วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568
วันนี้ 16 ธันวาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พร้อมกับร่างประกาศเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... ที่วุฒิสภาจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับตามลำดับต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. วุฒิสภา รายงานว่า
1.1 โดยที่ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 126 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในระหว่างที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าด้วยเหตุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ สภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ หรือเหตุอื่นใด จะมีการประชุมวุฒิสภามิได้ เว้นแต่มีกรณีที่รัฐสภาต้องดำเนินการตามมาตรา 17 มาตรา 19 มาตรา 20 มาตรา 21 หรือมาตรา 177 หรือมีกรณีที่วุฒิสภาต้องประชุมเพื่อทำหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและวรรคสอง บัญญัติให้เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้วุฒิสภาดำเนินการประชุมได้ โดยให้ประธานวุฒิสภานำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ และให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
1.2 ในการนี้ วุฒิสภามีความจำเป็นต้องทำหน้าหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 126 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้
1.2.1 พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา 222 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จำนวน 2 ตำแหน่ง ดังนี้
(1) พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (นายจิรุตม์ วิศาลจิตร) แทนนายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ กรรมการการเลือกตั้ง
(2) พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (นายมณฑล สุดประเสริฐ) แทนนายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ กรรมการการเลือกตั้ง
ซึ่งบุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 จึงเป็นเหตุให้คณะกรรมการสรรหากรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการสรรหากรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา 16 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาได้เสนอรายชื่อมายังประธานวุฒิสภาแล้วโดยวุฒิสภาได้พิจารณาให้ความเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 222 ประกอบมาตรา 12 วรรคเจ็ด แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560
1.2.2 พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามมาตรา 232 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จำนวน 2 ตำแหน่ง ดังนี้
(1) พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (นายสุชาติ สุนทรีเกษม) แทนพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์
(2) พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (นายมนูภาน ยศธแสนย์) แทนนางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาได้เสนอรายชื่อมายังประธานวุฒิสภาแล้ว โดยวุฒิสภาได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ก่อนวุฒิสภาจะพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2562 ข้อ 105 และบัดนี้ คณะกรรมาธิการสามัญดังกล่าวได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น เพื่อให้วุฒิสภาดำเนินการตามข้อ 1.2 และเพื่อประโยชน์แห่งรัฐตามมาตรา 122 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงมีความจำเป็นต้องมีการประชุมรัฐสภา เป็นการประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อให้วุฒิสภาดำเนินการประชุมเพื่อทำหน้าที่ตามมาตรา 126 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อพิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งตามกรณีดังกล่าว โดยประธานวุฒิสภาจะได้นำร่างประกาศเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568) ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ตามมาตรา 126 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเห็นสมควรให้ปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
2. โดยที่บทบัญญัติมาตรา 126 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมิได้กำหนดรูปแบบในการดำเนินการปิดประชุมดังกล่าวไว้ จึงสมควรดำเนินการโดยจัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกาตามความในมาตรา 122 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยกำหนดให้ปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป (ซึ่งเทียบเคียงกรณีการพิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการการเลือกตั้ง และกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน แทนตำแหน่งที่ว่าง ได้มีประกาศเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2566 และพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2566)
2. เรื่อง พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
สาระสำคัญ
ตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีอาจมอบหมายเป็นการทั่วไปให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรีในบางเรื่องก็ได้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกา ที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด และมาตรา 7 วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้บัญญัติให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีสรุปเรื่องที่นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามวรรคหนึ่งเพื่อแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
นายกรัฐมนตรีได้อาศัยอำนาจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 อนุมัติแทนคณะรัฐมนตรีในเรื่อง การตราร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัดตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ซึ่งบัดนี้ ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และประกาศใช้บังคับในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 142 ตอนที่ 80 ก วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ด้วยแล้ว
เศรษฐกิจ-สังคม
3. เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด - ปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ
2. เห็นชอบการเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น ในช่วงงานนมัสการองค์พระธาตุพนมประจำปี 2569 ณ จุดผ่อนปรนการค้า อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 26 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ 2569
3. รับทราบการปิดจุดผ่อนปรนการค้าท่าบ้านสายลมจอย และจุดผ่อนปรนการค้า ท่าบ้านเกาะทราย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
4. ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และแจ้งให้จังหวัดและส่วนราชการในพื้นที่รับทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน
5. การดำเนินการใด ๆ บริเวณพื้นที่ชายแดน ตามข้อ 1 – 3 จะต้องระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อความมั่นคง โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 อย่างเคร่งครัด
สาระสำคัญ
1. คณะอนุกรรมการพิจารณาการเปิด - ระงับหรือปิดจุดผ่านแดนประเภทต่างๆ (คณะอนุกรรมการฯ) เป็นกลไกภายใต้คณะกรรมการร้อยกรองงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (ซึ่งมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธานทั้ง 2 คณะ) มีหน้าที่ในการพิจารณาเสนอแนะนโยบายและความเหมาะสมในการเปิด - ระงับ หรือปิดจุดผ่านแดนประเภทต่างๆ โดยรอบราชอาณาจักรให้เป็นไปโดยสอดคล้องกับสถานการณ์และบังเกิดผลดีต่อประโยชน์ของชาติและการรักษาความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 และครั้งที่ 2/25568 เมื่อวันที่20 พฤศจิกายน 2568 และคณะกรรมการร้อยกรองงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่24 กันยายน 2567 และครั้งที่ 4/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบเกี่ยวกับการเปิด - ระงับหรือปิดจุดผ่านแดนประเภทต่างๆ จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้
1.1 การเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - ลาวแห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ
เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (5 เมษายน 2565) รับทราบการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว เพื่อดำเนินการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม (คค.) ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเงื่อนไข ข้อกำหนด และการควบคุมดูแลไม่ให้มีผลกระทบในด้านต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างสะพานฯ ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว (เดือนสิงหาคม 2568) และฝ่ายสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้แจ้งความพร้อมในการเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย - ลาวฯ อย่างเป็นทางการ โดยที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - ลาวฯ มีกำหนดวันและเวลาทำการ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป และมอบหมายให้กรมศุลกากรเร่งรัดการดำเนินการในการติดตั้งเครื่องเอกซเรย์แบบเคลื่อนที่ได้ เพื่อรองรับการตรวจสอบตู้สินค้าภายหลังการเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานดังกล่าว ทั้งนี้ กำหนดการเปิดสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 เวลา 17.00 น. โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดสะพานฯ ร่วมกับนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศแห่ง สปป. ลาว
1.2 การเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ในช่วงงานนมัสการองค์พระธาตุพนมประจำปี 2569 ณ จุดผ่อนปรนการค้าอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 26 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2569
ปัจจุบันจุดผ่อนปรนการค้าอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีสถานะเป็นจุดผ่อนปรนการค้าที่เปิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านมนุษยธรรมและส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในระดับท้องถิ่น โดยอนุญาตให้มีการค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และไม่อนุญาตให้ประชาชนชาวไทยเดินทางออกนอกประเทศผ่านช่องทางดังกล่าว อีกทั้งสถานะของจุดผ่อนปรนการค้ามิใช่ด่านตรวจคนเข้าเมืองตามกฎหมายและไม่อยู่ในข่าย ช่องทางอนุญาตให้เดินทางเข้า - ออก ราชอาณาจักร ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 จึงไม่สามารถเปิดให้ประชาชนเดินทางผ่านช่องทางดังกล่าวได้ตามปกติ เว้นแต่จะได้รับการผ่อนผันเป็นกรณีพิเศษตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด ซึ่งหากไทยไม่อนุญาตให้ประชาชนข้ามแดน สปป.ลาว ก็จะไม่อนุญาตให้ประชาชนลาวเดินทางเข้ามาฝั่งไทยเช่นเดียวกัน ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่พื้นที่ทั้งสองฝั่งเมือง ตลอดจนกระทบต่อความสัมพันธ์ระดับเมือง ที่มีความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตร่วมกันมาอย่างยาวนาน ทั้งนี้ มท. ได้ขอความอนุเคราะห์ในการอนุมัติผ่อนผันให้ประชาชนชาวไทยและ สปป.ลาว เดินทางข้ามไป – มา ในห้วงงานนมัสการองค์พระธาตุพนม ประจำปี 2569 ระหว่างวันที่ 26 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2569 รวมทั้งการขยายวันและเวลาเปิดทำการ จุดผ่อนปรนการค้าอำเภอธาตุพนมเป็นการชั่วคราวโดยที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาฯ ครั้งที่ 2/2568 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้เปิดจุดผ่อนปรนพิเศษเพื่อการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นในช่วงงานเทศกาลดังกล่าวระหว่างวันที่ 26 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2569 โดยกำหนดเวลาเปิดทำการ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น. ทั้งนี้ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของงานนมัสการองค์พระธาตุพนมแล้วให้จุดผ่อนปรนพิเศษดังกล่าวกลับไปใช้สถานะเป็นจุดผ่อนปรนการค้าตามเดิม พร้อมทั้งมอบหมายให้ มท. และจังหวัดนครพนม จัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่และการรักษาความสงบเรียบร้อยให้ครอบคลุมมิติด้านความมั่นคง ความปลอดภัย การควบคุมการเข้า - ออกของบุคคลตลอดจนการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยให้ มท. และจังหวัดนครพนมประสานกับแขวงคำม่วนและแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว เพื่อรับทราบแนวทางการบริหารจัดการดังกล่าวของไทยและกำหนดแนวทางการบริหารจัดการของฝ่าย สปป.ลาว ให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
1.3 การปิดจุดผ่อนปรนการค้าท่าบ้านสายลมจอย และจุดผ่อนปรน การค้าท่าบ้านเกาะทราย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
จุดผ่อนปรนการค้าท่าบ้านสายลมจอย และจุดผ่อนปรนการค้าท่าบ้านเกาะทราย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นจุดผ่อนปรนที่เปิดดำเนินการตามประกาศจังหวัดเชียงรายลงวันที่ 29 มิถุนายน 2538 โดยอนุญาตให้บุคคล ยานพาหนะ สิ่งของ และสินค้าผ่านเข้า - ออกตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเมียนมาได้ปิดช่องทางเข้า - ออกจุดผ่อนปรนดังกล่าวในฝั่งเมียนมาเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี โดยจุดผ่อนปรน ทั้งสองจุดข้างต้นปิดทำการมาเป็นระยะเวลานาน ทั้งยังมีจุดผ่านแดนอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง ซึ่งเปิดดำเนินการอยู่ เช่น จุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 และจุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ประกอบกับส่วนราชการในจังหวัดเชียงรายที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการศูนย์สั่งการชายแดนไทย - เมียนมา อำเภอแม่สาย และคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงราย (กรอ.จ.เชียงราย) ได้มีมติให้ปิดจุดผ่อนปรนการค้า ทั้งสองจุด เนื่องจากเห็นว่า การปิดจุดผ่อนปรนทั้งสองจุดไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าขายเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทยและเมียนมา ซึ่งในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบให้ปิดจุดผ่อนปรนการค้าท่าบ้านสายลมจอย และจุดผ่อนปรนการค้าท่าบ้านเกาะทราย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เนื่องจากสอดคล้องกับสภาพ ข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่ไม่ได้มีการเปิดทำการมาเป็นระยะเวลานานและสอดคล้องกับข้อพิจารณาของจังหวัดเชียงราย ซึ่งเห็นว่าไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าชายแดน
2. ประโยชน์
2.1 การเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ - บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ จะเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับ สปป.ลาว และเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 75 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทยและ สปป.ลาว ตลอดจนก่อให้เกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนและส่งเสริมการขยายตัวของมูลค่าการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ การเปิดจุดผ่านแดนถาวรดังกล่าวจะช่วยลดความแออัดของการขนส่งสินค้าบริเวณจุดผ่านแดนถาวรอำเภอเมืองบึงกาฬ และกระจายปริมาณการค้าชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.2 การเปิดจุดผ่อนปรนพิเศษเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมประเพณีห้องถิ่น ในช่วงงานนมัสการองค์พระธาตุขนมประจำปี 2569 ณ จุดผ่อนปรนการค้า อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์ระดับประชาชน (people - to - people relations) ระหว่างไทยและ สปป.ลาว เนื่องด้วยงานนมัสการองค์พระธาตุพนมเป็นงานประเพณีสำคัญประจำปีและเป็นกิจกรรมที่สะท้อนความผูกพันทางศาสนาและวัฒนธรรมร่วมกันของประชาชน ทั้งสองประเทศอย่างลึกซึ้ง
