โพลชี้! สนามเลือกตั้งยังเปิด 'ภูมิใจไทย' นำพรรคใหม่ขยับ 'ปวงชนไทย' ติดกลุ่มมวยรอง

โพลชี้! สนามเลือกตั้งยังเปิด 'ภูมิใจไทย' นำพรรคใหม่ขยับ 'ปวงชนไทย' ติดกลุ่มมวยรอง

วันอาทิตย์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 19.29 น.

โพลชี้ สนามเลือกตั้งยังเปิด “ภูมิใจไทย”นำ พรรคใหม่ขยับ “ปวงชนไทย” ติดกลุ่มมวยรอง

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลการสำรวจ เรื่อง คะแนนเสียงของพรรคการเมืองวันนี้ สำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,134 ตัวอย่าง โดยใช้หลักสถิติประมาณการคะแนนเสียงในระดับประเทศ อาศัยประสบการณ์และแบบจำลองเชิงสถิติที่เคยใช้มาแล้วในอดีต เช่น กรณีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่โพลชี้ว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะได้รับคะแนนประมาณ 1.2 ล้านเสียง ขณะที่ผลการนับคะแนนจริงอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านเสียง รวมถึงกรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2566 ที่โพลชี้ว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับคะแนนเสียงเกินกว่า 10 ล้านคะแนน ซึ่งผลจริงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน


อ้างอิงจาก https://www.dailynews.co.th/news/1073585/ และโพลเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2566 https://www.matichon.co.th/politics/news_3979683  โดยการทำโพลครั้งนี้ ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 19 – 20 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา

กรอบการวิเคราะห์อ้างอิงฐานข้อมูลประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไป จากทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ณ เดือนพฤศจิกายน 2568 จำนวนทั้งสิ้น 53,057,546 คน เพื่อให้การประมาณการคะแนนเสียงอยู่บนฐานประชากรจริง และสามารถสะท้อนพลวัตทางการเมืองในระดับประเทศได้

 

 

ภาพรวมความตั้งใจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง: ฐานโครงสร้างของพฤติกรรมทางการเมือง

รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งสิ้น 53,057,546 คน มีประชาชนที่คาดว่าจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 จำนวนประมาณ 38,307,548 คน ขณะที่กลุ่มที่ระบุว่าไม่ไปเลือกตั้งหรือยังไม่แน่ใจว่าจะไปใช้สิทธิ มีจำนวน 14,749,998 คน

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนอัตราการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยมีประชาชนมากกว่าสองในสามของผู้มีสิทธิทั้งหมดแสดงความตั้งใจจะไปเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่ไปเลือกตั้งยังมีขนาดใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในเชิงพฤติกรรม เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีได้ตามบริบททางการเมือง กระแสสังคม และการสื่อสารของพรรคการเมืองในช่วงก่อนวันเลือกตั้ง

ผลประมาณการคะแนนเสียงพรรคการเมือง: ตัวเลขที่สะท้อน “กระแส” และ “ความรู้สึก”

เมื่อพิจารณาผลประมาณการคะแนนเสียงของพรรคการเมืองในภาพรวม พบว่า พรรคการเมืองขนาดใหญ่ยังคงเป็นแกนหลักของระบบการแข่งขันทางการเมืองไทย โดยพรรคภูมิใจไทยได้รับคะแนนเสียงประมาณการสูงสุดที่ 8,436,150 คะแนน รองลงมาคือ พรรคเพื่อไทย จำนวน 7,587,229 คะแนน และพรรคประชาชน จำนวน 4,509,891 คะแนน

ในขณะเดียวกัน กลุ่ม “เลือกพรรคอื่น ๆ และพรรคเปิดตัวใหม่” มีคะแนนเสียงรวมกันถึง 5,199,640 คะแนน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนว่าพรรคขนาดเล็กและพรรคการเมืองใหม่ยังคงมีพื้นที่ทางการเมือง และมีบทบาทในฐานะ “ทางเลือก” สำหรับประชาชนบางส่วนที่ยังไม่ผูกพันกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่

ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ กลุ่มประชาชนที่ยังลังเล ไม่ตัดสินใจ หรือไม่ตอบคำถาม มีจำนวนสูงถึง 12,574,638 คน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าคะแนนเสียงของพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งโดยลำพัง และถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงสุดในการกำหนดทิศทางผลการเลือกตั้งในช่วงโค้งสุดท้าย

เมื่อรวมกับกลุ่มที่ไม่ไปเลือกตั้งจำนวน 14,749,998 คน จะเห็นได้ว่ามีประชาชนมากกว่า 27 ล้านคน ที่ยังอยู่นอกการตัดสินใจทางการเมืองโดยตรง ซึ่งสะท้อนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงเป็น “สนามเปิด” ในเชิงพฤติกรรม ไม่ใช่การแข่งขันที่ปิดเกมแล้วจากตัวเลขคะแนนเสียงปัจจุบัน

พรรคเปิดตัวใหม่: สัญญาณของ “มวยรอง” หรือ Underdog Effect ที่เริ่มปรากฏ

สำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ผลการสำรวจพบว่า พรรคเศรษฐกิจได้รับคะแนนเสียงประมาณการ 742,806 คะแนน พรรคปวงชนไทยได้รับ 477,518 คะแนน และพรรคไทยก้าวใหม่ได้รับ 265,288 คะแนน จะเห็นได้ว่าพรรคโนเนม หรือ พรรคที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นในการรับรู้กำลังพุ่งขึ้นสู่กลุ่มพรรคมวยรอง เช่น พรรคเศรษฐกิจ พรรคปวงชนไทย กำลังกลายเป็นพรรคที่ถูกจับตามองอยู่ในเวลานี้ด้วยนโยบายเรื่อง เมกะโปรเจกต์ เศรษฐกิจการเกษตร สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นต้น 

แม้ตัวเลขดังกล่าวจะยังอยู่ในระดับหลักแสนเมื่อเทียบกับพรรคขนาดใหญ่ แต่ในเชิงพฤติกรรมการเลือกตั้ง ถือเป็นสัญญาณสำคัญของการเริ่มก่อตัวของ “มวยรอง” หรือ “อันเดอร์ด็อก เอฟเฟกต์” Underdog Effect กล่าวคือ การที่ประชาชนบางส่วนเลือกสนับสนุนพรรคที่ยังไม่ใช่ผู้เล่นหลัก ด้วยแรงจูงใจด้านความหวัง การให้โอกาส และความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

การเชื่อมโยงคะแนนเสียงกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง: มวยต่อ กับ มวยรอง (Bandwagon vs. Underdog)

เมื่อเชื่อมโยงตัวเลขคะแนนเสียงเข้ากับกรอบการวิเคราะห์เชิงพฤติกรรม พบว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีพลวัตที่สำคัญอยู่สองด้านควบคู่กัน ได้แก่ Bandwagon Effect และ Underdog Effect

ในด้านหนึ่ง พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีคะแนนนำอยู่ เช่น พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย อยู่ในสถานะที่เอื้อต่อการเกิด Bandwagon Effect กล่าวคือ ประชาชนกลุ่มลังเลอาจตัดสินใจสนับสนุนพรรคที่ถูกมองว่ามีโอกาสชนะสูง เพื่อให้เสียงของตน “ไม่สูญเปล่า” และมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลหรือทิศทางประเทศ

แต่อีกด้านหนึ่ง คะแนนเสียงของพรรคเปิดตัวใหม่และพรรคขนาดเล็ก รวมถึงจำนวนประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจในระดับสูง สะท้อนว่า Underdog Effect ยังมีพื้นที่และสามารถขยายตัวได้ หากพรรคการเมืองสามารถสื่อสารนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาปากท้อง ความเป็นธรรม และคุณภาพชีวิตได้อย่างน่าเชื่อถือ

ใครคือ “ตัวชี้ขาด” (Kingmaker) ของการเลือกตั้งครั้งนี้

จากการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด ตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง หากแต่อยู่ที่ พฤติกรรมการตัดสินใจของประชาชนกลุ่มลังเลและไม่ตัดสินใจ ซึ่งมีขนาดใหญ่และยังเปิดรับข้อมูลใหม่อย่างต่อเนื่อง หากกระแส “มวยต่อ” หรือ “แบนด์วากอน” Bandwagon เด่นชัดขึ้น ผลการเลือกตั้งอาจเอนเอียงไปสู่พรรคที่นำอยู่ แต่หาก “มวยรอง” หรือ “อันเดอร์ด็อก เอฟเฟกต์” Underdog Effect ถูกกระตุ้นผ่านการสื่อสารเชิงนโยบายและอัตลักษณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน โครงสร้างคะแนนเสียงอาจกระจายตัวมากขึ้น และเปิดโอกาสให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างจากความคาดหมายเดิม

กล่าวโดยสรุป ผลการสำรวจของซูเปอร์โพลครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงการจัดอันดับพรรคการเมือง หากแต่ต้องการสะท้อน “เสียงของประชาชนในช่วงเวลาปัจจุบัน” และชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งยังคงเป็นกระบวนการที่มีชีวิต มีพลวัต และเปิดโอกาสให้ทุกพรรคการเมืองแข่งขันกันด้วยนโยบาย ความจริงใจ และความรับผิดชอบต่อสังคม

หากพรรคการเมืองทุกพรรคใช้ข้อมูลชุดนี้เป็นเครื่องมือในการปรับปรุงการสื่อสารและการกำหนดนโยบาย โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง การเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เพียงเป็นการแข่งขันทางการเมือง แต่จะเป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมไทย เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง และนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top