‘รังหนอนสีเทา’  สื่อตั้งฉายา‘สภาปี68’  ปธ.สว.‘หมงล้งบุรีรัมย์’

‘รังหนอนสีเทา’ สื่อตั้งฉายา‘สภาปี68’ ปธ.สว.‘หมงล้งบุรีรัมย์’

วันอังคาร ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สื่อสภาตั้งฉายาสภาปี 68 “รังหนอนสีเทา” ขณะที่สภาสูง “รังของหนู” ส่วน ประธานวุฒิฯ “หมงล้งบุรีรัมย์” ยกเหตุการณ์แห่งปี กรณีพรรคประชาชนโหวตเลือก “อนุทิน” เป็นนายกฯและส่งผลถึงเหตุยุบสภาต่อมา‘วาทะแห่งปี’ ยกให้คำกล่าวของ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ในวันโหวตให้ ‘อนุทิน’เป็นนายกฯที่ว่า‘เลือกให้เป็นนายกฯเพื่อยุบสภา’

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ร่วมกันตั้ง “ฉายาสภา” เป็นธรรมเนียมประจำทุกปี เพื่อสะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติทั้ง สส.และ สว. ตลอดปี 2568 ในฐานะที่ติดตามการทำหน้าที่ของ สส. และ สว. มาโดยตลอด ดังนี้


“สภาผู้แทนราษฎร” ได้รับฉายา “รังหนอนสีเทา” หากเปรียบสภาเป็นร่างกายที่เป็นตัวแทนของประชาชน ในปีนี้ถูกมองว่ามีการกัดกินผลประโยชน์ภายในร่างกายเราจนเน่าเฟะ สส. หลายคนถูกตั้งคำถามเรื่องจริยธรรมและการทำหน้าที่ที่ไม่ยึดโยงกับประโยชน์ส่วนรวม แต่กลับมุ่งเน้นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง เหมือนหนอนที่รุมชอนไชอยู่ภายในซากที่รอวันเสื่อมสลาย อีกทั้งที่ผ่านมาเรามักจะเห็นคำว่า “งูเห่า” เกิดขึ้นในสภา แต่ระยะหลัง สส.ที่ถูกมองเป็นงูเห่าไม่กล้าเผยตัว แต่ไปแฝงในพรรคการเมืองต่างๆ เปรียบเหมือนกับ “หนอน” ที่แฝงอยู่ในนั้น เพื่อเอื้อประโยชน์ในเชิงนโยบายหรือโครงการต่างๆ ร่วมกัน เป็นการทำธุรกิจการเมืองแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยแทบไม่มีคำว่าประชาชนอยู่ในสมการแม้แต่นิดเดียว

ส่วนคำว่า“สีเทา”สะท้อนถึงพฤติกรรมของนักการเมืองที่อยู่ในสภา ไม่มีใครขาวสะอาดอย่างแท้จริง เพราะปรากฎข่าวว่ามีส่วนพัวพันกับผลประโยชน์ทับซ้อนในระดับที่กฎหมายอาจเอื้อมไม่ถึง จนทำให้ภาพลักษณ์ของสภาในปีนี้ ถูกมองว่าไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ แต่มุ่งแสวงหาอำนาจให้กับตนเองและพวกพ้อง ดังนั้น “รังหนอนสีเทา” จึงหมายถึง สภาที่รวบรวมเหล่านักการเมืองที่ขาดความสง่างาม มุ่งเน้นการกัดกินงบประมาณและอำนาจผ่านการดีลผลประโยชน์ข้ามขั้วโดยไม่สนจุดยืนทางการเมืองและหน้าที่ของตนเอง

“วุฒิสภา” ได้รับฉายา “รังของหนู” วุฒิสภาเปรียบเสมือนที่รวมบุคคลต่างๆ ซึ่งมาจากหลายสาขาอาชีพ แต่พฤติกรรมของวุฒิสภากลับถูกมองว่าเป็นคนของผู้มีอำนาจ และอยู่ภายใต้พรรคการเมืองหนึ่ง เปรียบเหมือนหนูที่อยู่ในรัง ที่มีการจับกลุ่มกันจนถูกตั้งข้อครหาว่า “พวกมากลากไป” ใช้กลไก “จริยธรรม” เล่นงานเสียงข้างน้อยให้ไม่มีที่ยืน แม้รัฐบาล “นายกฯ หนู” จะอ้างว่าไม่สามารถสั่ง สว. ชุดนี้ได้ แต่เสียงข้างมากก็ยังไม่มีแตกแถว เดินหน้าโหวตองค์กรอิสระรัวๆ แม้จะมีข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อนหรือทำเพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งก็ไร้ความสะทกสะท้าน

นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้รับฉายา “หมงล้งบุรีรัมย์” “เฮียหมง” หรือ “เสี่ยหมง” ชื่อเล่นที่ภูมิใจของ “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดูจะมีความสุขและเชี่ยวชาญกับบทบาท “เถ้าแก่ล้งผลไม้” มากกว่าการเป็นประมุขสภาสูง ผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่จดจำมากที่สุดในปีที่ผ่านมา ไม่ใช่การขับเคลื่อนงานวุฒิสภา แต่คือการสวมบทบาทเถ้าแก่ล้งผลไม้พรีเซน “ทุเรียนน้ำแร่” ของดีบุรีรัมย์ และมังคุดเกรดเอระดับพรีเมียม อย่างน้ำไหลไฟดับ จนทำให้ยอดขายถล่มทลาย แต่พอไมค์จ่อปากถามถึงประเด็นร้อนทางการเมือง นายมงคลมักจะเกิดอาการ “โรคกลัวดอกพิกุลจะร่วง” ทันที ไม่ยอมพูดยอมจาพร้อมเอ่ยปากด้วยวลีเด็ด “ประธานต้องเป็นกลาง เขาไม่ให้พูด” ต่างจากตอนขายทุเรียนลิบลับ จนถูกมองว่าเป็นเสี่ยล้งผลไม้มากกว่าประมุขสภาสูง

“ดาวดับ”สื่อมวลชนประจำรัฐสภา มีความเห็นร่วมกันที่จะมีผู้ได้รับตำแหน่งนี้ 3 คนได้แก่ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา นายอลงกต วรกี สว.และนายเศรณี อนิลบล สว.เนื่องจากในกรณีของนายมงคลจะสอดคล้องกับฉายาประธานวุฒิสภาคือ“หมงล้งบุรีรัมย์”ที่ผลงานเด่นชัดไม่ใช่การทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา

ส่วนนายอลงกต ที่พยายามทำตัวเด่นไม่ว่าจะเป็นดรามาแกล้งร้องไห้ล้อเลียนเพื่อนสว.ด้วยกัน หรือให้สัมภาษณ์สื่อด้วยภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน รวมถึงท่าทางจีบปากจีบคอ แต่กลับทำให้บุคคลภายนอกมองว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับการเป็นสมาชิกวุฒิสภา

ขณะที่นายเศรณีก็ถือเป็นดาวดับอีกคนมีพฤติกรรมที่ถูกเผยแพร่ทางโซเชียลด่ากราดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณหน้าอาคารรัฐสภา หลังเจ้าหน้าที่ขอความร่วมมือให้เปิดกระจกเพื่อตรวจสอบรถเข้า-ออก อาคารรัฐสภาตามหน้าที่ปกติ แต่นายเศรณีกลับแสดงความไม่พอใจใช้ถ้อยคำต่อว่าหยาบคายอย่างรุนแรง รวมถึงชี้หน้าข่มขู่ แม้ภายหลังจะออกมาชี้แจงแล้วแต่ก็ไม่ได้ทำให้นายเศรณีดูดีขึ้น

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภายังเห็นควรให้ฉายาดาวดับกับนายธนกร ถาวรชินโชติ สว.ด้วยเนื่องจากถูกศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา ตัดสินจำคุก 4ปีในคดีลักทรัพย์ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์มูลค่ากว่า1.5ล้านบาท รวมถึงกรณีที่นายธนกรถูกอดีตสาวคนสนิทยื่นสอบจริยธรรมต่อคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ แม้ทั้งสองเหตุการณ์จะยังไม่มีการตัดสินจนถึงที่สุด แต่ในฐานะสมาชิกสภาสูงก็ไม่สมควรมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

