ถาม-ตอบ 27 ข้อ แจงเรื่อง ไทย-กัมพูชา หยุดยิง 72 ชั่วโมง

ถาม-ตอบ 27 ข้อ แจงเรื่อง ไทย-กัมพูชา หยุดยิง 72 ชั่วโมง

วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 20.19 น.

วันที่ 28 ธันวาคม 2568 ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลคำถามและคำตอบ (Q&A) เรื่อง หยุดยิง 72 ชั่วโมง เพื่อใช้สื่อสารกับประชาชนชาวไทย จำนวน 27 ข้อดังนี้

1) ความมั่นคงและอธิปไตย


Q1 การหยุดยิง 72 ชั่วโมง กระทบอธิปไตยไหม ไทยเสียเปรียบหรือไม่

A: การหยุดยิงเป็นหนึ่งมาตรการ เพื่อลดระดับความตึงเครียดและนำไปสู่การยุติการปะทะอย่างถาวร สู่สันติภาพที่ยั่งยืน และเพื่อคุ้มครองประชาชน มาตรการดังกล่าว ไทยยึดหลักไม่กระทบสิทธิ/อธิปไตย (without prejudice to) กำลังในพื้นที่ยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังเต็มขีดความสามารถ

Q2 เป็นความสมัครใจของไทยหรือถูกกดดันจากต่างชาติ

A: ไทยตัดสินใจบนพื้นฐาน “ผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชน” โดยรักษาศักดิ์ศรีและอธิปไตยครบถ้วน พร้อมใช้การทูตควบคู่การป้องกันประเทศ การรับฟังข้อเสนอจากมิตรประเทศเป็นเรื่องปกติ แต่การตัดสินใจเป็นของไทย

Q3 อีกฝ่ายจะใช้หยุดยิงเพื่อเสริมกำลังหรือไม่

A: ความกังวลนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไทยจึงกำหนดมาตรการเฝ้าตรวจและติดตามอย่างเข้มงวด ทั้งการข่าวและการลาดตระเวนตามแนวปฏิบัติ หากพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ จะบันทึกหลักฐานและดำเนินการตามขั้นตอนทันที

Q4 ถ้ามีการละเมิดการหยุดยิง ใครเป็นผู้รับผิดชอบ ไทยตอบโต้ทันทีหรือไม่

A: หากเกิดการละเมิด ไทยจะรายงานตามกลไกที่ตกลงกันไว้ พร้อมยืนยันสิทธิในการป้องกันตนเองการตอบโต้จะยึดหลักความจำเป็น-ความได้สัดส่วน เพื่อลดความเสี่ยงต่อประชาชน และไม่เปิดช่องให้บิดเบือนในเวทีสากล

Q5 หลักประกันว่าพื้นที่ที่ไทยควบคุมจะไม่ถูกท้าทายคืออะไร

A: ไทยยึด “ตำแหน่งปัจจุบัน” ตามการปฏิบัติในพื้นที่อย่างชัดเจน พร้อมการบันทึกพิกัด เหตุการณ์และหลักฐานการเคลื่อนไหวทุกกรณี เพื่อคุ้มครองสิทธิของไทย ทั้งในสนามรบและในโต๊ะเจรจา

2) เหตุผลและความจำเป็น

Q6 ทำไมต้อง 72 ชั่วโมง

A: 72 ชั่วโมงเป็น “กรอบเวลาสั้น พอให้ควบคุมได้” และ “ยาวพอ ให้ทำภารกิจเร่งด่วน” เช่น การตรวจสอบสถานการณ์จริง การช่วยเหลือประชาชน การจัดการความปลอดภัย และการเปิดช่องให้กลไกการเจรจาทำงานโดยไม่ให้สถานการณ์ลุกลาม

Q7 การหยุดยิงเป็นเพราะถูกกดดันทางทหาร หรือเป็นทางเลือกการทูต

A: เป็น “ทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อรักษาชีวิตประชาชน คงความชอบธรรมสากล และเปิดพื้นที่ให้การทูตทำงาน โดยความพร้อมทางทหารยังคงอยู่

Q8 ไทยบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้วหรือยัง

A: เป้าหมายหลักของไทยคือการปกป้องอธิปไตย ลดภัยคุกคาม และคุ้มครองประชาชน ที่ผ่านมาถือว่าบรรลุเป้าหมายทางทหารแล้ว โดยเฉพาะการควบคุมพื้นที่สำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ทั้งนี้ การหยุดยิงไม่ได้แปลว่า “ยุติการป้องกัน” แต่เป็นการ “ลดการปะทะ” เพื่อประเมินผล
และกำหนดก้าวถัดไปอย่างรอบคอบ

