาจักรกัมพูชายังคงอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูดของไทย เมื่อพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ แล้วเห็นเป็นที่แน่ชัดว่า ราชอาณาจักรกัมพูชายังคงมีเจตนารมณ์ที่จะอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูดทั้งหมด หรืออย่างน้อยที่สุดครึ่งหนึ่งของเกาะ และแสดงให้ประจักษ์ว่าราชอาณาจักรกัมพูชาไม่มีเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนทางทะเลไปพร้อม ๆ กับการแบ่งปันผลประโยชน์ ตามหลักการที่เป็นแก่นสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2544
ประการที่ห้า กรอบการเจรจาไม่สามารถนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ได้ กรอบการเจรจาของบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2544 ซึ่งผูกเรื่องการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือเข้ากับเรื่องการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ในพื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือเอาไว้ด้วยกัน แม้จะเห็นได้ว่าเป็นแนวทางที่พึงประสงค์ในเชิงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่สามารถประสบผลสำเร็จได้ ด้วยเหตุดังกล่าว การผูกมัดทั้งสองประเด็นเข้าไว้ด้วยกัน จึงกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหา แทนที่จะเป็นกลไกในการส่งเสริมให้การเจรจาคืบหน้าตามที่ตั้งเจตนารมณ์ไว้
ประการที่หก บันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2544 พ้นลักษณะของข้อตกลงชั่วคราวไปแล้ว หากจะถือเอาบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2544 เป็นข้อตกลงชั่วคราว (Provisional Arrangement) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (United Nations Convention on the Law of the Sea, 1982: UNCLOS) ข้อ 83 (3) ซึ่งจัดทำขึ้นในกรณีที่การเจรจาแบ่งเขตทางทะเลไม่มีความคืบหน้านั้น ปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้พ้นระยะเวลาที่อาจถือได้ว่าเป็นชั่วคราวไปแล้ว และได้กลายสภาพเป็นทางตันแทน
ประการที่เจ็ด ปัจจัยสภาวะแวดล้อมทางการเมือง สังคม การขาดความจริงใจ จากฝั่งกัมพูชาที่ส่งผลกระทบทางลบ และไม่เอื้ออำนวยต่อบรรยากาศในการเจรจา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการเจรจา ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชามีเจตนาที่จะอ้างสิทธิในไหล่ทวีปเพื่อให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่เกินจากความเป็นจริง ขาดพื้นฐานทางกฎหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นไหล่ทวีปที่ไม่เคารพต่ออำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยทางทะเลโดยรอบเกาะกูดของไทย และการกระทำอื่น ๆ ที่หากพิจารณาในภาพรวมที่ไม่แบ่งแยกว่าบกหรือทะเล พบว่า กัมพูชามีพฤติกรรมและเจตนาที่ไม่ส่งเสริมบรรยากาศในการเจรจาแม้แต่น้อย
นายนพดล กล่าวต่อว่า การยกเลิก MOU 2544 เพื่อแสวงหาข้อตกลงชั่วคราวรูปแบบใหม่ที่มีความเป็นไปได้สูงกว่า และสามารถนำไปสู่ความคืบหน้าได้อย่างแท้จริง น่าจะเป็นแนวทางที่สมควรในอันที่จะผ่าทางตัน และบรรลุเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทางกมธ.มีข้อเสนอว่า
1.หลักการกำหนดเขตทางทะเลระหว่างรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลง หาก MOU 2544 มีการยกเลิกไป การเตรียมความพร้อมในการกำหนดเขตทางทะเลของหน่วยงานรัฐ และการให้ความรู้กับประชาชนยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยต้องมีการออกมาตรการชั่วคราว เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีแนวทางในการดำเนินการใด ๆ เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจและสิทธิอธิปไตยทางทะเลของไทยทางโดยสมบูรณ์
2.กดดันกัมพูชาให้มาเจรจาแบ่งเขตทางทะเลโดยเร็วที่สุด โดยแสดงเจตจำนงยกเลิก MOU 44 ตามอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยสนธิสัญญา ปี ค.ศ. 1968 (Vienna Convention on the Law of Treaties : VCLT) ข้อ 56 โดยให้มีผลบังคับอีก 12 เดือน และหลังรัฐสภาไทยเห็นชอบซึ่งใช้บริหารเวลาให้เหมาะสมได้หลังแสดงเจตจำนงแล้วอาจเจรจากับกัมพูชา เพื่อตกลงร่วมกันยกเลิก MOU 44 หรือแก้ไขให้เหมาะสม โดยเน้นให้มีการเจรจาแบ่งเขตทางทะเลให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