“วาทะแห่งปี”ได้แก่“วันนี้เราไม่ได้เลือกคุณอนุทิน มาบริหารประเทศ เราเลือกคุณอนุทิน ชาญวีรกูล มายุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกัน”โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอภิปรายปิดท้ายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ คนที่ 32 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568

“เหตุการณ์แห่งปี”ได้แก่ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568พรรคประชาชนโหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่32 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัยให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนื่องจากฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากคลิปสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

ภายหลังจากนายอนุทินได้รับโหวตเป็นนายกฯทำให้เกิดเหตุการณ์ต่อมาคือในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 วาระพิจารณากำหนดร่างหลัก ในการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หลังจากที่ประชุมลงมติรับหลักการร่างของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนและคณะเสนอให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.)และร่างของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และคณะเสนอให้มี สสร.มาจากการเลือกตั้งบางส่วนและอีกส่วนหนึ่งมาจากการสรรหาเพื่อถ่วงดุลโดยที่ประชุมรัฐสภามีมติ 300 ต่อ 287 เสียง เห็นชอบให้ใช้ร่างของนายพริษฐ์ เป็นร่างหลักในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาการพิจารณากฎหมายต่างๆ ร่างของรัฐบาลมักจะชนะ แต่ครั้งนี้กลับเป็นร่างของพรรคฝ่ายค้านที่ชนะ

จนนำมาสู่อีกเหตุการณ์หนึ่งคือในวันที่ 11ธันวาคม 2568 ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 เกี่ยวกับการตัดอำนาจ สว.1ใน3ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคประชาชนต้องการให้ตัด แต่สว.ส่วนใหญ่คัดค้าน และดูเหมือนเสึยงส่วนใหญ่จะเห็นชอบไม่ให้ตัดอำนาจ สว.ออกทำให้นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แก้ปัญหาด้วยการลุกอภิปรายว่าหากไม่ตัดอำนาจ สว.1ใน3ออกนายอนุทินก็ควรยุบสภาไปเลย ทำให้นายอนุทินประกาศยุบสภาทันที โดยมีผลในวันที่ 12 ธันวาคม 1568โดยอ้างเหตุผลว่ายุบสภาตามที่นายณัฐพงษ์บอก และตามMOAว่าเลือกนายอนุทินมาเพื่อยุบสภาผู้แทนราษฎร

คู่กัดแห่งปี ได้แก่ คู่ของ สว.พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ และ สว.นันทนา นันทวโรภาส แม้จะเป็นสมาชิกวุฒิสภาด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็ถือว่าอยู่กันคนละขั้ว และในการประชุมวุฒิสภาทั้งคู่มักจะมีวิวาทะกันตลอด ไม่ว่า น.ส.นันทนาจะอภิปรายวาระอะไรนายพิสิษฐ์มักจะลุกขึ้นโต้แย้งด้วยเหตุผลในมุมของตนเองอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในวาระพิจารณาเลือกองค์กรอิสระต่างๆ ที่ น.ส.นันทนามักจะขอให้วุฒิสภาชะลอการลงมติไว้เนื่องจากวุฒิสภายังมีเอี่ยวในเรื่องคดีฮั้วสว.อยู่เกรงว่าอาจจะมีความไม่ชอบธรรมอยู่ตลอดเวลาแต่ถูกสว.พิสิษฐ์ ลุกขึ้นสวนกลับทุกครั้ง ถึงขั้นไล่ น.ส.นันทนาออกจากห้องประชุมและให้น.ส.นันทนาไปหาหมอเพราะเป็นห่วงว่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ขณะที่น.ส.นันทนาเมื่อออกมาให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวก็มักจะเหน็บแนมนายพิสิษฐ์เป็นประจำ

ทั้งนี้ปีนี้สื่อมวลชนประจำรัฐสภา มีมติงดตั้งฉายา“ประธานสภาผู้แทนราษฎร” “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร”และ“ดาวเด่น”เนื่องจากอยู่ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง จึงกังวลว่าหากตั้งฉายาไปแล้วอาจถูกนำไปโจมตีกันได้ หรือเสี่ยงต่อกฎหมายเลือกตั้ง เพราะเป็นการให้คุณให้โทษกับผู้ถูกพูดถึง หากบุคคลนั้นลงสมัครรับเลือกตั้ง

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top