Q9 การหยุดยิงเป็นผลดีต่อใครมากที่สุด

A: ผลดีอันดับหนึ่งคือ ประชาชน ที่จะลดความเสี่ยงจากการปะทะ อีกทั้ง ไทยยังได้พื้นที่ทางการทูตและข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อสื่อสารต่อสากลอย่างเป็นระบบ

3) ความปลอดภัยของประชาชน

Q10 ระหว่างการหยุดยิง ประชาชนปลอดภัยจริงไหม

A: ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่รัฐให้ความสำคัญสูงสุด มีมาตรการลาดตระเวน เฝ้าระวัง และการแจ้งเตือนประชาชนตามระดับความเสี่ยง การหยุดยิงไม่ได้หมายถึงการเปิดพื้นที่โดยอัตโนมัติ

Q11 หากเกิดเหตุไม่คาดคิด มีแผนฉุกเฉินไหม

A: มีแผนรองรับทั้งการอพยพ การแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์พักพิง และการประสานหน่วยงานในพื้นที่ โดยจะมีการวางแผนการสื่อสารคำแนะนำที่ประชาชนทำตามได้จริงแบบทันเวลา

Q12 ประชาชนสามารถกลับเข้าพื้นที่และเริ่มต้นทำมาหากินได้หรือยัง

A: ทำได้ โดยมี “ขั้นตอน” ตามหลักการประเมินความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบทุ่นระเบิดวัตถุระเบิดตกค้าง การยิงปะทุซ้ำ โดยเน้นความปลอดภัยของสภาพพื้นที่แต่ละจุดเป็นสำคัญ

Q13 ทางการจะคุ้มครองทรัพย์สินและชีวิตอย่างไร

A: มีการเพิ่มการลาดตระเวน ควบคุมพื้นที่เสี่ยง ตั้งจุดตรวจ จัดช่องทางร้องเรียน/แจ้งเหตุพร้อมมาตรการเยียวยาตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

4) ความจริงใจของฝ่ายตรงข้าม

Q14 อีกฝ่ายเคยรักษาข้อตกลงไหม

A: รัฐรับฟังข้อกังวลของประชาชน และได้วางระบบที่ “ตรวจสอบได้” มากกว่า “เชื่อใจ” โดยไทยจะยึดหลักฐานและข้อเท็จจริงเป็นหลักสำคัญ

Q15 กลไกการตรวจสอบและยืนยันการหยุดยิงคืออะไร

A: มีการบันทึกเหตุการณ์ในพื้นที่ การรายงานตามลำดับชั้น และการใช้ช่องทางคณะกรรมการ/กลไกที่ตกลงกัน เพื่อให้ตรวจสอบได้และยกระดับไปสู่การเจรจาเมื่อเกิดปัญหา

Q16 หากอีกฝ่ายทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ไทยจะรับมือหรือไม่

A: ไทยเตรียมการสื่อสารเชิงรุก ยืนยันข้อเท็จจริงด้วยหลักฐาน ภาพถ่าย พิกัด เวลา และการรายงานที่ตรวจสอบได้ พร้อมสื่อสารตามมาตรฐานสากลเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด

5) การเมืองและความโปร่งใส

Q17 การตัดสินใจที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของรัฐบาล - กองทัพร่วมกันหรือไม่

A: เป็นการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาลและการปฏิบัติของกองทัพ โดยมีเป้าหมายเดียว คือความปลอดภัยของประชาชนและการรักษาอธิปไตย

Q18 มีข้อตกลงลับหรือเงื่อนไขแฝงหรือไม่

A: หลักยึดของไทยคือความโปร่งใสเท่าที่ไม่กระทบความมั่นคง รายละเอียดที่เปิดเผยได้จะชี้แจงต่อสาธารณะ และยืนยันว่าไม่มีเงื่อนไขใดที่กระทบอธิปไตย

Q19 รัฐบาลจะชี้แจงกับประชาชนแค่ไหน

A: จะชี้แจงอย่างต่อเนื่อง “เท่าที่เปิดเผยได้” พร้อมเหตุผลเชิงนโยบายและข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนติดตาม ตรวจสอบ และมั่นใจได้

Q20 ใครเป็นผู้รับผิดชอบ หากเกิดผลเสีย

A: รัฐบาลรับผิดชอบทางนโยบายตามระบบ และจะประเมินผลเป็นระยะ พร้อมปรับมาตรการให้เหมาะสม โดยยึดผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก

6) บทบาทนานาชาติ

Q21 มีใครเป็นตัวกลาง หรือมีผู้ใดกดดันหรือไม่

A: ไทยยินดีต่อบทบาทสร้างสรรค์ของนานาชาติในกรอบที่เคารพอธิปไตยของไทย การมีบทบาทสนับสนุนสันติภาพเป็นเรื่องปกติ แต่ไทยไม่ยอมรับสิ่งใดที่กระทบสิทธิของประเทศ

Q22 ไทยได้อะไรตอบแทนในเวทีระหว่างประเทศ

A: ไทยได้ “ความน่าเชื่อถือ” จากการยุติการปะทะเพื่อคุ้มครองประชาชน และยืนยันแนวทางแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ซึ่งช่วยให้การสื่อสารในเวทีสากลมีน้ำหนักและลดการบิดเบือน

Q23 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบภาพลักษณ์ไทยอย่างไร

A: การยึดหลักมนุษยธรรม ความได้สัดส่วน และการเปิดทางทางการทูต ช่วยเสริมภาพลักษณ์ไทยว่ามีความ “เข้มแข็งแต่รับผิดชอบ” และปกป้องประชาชนเป็นลำดับแรก

7) ทิศทางหลัง 72 ชั่วโมง

Q24 หลังครบ 72 ชั่วโมง จะเกิดอะไรขึ้น

A: มีการประเมินสถานการณ์แบบยึดข้อเท็จจริง และกำหนดแนวทางต่อไป เช่น การขยายมาตรการการลดความตึงเครียด การปรับมาตรการคุ้มครองประชาชน หรือกลับสู่การปฏิบัติหากจำเป็น

Q25 หากการเจรจาล้มเหลว ไทยพร้อมกลับสู่การปฏิบัติหรือไม่

A: ไทยคงความพร้อมตลอดเวลา การหยุดยิงไม่ได้ทำให้เราลดความสามารถในการป้องกันประเทศหากมีภัยคุกคามหรือการละเมิด ไทยมีสิทธิและความพร้อมดำเนินการตามกรอบกฎหมายและหลักสากล

Q26 สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นการพักหรือจุดเริ่มต้นในการยุติความขัดแย้ง

A: เป็น “หน้าต่างโอกาส” เพื่อลดความตึงเครียดและให้การทูตทำงาน แต่การจะไปถึงสันติภาพที่ยั่งยืนได้ ต้องมีเงื่อนไขสำคัญ คือ การเคารพอธิปไตย ยุติการยั่วยุ และการมีกลไกที่ตรวจสอบได้

Q27 เส้นแดง (Red Line) ของไทยคืออะไร

A: เส้นแดง คือ การละเมิดอธิปไตย การคุกคามประชาชน และการใช้กำลังหรืออาวุธโจมตีเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางทหาร ไทยไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในพื้นที่ด้วยการยั่วยุหรือการแทรกซึม

หมายเหตุ จากผลการประชุม GBC เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2568 ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง อนุญาตให้พลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบกลับไปยัง ที่อยู่อาศัย และประกอบอาชีพตามปกติในพื้นที่ภายในฝั่งของตนเองโดยเร็วที่สุด โดยปราศจากการขัดขวาง มีความปลอดภัย
และมีศักดิ์ศรี ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ ทั้งสองฝ่าย วางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ไม่ปรากฏการยิง หรือการปฏิบัติที่เป็นการยั่วยุ สถานการณ์มีทิศทางที่ดีขึ้น

ดังนั้น ประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาให้ปฏิบัติตามแผนที่จังหวัดกำหนด และหากพบวัตถุระเบิดหรือวัตถุต้องสงสัยให้แจ้งผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น เจ้าพนักงานตำรวจ หน่วยความมั่นคงในพื้นที่ หรือแจ้งสายด่วนความมั่นคง กอ.รมน.1374 ได้ทันที หลังจากนี้ ให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการ

“หยุดยิงเพื่อคุ้มครองประชาชน แต่ไทยไม่หยุดปกป้องอธิปไตย”

“เรายึดหลักสันติวิธี ควบคู่ไปกับความพร้อมในการป้องกันประเทศตลอด 24 ชั่วโมง”

“ไทยให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริงและหลักฐาน ไม่ให้ใครใช้คำว่า มนุษยธรรมมาเป็นข้ออ้างละเมิดอธิปไตย”

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top