ปิดประตูตัวเอง  ‘พรรคส้ม’ เลือกเกมเสี่ยง

ปิดประตูตัวเอง ‘พรรคส้ม’ เลือกเกมเสี่ยง

วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 07.22 น.

การเมืองก่อนวันเลือกตั้งตามตำราของคนเล่นเป็น ไม่ใช่ช่วงเวลาของการรีบประกาศท่าที

แต่คือช่วงเวลาของการเก็บไพ่ไว้ในมือ
ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้


เพราะตราบใดที่ผลยังไม่ออก ไม่มีใครรู้ว่าใครจะได้กี่เสียง และไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นคนถือกุญแจจัดตั้งรัฐบาลจริง

คำพูดในช่วงนี้ จึงไม่ใช่แค่การสื่อสารกับประชาชน แต่มันคือการกำหนดกรอบการต่อรองของตัวเองล่วงหน้า

ใครพูดเร็ว มักเดินยากในจังหวะถัดไป
แต่พรรคประชาชน หรือ “พรรคส้ม”
เลือกที่จะพูดเร็ว และกำหนดท่าทีของตัวเองตั้งแต่เกมยังไม่เริ่ม

ด้วยการประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคส้มจะไปเป็นฝ่ายค้าน

ไม่ใช่คำพูดหลุด ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ

หากเป็นการตัดสินใจที่คิดมาแล้ว
คิดมาแล้วว่าจะเลือกข้างทั้งที่ยังไม่เห็นผลเลือกตั้ง

และเป็นการส่งสัญญาณว่า พรรคส้มเลือกปิดประตู ความเป็นไปได้บางทาง
ตั้งแต่ยังไม่รู้ผลคะแนน

ผลของการตัดสินใจลักษณะนี้ ไม่ได้ซับซ้อนในทางการเมือง

เพราะทันทีที่พรรคเลือกจำกัดทางเลือกของตัวเอง อำนาจในการต่อรอง ย่อมลดลงตามไปด้วย

ทั้งหมดนี้ สวนทางกับความจริงของการเมืองไทยปัจจุบัน

โครงสร้างการเลือกตั้ง การกระจายฐานเสียง และการแข่งขันในแต่ละเขต แทบไม่เปิดช่องให้พรรคใดพรรคหนึ่ง ได้เสียงเกิน 250 เสียงอยู่แล้ว
 

“รัฐบาลพรรคเดียว” จึงเป็นเป้าหมายเชิงความหวัง มากกว่าแผนที่สอดคล้องกับสนามจริง

ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ หากพรรคใดได้อันดับหนึ่ง เส้นทางสู่การเป็นรัฐบาล
ย่อมหนีไม่พ้นการรวมเสียงจากพรรคอื่น

และอีกด้านหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องจำนวนเสียง แต่คือคำถามว่า
จะมีพรรคการเมืองใด พร้อมทำงานร่วมกับพรรคส้มจริง ๆ

ไม่ใช่แค่เรื่องจุดยืนทางนโยบาย
แต่รวมถึงวิธีคิด และวิธีทำงานร่วมกัน

ภาพลักษณ์ของพรรคส้มในสายตาพรรคการเมืองอื่น มักถูกมองว่าแข็งทื่อ
เชื่อว่าตัวเองถูกที่สุด และไม่เปิดพื้นที่ให้ความเห็นที่ต่าง

ท่าทีลักษณะนี้ อาจได้รับการยอมรับในหมู่ผู้สนับสนุน

แต่ในโลกของรัฐบาลผสม กลับกลายเป็นเงื่อนไข ที่ทำให้การทำงานร่วมกัน
เริ่มต้นได้ยาก

และนอกเหนือจากวิธีทำงาน ยังมีเงื่อนไขสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

คือจุดยืนของพรรคส้ม ต่อสถาบันหลักของประเทศ และต่อกรอบความมั่นคงของรัฐ

แม้พรรคจะยืนยันว่า ต้องการการปฏิรูป
ไม่ใช่การเผชิญหน้า

แต่ท่าทีของแกนนำบางส่วน การสื่อสารในอดีต และการตั้งคำถามต่อกลไกความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ทำให้พรรคการเมืองจำนวนไม่น้อย ยังลังเลจะผูกชะตาทางการเมืองร่วมกัน

ในโลกของรัฐบาลผสม ความต่างทางนโยบายสามารถต่อรองได้

แต่ความไม่มั่นใจต่อกรอบอำนาจรัฐ
และเสถียรภาพทางการเมือง คือสิ่งที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ ไม่พร้อมรับความเสี่ยง