3.ใช้มาตรการทางนาวิกานุภาพ (Naval Power) กดดัน เช่น การปิดอ่าว (Blockade) ควบคุมเรือ สินค้าเข้าออกท่าเรือกัมพูชา
4.พิจารณาประกาศเส้นฐานตรงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมตลอดแนวชายฝั่งของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอ่าวไทยทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก ในบริเวณชายฝั่งที่ยังมีสถานะเป็นเส้นฐานปกติ เนื่องจากตามแนวชายฝั่งดังกล่าว ยังมีเกาะและหินเรียงราย ที่สามารถใช้เป็นจุดฐานในการสร้างเส้นฐานตรง เพื่อรองรับการกำหนดเขตทางทะเลกับกัมพูชา โดยไม่กระทบกับเขตแดนทางทะเลที่ไทยได้ทำข้อตกลงไว้กับประเทศเพื่อนบ้านแต่อย่างใด
5.ศึกษาแนวทางในการกำหนดเขตทางทะเลระหว่างรัฐ โดยทำการศึกษาจากผลการพิจารณาตัดสินทั้งจากของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) และศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ (International Tribunal for the Law of the Sea : ITLOS) เพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจาเกี่ยวกับการกำหนดเขตทางทะเล
นอกจากนี้การคิดค้นวิธีการกำหนดเขตทางทะเลที่สามารถแสดงความเที่ยงธรรมให้เป็นรูปธรรมให้สอดคล้องกับขั้นตอนตรวจสอบความได้สัดส่วนในการกำหนดเขตทางทะเลที่ ICJ และ ITLOS นำมาประกอบการพิจารณา โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่อง จำนวน ขนาด และระยะทางจากฝั่งพื้นที่ทางทะเลที่เกิดจากเกาะหรือหินจะแสดงความเกี่ยวข้องกับพื้นที่สำหรับการกำหนดเขตทางทะเลที่ชัดเจน ให้ผลการปรับแต่งเส้นมัธยะเป็นแบบพื้นที่ ที่แสดงเป็นตัวเลขเป็นเครื่องมือในการยืนยันความเที่ยงธรรมที่เป็นรูปธรรม
6. กรณีการยกเลิก MOU 2544 รัฐบาลต้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อให้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน MOU 44 สิ้นผลบังคับ ทั้งโดยวิธีการเจรจาขอยกเลิกภายใต้ความยินยอมของทั้งสองประเทศ หรืออาศัยเหตุแห่งการสิ้นสุดของสนธิสัญญา หรือเหตุในการบอกเลิกหรือถอนตัวในฐานะรัฐภาคีสนธิสัญญาประการต่าง ๆ ตามข้อบทแห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 เช่น เหตุที่สนธิสัญญาได้สิ้นสุดลงโดยปริยายจากพฤติการณ์ที่ราชอาณาจักรกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามสนธิสัญญา หรือปฏิบัติตามโดยไม่สอดคล้องกับเจตนาเดิม
นายนพดล ระบุว่า หากยกเลิกเอ็มโอยูแล้วก็กลับไปใช้มาตรฐานสากลที่สหประชาชาติบังคับใช้อยู่ ซึ่งมีกฎหมายทางทะเลกำหนดไว้อยู่แล้ว ทุกประเทศก็ควรจะปฏิบัติตาม เมื่อเรานับหนึ่งใหม่ เพราะ 24 ปีที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรคืบหน้าอยู่แล้ว การกลับไปใช้กฎหมายสากลก็น่าจะเป็นที่ยอมรับได้จากนานาประเทศ ในเมื่อกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลแล้ว ก็เป็นหน้าที่ต้องไปชี้แจงต่อสหประชาชาติ หรือภาคีต่างๆ ที่ประเทศกัมพูชาแบบสมาชิกอยู่
นายนพดล กล่าวด้วยว่า ถ้าไม่ยุบสภาเสียก่อน ก็สามารถนำมติของกรรมาธิการฯ เสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภา เพื่อส่งต่อไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไปได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ ครม. ว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ขณะนี้ก็ถือว่าหมดหน้าที่ของกรรมาธิการฯ
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะไม่ดำเนินการทำประชามติเรื่องการยกเลิก MOU43-44 แล้ว นายนพดลระบุว่า เชื่อว่าการที่กรรมาธิการฯ มาแถลงวันนี้ รัฐบาลก็น่าจะรับรู้แล้ว และหากรัฐบาลต้องการรายงานฉบับเต็มของกรรมาธิการฯ ก็สามารถแจ้งมาได้ กรรมาธิการฯ ยินดีส่งไปให้อย่างไม่เป็นทางการ เนื่องจากยังไม่มีมติของวุฒิสภา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี