เคลียร์ชัดๆทำไมศาลรธน.ไม่รับคำร้อง‘วัฒนา เมืองสุข’คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร

เคลียร์ชัดๆทำไมศาลรธน.ไม่รับคำร้อง‘วัฒนา เมืองสุข’คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร

วันอาทิตย์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 08.03 น.

เคลียร์ชัดๆทำไมศาลรธน.ไม่รับคำร้อง‘วัฒนา เมืองสุข’คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร

21 ธันวาคม 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...


ทำไมศาลรัฐธรรมนูญถึงไม่รับคำร้อง "วัฒนา เมืองสุข"? ที่ขอให้วินิจฉัยคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร

เมื่อ 18 ธันวาคม 2568 ในคดีที่นายวัฒนา เมืองสุข ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นการนำพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบเข้าสู่การพิจารณาคดี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 และการพิพากษาลงโทษผู้ร้องโดยจำคุก 99 ปี พร้อมสั่งริบเงิน 99 ล้านบาท ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับขณะผู้ร้องกระทำความผิด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ศาลรธน.ตีตกคำร้อง'วัฒนา เมืองสุข' ดิ้นขอวินิจฉัย ปมใช้พยานที่ได้มามิชอบ)

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นเรื่องที่ศาลอื่นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

ผู้เขียนมีความเห็นดังนี้

1) มติเอกฉันท์ของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่ง "ไม่รับคำร้อง" ของคุณวัฒนา เมืองสุข ในคดีโต้แย้งคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของตัวบุคคล แต่คือการปักป้ายประกาศเขตอำนาจตุลาการที่ประชาชน "พึงรู้"

2) ทำไมอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้วยัง "จอดสนิท" ตั้งแต่หน้าประตู? นี่คือ 3 ประเด็นเข้มข้นที่เราต้องทำความเข้าใจ:

(1) ศาลรัฐธรรมนูญ "ไม่ใช่ศาลอุทธรณ์ของศาลอื่น"

ความพยายามโต้แย้งว่า ศาลฎีกาฯ รับฟังพยานหลักฐานมิชอบ หรือปรับบทกฎหมายอาญาไม่ถูกต้อง คือการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญไป "รื้อคดี" และ "ตรวจการบ้าน" ศาลฎีกา หากศาลรัฐธรรมนูญยอมเปิดประตูนี้แม้เพียงนิดเดียว ระบบยุติธรรมไทยจะพังทลายทันที เพราะคำพิพากษาศาลสูงสุดจะไม่มีความหมาย และคดีความในประเทศนี้จะไม่มีวันจบสิ้น

(2) อำนาจเด็ดขาดตามมาตรา 211 วรรคสี่ ที่ต้องใช้ให้ถูกทิศ

รัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคสี่ บัญญัติให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ "ผูกพันทุกองค์กร" แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี้มีไว้เพื่อ "พิทักษ์รัฐธรรมนูญ" ไม่ใช่เพื่อก้าวก่าย "ดุลพินิจการพิจารณา" ของศาลอื่น ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องใช้อำนาจนี้อย่างระมัดระวังด้วยการ "หยุดตัวเอง" ไม่ให้ล้ำเส้นเข้าไปในเขตอำนาจของศาลอื่น (Judicial Restraint) เพื่อรักษาดุลยภาพแห่งอำนาจตุลาการ

(3) มาตรา 213: ทางออกสุดท้าย หรือ ทางตัน?

เราต้องยอมรับความจริงว่า ช่องทางมาตรา 213 มีไว้เพื่อเยียวยาการละเมิดสิทธิที่เกิดจาก "กฎหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญ" หรือ "การกระทำของรัฐที่ไม่มีกฎหมายรองรับ" เท่านั้น แต่เมื่อใดที่เรื่องนั้นผ่านการสู้คดีจน "ถึงที่สุด" ในศาลอื่นมาแล้ว มาตรา 213 จะไม่ใช่ทางไปต่อยังศาลรัฐธรรมนูญตามเงื่อนไขของ พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 47 (4)

3) บทสรุปที่ต้องตระหนัก: คำวินิจฉัยนี้คือการยืนยันว่า "ความสิ้นสุดของคดี" (Res Judicata) คือหัวใจของความยุติธรรม แม้ผู้ร้องจะหยิบยกหลักนิติธรรมหรือสิทธิตามรัฐธรรมนูญมาอ้างอย่างสวยหรูเพียงใด แต่ถ้ามันเป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญไป "ทับซ้อน" อำนาจศาลอื่น ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องตัดสินอย่างเด็ดขาดเพื่อไม่ให้ระบบนิติรัฐเกิดความสับสน

"รัฐธรรมนูญคุ้มครองสิทธิ แต่ไม่ได้เปิดช่องให้รื้อฟื้นคดีตามอำเภอใจ"

วัส ติงสมิตร

นักวิชาการอิสระ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top