เหตุผลที่พรรคต้องรีบพูด ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก

แต่การอธิบายว่า พรรคส้มเสียความเชื่อมั่น เพราะโหวต “อนุทิน” เพียงอย่างเดียว
คือการมองการเมืองตื้นเกินไป

เพราะในความเป็นจริง ฐานเสียงจำนวนหนึ่ง ไม่ได้มองว่าอนุทิน ชาญวีรกูล
เป็นปัญหา

ตรงกันข้าม สำหรับคนจำนวนไม่น้อย
โดยเฉพาะนอกเมืองใหญ่

อนุทินและพรรคภูมิใจไทยมถูกมองว่า
มีภาพ ความมั่นคง ความเด็ดขาด
และความเข้าใจกลไกรัฐ

จุดนี้เองคือพื้นที่ที่พรรคส้ม เสียไปทางการเมืองมานานแล้ว

ภาพจำของพรรคผูกกับการตั้งคำถามต่อกองทัพ การวิจารณ์บทบาททหาร
และการสื่อสารที่ชนกับกลไกความมั่นคงโดยตรง

ท่าทีเหล่านี้ อาจเป็นจุดยืนในสายตาแฟนคลับ แต่สำหรับประชาชนอีกจำนวนมาก
กลับกลายเป็นคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ

ภาพจำดังกล่าวไม่ได้หยุดอยู่แค่อดีต ในทางปฏิบัติ พรรคส้มยังมีแกนนำที่สื่อสารในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่อง

ทั้งการตั้งคำถามต่อยุทธศาสตร์การรบ
การวิจารณ์การตัดสินใจของกองทัพ
และการสื่อสาร ที่วางกองทัพไว้ในตำแหน่ง ของผู้ที่ต้องอธิบายอยู่เสมอ

สำหรับแฟนคลับ สิ่งนี้อาจถูกมองว่าเป็นการตรวจสอบอำนาจ

แต่สำหรับประชาชนอีกจำนวนมาก
ท่าทีเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า
พรรคส้มพร้อมแค่ไหน กับบทบาทด้านความมั่นคงของรัฐ

เมื่อมองลงไปที่ตัวเลขในสนามจริง
ความเสี่ยงยิ่งเห็นชัดขึ้น

ฐานเสียงเดิมของพรรคส้ม ที่เคยได้ราว 151 เสียง วันนี้ไม่ได้อยู่ในจุดที่มั่นคงเหมือนเดิม

ในวงวิเคราะห์การเมือง เริ่มมีการประเมินว่า การรักษาระดับเดิมให้ได้
ไม่ใช่เรื่องง่าย

บางการประเมินไปไกลกว่านั้น ถึงขั้นมองว่า จำนวน สส. อาจต่ำกว่า 100 เสียงด้วยซ้ำ หากกระแสไม่เอื้อ และคะแนนถูกเฉือนในเขตนอกเมืองใหญ่

เมื่อภาพฐานเสียงยังไม่นิ่ง การพูดถึงเป้าหมายรัฐบาลพรรคเดียว จึงยิ่งห่างจากบริบทความเป็นจริงของสนาม

และทำให้คำถามเดิม ดังขึ้นเรื่อย ๆ พรรคส้มพร้อมแค่ไหน กับการเป็นรัฐบาลจริง?

ความเสี่ยงของพรรคส้มในสนามเลือกตั้ง
จึงชัดเจนขึ้น

หนึ่ง
พรรคส้มเสี่ยงเสียคะแนนจากกลุ่มลังเล
กลุ่มที่ต้องการรัฐบาล ซึ่งเดินต่อได้จริงหลังวันเลือกตั้ง

สอง
พรรคส้มเสี่ยงทำให้คู่แข่ง ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่พร้อมกว่า ในแง่ความสามารถในการจัดตั้งรัฐบาล

สาม
พรรคส้มเสี่ยงต่อการถูกกำหนดบทบาท
ตั้งแต่ก่อนเปิดหีบ

จากพรรคที่ควรแข่งขัน เพื่อเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล กลับส่งสัญญาณว่า ยอมรับบทบาทฝ่ายค้าน ด้วยคำพูดของตัวเอง

ในเกมที่คำพูดกลายเป็นเงื่อนไข การพูดก่อน ไม่ใช่ความกล้า แต่เป็นการกำหนดข้อจำกัดให้ตัวเอง

ทั้งในทางเลือก อำนาจต่อรอง และบทบาทหลังเลือกตั้ง ตั้งแต่เกมยังไม่เริ่มนับคะแนน.

ทีมข่าวแนวหน้าออนไลน์
 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top