2.3 การปิดจุดผ่อนปรนการค้าท่าบ้านสายลมจอย และจุดผ่อนปรนการค้าท่าบ้านเกาะทราย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าชายแดนไทย - เมียนมา เนื่องจากสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่ไม่ได้มีการเปิดทำการมาเป็นระยะเวลานาน ทั้งยังมีจุดผ่านแดนอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง ซึ่งเปิดดำเนินการอยู่แล้ว
ทั้งนี้ สมช.ได้ประเมินสถานการณ์ความมั่นคงเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อ 1 - 3 พบว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและสามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการชายแดน และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การให้ความเห็นชอบและรับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด - ปิดจุดผ่านแดนดังกล่าวมิได้มีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปตามมาตรา 169 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2566 ดังนั้นคณะรัฐมนตรีจึงสามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบและรับทราบเรื่องที่ สมช. เสนอ รวมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปได้ตามที่เห็นสมควร
4. เรื่อง การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. ในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ถึง พ.ศ. 2568 กระทรวงคมนาคมได้มีแนวทางดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดของทางพิเศษบูรพาวิถี โดยในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2568 ได้กำหนดให้ไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2567 เวลา 00.01 นาฬิกา ถึงวันที่ 2 มกราคม 2568 เวลา 24.00 นาฬิกา โดยในส่วนของทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) เนื่องจากได้มีดำริของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในการประชุมหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ที่ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยพิจารณายกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) (รวมทางเชื่อม) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2562 เป็นต้นไปโดยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางสายดังกล่าว เช่นเดียวกับทางพิเศษบูรพาวิถี เนื่องจากเป็นสายทางที่ต่อเนื่องกันเพื่อระบายการจราจรแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด รวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
2. คณะกรรมการการทางพิเศษฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2568 เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ได้พิจารณา เรื่อง การกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 และได้มีมติ ดังนี้
1) เห็นชอบในหลักการการกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 โดยกำหนดให้ไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2568 เวลา 00.01 นาฬิกา ถึงวันที่ 4 มกราคม 2569 เวลา 24.00 นาฬิกา ตามที่ การทางพิเศษฯ เสนอ และหากกรมทางหลวงมีการปรับปรุงแก้ไขกำหนดวันยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษเป็นประการใด ให้การทางพิเศษฯ ปรับปรุงแก้ไขกำหนดวันที่ไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษดังกล่าวในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ให้สอดคล้องกับกรมทางหลวงก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
2) เห็นชอบให้การทางพิเศษฯ นำเรื่อง การกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 โดยกำหนดให้ไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2568 เวลา 00.01 นาฬิกา ถึงวันที่ 4 มกราคม 2569 เวลา 24.00 นาฬิกา เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ตามที่การทางพิเศษฯ เสนอ
3. การทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้รับการประสานจากกรมทางหลวงโดยเจ้าหน้าที่กองทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง แจ้งให้ทราบว่า จะกำหนดวันยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ในช่วงระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2569 การทางพิเศษฯ จึงเสนอกระทรวงคมนาคมให้ปรับปรุงแก้ไขกำหนดวันที่ไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษทั้ง 2 สายทางดังกล่าว ให้สอดคล้องกับกรมทางหลวง กล่าวคือ ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 เวลา 0.01 นาฬิกา ถึงวันที่ 5 มกราคม 2569 เวลา 24.00 นาฬิกา เป็นจำนวน 7 วัน เท่ากับจำนวนวันตามรายงานการศึกษาวิเคราะห์รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บและผลประโยชน์ที่ได้รับกรณีการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 จึงไม่มีผลกระทบต่อรายงานการศึกษาวิเคราะห์ดังกล่าวแต่อย่างใด
ประโยชน์และผลกระทบ
การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2569 รวม 7 วัน ผลประโยชน์ที่ประเทศชาติ และการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะได้รับ นอกเหนือจากผลประโยชน์ที่ประเมินเป็นมูลค่าเงินได้ (VOC Saving, VOT Saving) ยังมีผลประโยชน์ที่ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าเงินได้ ได้แก่ ความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยต่อผู้ใช้ทางพิเศษ และลดมลพิษทางอากาศบริเวณหน้า ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ อีกทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางพิเศษในช่วงเทศกาลที่มีประชาชนเดินทางเป็นจำนวนมาก และเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยที่มีต่อประชาชนเพื่อให้เกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของหน่วยงาน และเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาใช้ทางพิเศษทั้งสายทางมากยิ่งขึ้น
การดำเนินการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษดังกล่าวในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 การทางพิเศษแห่งประเทศไทยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2569 วันที่ 30 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2569 รวม 7 วัน จะมีปริมาณจราจรมาใช้ทางพิเศษประมาณ 2,378,341 คัน จะทำให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ไม่ได้รับรายได้ประมาณ 87,214,841 บาท แต่จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจประเมินเป็นมูลค่าเงินประมาณ 136,668,014 บาท ซึ่งประกอบด้วยมูลค่าจากการประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้รถ (Vehicle Operating Cost Saving : VOC Saving) 80,539,242 บาท และมูลค่าจากการประหยัดเวลาในการเดินทาง (Value of Time Saving : VOT Saving) 56,128,772 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 136,668,014 บาท
5. เรื่อง รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล (พ.ศ. 2568 – 2570) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล (พ.ศ. 2568 - 2570) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอเชิงนโยบาย ดังนี้
1) พัฒนานโยบายแดชบอร์ดและ Student Tracking System ควรเร่งสร้าง “นโยบายแดชบอร์ด” ที่บูรณาการข้อมูลผู้เรียนรายบุคคล (Student Tracking System) ผลสอบ PISA และ O-NET ระบบ Ed-DQA และข้อมูลการลงทุนของรัฐ โดยระบบนี้ต้องระบุเจ้าภาพข้อมูล และมีมาตรฐานกำกับคุณภาพข้อมูล (Data Quality) เพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถเห็นภาพรวมการศึกษาของทุกพื้นที่แบบเรียลไทม์จัดสรรทรัพยากรได้อย่างแม่นยำ และติดตามความก้าวหน้าตามเป้าหมายรายไตรมาส
2) ปรับหลักสูตรและการประเมินให้สอดคล้อง PISA ควรกำหนดให้การปฏิรูปหลักสูตรและการสอนเป็น “วาระเร่งด่วน” โดยพัฒนาหลักสูตรที่เน้นทักษะคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning) และ Inquiry-Based Learning พร้อมทั้งจัดอบรมครูให้สามารถออกแบบการประเมินในชั้นเรียนที่สอดคล้องกับข้อสอบ PISA จำเป็นต้องจัดทำคลังข้อสอบตัวอย่าง คู่มือการจัดการเรียนการสอน และสื่อสร้างแรงจูงใจสำหรับนักเรียนและผู้ปกครอง เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สนุกสนานและท้าทาย
3) ขยายและทำให้ Credit Bank ใช้งานได้จริง เร่งพัฒนา Credit Bank ให้มีหลักเกณฑ์มาตรฐานการเทียบโอนหน่วยกิตที่ชัดเจน และเชื่อมต่อระบบของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อให้ผู้เรียนทุกระดับสามารถสะสมหน่วยกิตจากประสบการณ์และหลักสูตรต่าง ๆ ไปสู่คุณวุฒิที่สูงขึ้นได้ต้องจัดเวทีสื่อสารเพื่ออธิบายสิทธิประโยชน์ให้ผู้เรียนและผู้ปกครองเข้าใจและติดตามผลการใช้งานรายไตรมาสเพื่อปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง
4) เชื่อมระบบข้อมูลกับการจัดสรรงบประมาณและแรงจูงใจ ใช้ข้อมูลจาก Student Tracking System เป็นเงื่อนไขในการจัดสรรงบประมาณ โดยมอบรางวัลหรือแรงจูงใจเพิ่มเติมให้กับพื้นที่หรือโรงเรียนที่ลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษาและยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนได้จริง แนวทางนี้จะกระตุ้นให้หน่วยงานระดับพื้นที่ใช้ข้อมูลเชิงหลักฐานในการวางแผนและปรับกลยุทธ์การสอน
5) กำหนดแนวปฏิบัติด้าน media & digital literacy สร้างหลักสูตรสั้นๆ และแนวทางปฏิบัติด้านการรู้เท่าทันสื่อและจริยธรรมดิจิทัลสำหรับครูและนักเรียน พร้อมกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการใช้ AI ในสถานศึกษา นโยบายนี้จะช่วยป้องกันการใช้เทคโนโลยีอย่างไม่เหมาะสม และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการขยายตัวของสื่อดิจิทัล
สาระสำคัญ
1. กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้ดำเนินการติดตามผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล (พ.ศ. 2568 - 2570) จากหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจกรรมตามแผนการดำเนินงานจำนวน 13 หน่วยงานหลัก ทั้งหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลและนำมาวิเคราะห์เพื่อให้ได้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงาน ปัญหา/อุปสรรค และข้อเสนอแนะสำหรับใช้เป็นข้อมูลในการยกระดับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และเป็นไปตามมติที่ประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568
2. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล (พ.ศ. 2568 – 2570) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งนำเสนอข้อมูลสรุปผลการดำเนินงานตามรายยุทธศาสตร์ 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) การส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาการศึกษาในระดับสากล (2) การพัฒนาทักษะที่จำเป็นตามมาตรฐานสากลเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะแวดล้อมโลกใหม่ (3) การพัฒนาระบบนิเวศ ทรัพยากร และบูรณาการระบบฐานข้อมูลทางการศึกษาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศ (4) การพัฒนาระบบบริหารจัดการการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการศึกษาให้มีมาตรฐานในระดับสากล และ (5) การพัฒนาองค์ความรู้ การสื่อสารสร้างความเข้าใจ และการเสริมพลังภาคส่วนร่วมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาการศึกษาสู่มาตรฐานสากล รวมทั้งนำเสนอข้อมูลผลการติดตามและประเมินผลการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาไทยในเวทีโลก จำแนกเป็น 5 มิติ ได้แก่ (1) มิติด้านคุณภาพการศึกษา (Quality) (2) มิติด้านความเสมอภาคทางการศึกษา (Equity) (3) มิติด้านการเข้าถึงการศึกษา (Access) (4) มิติด้านประสิทธิภาพการจัดการศึกษา (Efficiency) และ (5) มิติด้านการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง (Relevancy) ทั้งนี้ พบว่าผลการดำเนินงานตามแผนครบถ้วน ร้อยละ 100 ของทุกหน่วยงาน ซึ่งความสำเร็จของการดำเนินงานโครงการเป็นไปตาม วัตถุประสงค์ที่มีจุดเน้นในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษา เกิดการบูรณาการการขับเคลื่อนส่งเสริมการจัดการศึกษาของประเทศไทย ตั้งแต่ระบบการศึกษา รูปแบบการศึกษาที่มีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาตัวผู้เรียน พัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลสูงสุด อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาได้อย่างดียิ่ง
ประโยชน์และผลกระทบ
1. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญของการยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาของประเทศไทย และสามารถสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาที่สำคัญ โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงาน และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาของประเทศนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
ต่างประเทศ
6. เรื่อง การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อด้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) ระหว่างวันที่ 17 - 18 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพมหานคร
2. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ โดยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ค.ศ.2025 (2025 Bangkok Joint Statement by the Global Partnership against Online Scams) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ เพื่อให้ประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุมฯ พิจารณาร่วมรับรองและร่วมอุปถัมภ์ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ปัจจุบันปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต มีความสลับซับซ้อนและส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในหลายมิติ การแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือจากนานาประเทศองค์การระหว่างประเทศ ภาคเอกชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศในระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 26 - 28 ตุลาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ว่า ประเทศไทยจะเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการ ต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดการประชุมดังกล่าว
3. กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) มีกำหนดร่วมเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) ระหว่างวันที่ 17 - 18 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพมหานคร
4. การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอินเทอร์เน็ต (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระดับโลก (Global Partnership) ในการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (1) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดี ความท้าทาย และข้อมูลและข่าวกรอง และ (2) การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการป้องกัน และสกัดกั้นปฏิบัติการอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งการฟอกเงินและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตลอดจนการดำเนินคดีต่อกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ และคุ้มครองผู้เสียหาย จากการค้ามนุษย์ในบริบทอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ซึ่งมีสาระสำคัญในการย้ำเจตนารมณ์ของทุกประเทศที่จะยกระดับและส่งเสริมความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
ประโยชน์และผลกระทบ
การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอินเทอร์เน็ต (International Conference on the Global Partnership against Online Scams) จะเป็นการแสดงบทบาทนำของไทยและเจตนารมณ์ทางการเมืองของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต และเป็นโอกาสให้ไทยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความท้าทาย และแนวปฏิบัติที่ดีในการดำเนินการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตกับประเทศต่างๆ องค์การระหว่างประเทศ และภาคส่วนต่างๆ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี