นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตประธานรัฐสภา เป็นคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองบ่อยครั้ง ล่าสุด พูดถึงการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
แต่บรรดาคนประชาธิปัตย์ปัจจุบัน รวมถึงกองเชียร์ ออกจะเคืองใจเสียมาก
ในการให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ “แทบลอยด์ ไทยโพสต์” ปู่พิชัยได้ให้มุมมองการเมืองหลายประเด็น
น่าสนใจที่จะทำความเข้าใจ ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป
ขอสรุปบางประเด็นมาเล่าให้ฟัง ณ ที่นี้
1.นายพิชัยมองสถานการณ์ปัจจุบันของพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคนี้
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เขาเป็นเด็กดีมาก ผมรักเขาเหมือนหลานผมจริงๆ เขาเรียกผมว่าลุง คุณรู้ไหม อภิสิทธิ์มาช่วยพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่อายุ 14 ปี มาช่วยพรรคปิดโปสเตอร์ โดยนั่งรถกระบะ หิ้วถังกาว ทาใช้แป้งเปียกติดโปสเตอร์หาเสียง ตามฝาผนังตามที่ต่างๆ
ประชาธิปัตย์สมัยปี พ.ศ.2512 เราหาเสียง เรามีนโยบายอย่างเดียว ต่อต้านเผด็จการ ไม่ยอมรับเผด็จการ เพราะเราต่อต้าน จอมพลถนอม กิตติขจร พวกเราพูดอย่างเดียวเลยตอนนั้น คือ จะเข้าไปเป็น สส.เพื่อโค่น นโยบายมีแค่นั้น แต่เดี๋ยวนี้นโยบายต่อต้านเผด็จการแบบนั้น ประชาธิปัตย์ไม่มีแล้ว พรรคเพื่อไทยเอาไปหมดแล้ว เขามีทั้งนโยบายประชานิยม และต่อต้านเผด็จการ แต่วิธีการของเพื่อไทย เสื้อแดง อาจรุนแรงไปหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ขอวิจารณ์ สมัยก่อนเราหาเสียง เราก็พูดถึงนโยบายของเรา เราต่อต้านเผด็จการทหาร แล้วเราก็ชนะ เช่น ชัยชนะในสนามเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร-ธนบุรี แบบชนะทั้งหมด แต่ตอนหลังที่มันตกมา ก็เพราะการเปลี่ยนจุดยืนของพรรค แล้วก็เห็นว่าความอ่อนแอของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไม่ยึดถือนโยบายเดิมของพรรคที่ว่า ต่อต้านเผด็จการ คราวนี้ พลเอกประยุทธ์ หัวหน้า คสช.ทำรัฐประหาร ขอถามว่า คนของพรรคประชาธิปัตย์ มีใครออกมาให้ความเห็นอะไรบ้างหรือไม่ ก็ไม่มี แต่เพื่อไทยเขาออกมาให้ความเห็น ไปๆ มาๆ นโยบายหลักของพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นนโยบายหลักของคนอื่นไปแล้ว...ของเรากลับเฉยๆ เพราะเราอาจมีอะไรตุกติกกันหรือเปล่าผมก็ไม่รู้ อาจจะผ่านใคร หรืออาจจะผ่านโดยตรง เพราะอย่างตอนตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เขาอาจมีอะไรตุกติกกันผมไม่รู้ แต่ว่านั่นไม่ใช่ปรัชญาของประชาธิปัตย์ ปรัชญาของประชาธิปัตย์ ต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องประชาชน”
น่าเสียดาย นายพิชัยไม่แสดงความเห็นในรายละเอียดถึงยุทธวิธีที่พรรคเพื่อไทย และ นปช.ดำเนินการ
ตั้งแต่สมัยที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วยังเคลื่อนไหวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แต่เลือกที่จะพูดถึงเพื่อไทยด้านเดียว โดยอ้างว่าชูภาพต่อต้านเผด็จการ
นายพิชัยอาจจะลืม หรือแกล้งลืม เพื่อไทยต่อต้านเผด็จการด้วยอุดมการณ์โดยแท้จริงหรือ?
หรือเป็นเพราะรัฐบาลทหารไม่ยอมล้างผิดคนโกง ล้างผิดสุดซอย?
ข้อมูลที่นำมาใช้ปลุกระดมนั้น เป็นข้อมูลเท็จมากแค่ไหน มีวาระแอบแฝงผลประโยชน์ส่วนตนอย่างไร
หากกลับไปอ่านข่าวเก่า ลำดับเรื่อยๆ มา ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนเอง
2.นายพิชัยมองการต่อสู้ทางการเมือง และการเลือกตั้งในพื้นที่อีสานของพรรคประชาธิปัตย์
“..มีการแตกแยกกันภายในพรรค เพราะอย่างก็มีคนรุ่นใหม่ขึ้นมาล้วนแต่อวดเก่ง แต่ไม่นับอภิสิทธิ์ เพราะเขาเป็นคนเก่ง ซื่อสัตย์ แล้วผมก็อยากให้เขาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป แต่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาแล้วใช้ไม่ได้เลย จองหอง พอเป็น สส.แล้วอวดเก่ง ทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่คนดีๆ กลับไม่เอาเข้ามาใช้ อย่าง สุรินทร์ พิศสุวรรณ, ศุภชัย พานิชภักดิ์, คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์, ธารินทร์ นิมมานเหมินท์, อนันต์ อนันตกูล ก็ไม่เอา ทิ้งไปหมด พวกนี้เก่งๆ หายหมด ก็ไม่รักคนเก่า ไปเอาคนใหม่ๆ ขึ้นมา แล้วมาทำหน้าเจ๋ออยู่หน้าทีวี แล้วคนเก่าๆ ของพรรค อย่าง คุณชวน หลีกภัย ผมว่าเขาต้องเป็นหลัก รวมถึง บัญญัติ บรรทัดฐาน, ธารินทร์, สุรินทร์, ศุภชัย ต้องออกมาแนะนำอะไรให้มากๆ คนเก่าๆ ของพรรคหลายคน เขาต่อสู้เผด็จการ...
...จุดอ่อนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำให้แพ้พรรคเพื่อไทยมาตลอด ตั้งแต่ยุคไทยรักไทย-พลังประชาชนมาจนถึงเพื่อไทย ก็คือ การไม่มี สส.ในพื้นที่อีสานที่มากพอ จนทุกวันนี้พื้นที่อีสานกลายเป็นฐานสำคัญของเพื่อไทยที่ทำให้ชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง สมัยผม (พิชัย) เป็นหัวหน้าพรรค ปชป. พรรคเคยมี สส.อีสาน พอสมควร เคยได้ สส.อีสาน 39 คน แต่ช่วงหลังมาได้แค่ไม่กี่คน ได้ 1 คน ถามว่าทำไม ผมไม่ได้ใช้เงิน แต่ผมเอาใจสู้ ไปหาเสียงกับเขา อยู่กับเขา กินกับเขา
อย่างสกลนคร ใครเลยจะคาดคิดว่าประชาธิปัตย์จะมี สส.สกลนครได้ ตอนนั้นผมตั้งใจไปหา ประชา ตงศิริ อดีต สส.ของพรรค จอมพลถนอม กิตติขจร เขาขายรถจักรยานยนต์ที่สกลนคร กำลังจะเลิกเล่นการเมือง ผมรู้ข่าวก็รีบไปที่สกลนครทันที ไปขอคุยกับเขา จะให้ลงพรรคประชาธิปัตย์ แต่ปรากฏว่า คุยไปคุยมา ตอนที่นั่งคุย ภรรยาเขานั่งอยู่ด้วย คือ อนงค์ ตงศิริ ผมคุยอะไร ถามอะไรกับสามีเขา แต่คุณอนงค์แสดงความเห็นได้หมด ผมเปลี่ยนใจทันทีวันนั้นเลย บอกว่า ผมขอให้คุณอนงค์มาลงสมัคร สส.ประชาธิปัตย์ จากนั้นช่วงหาเสียง ผมก็ไปอยู่ที่สกลนคร 7 วัน ตอนนั้นผมก็ลง สส.กทม.อยู่ด้วย แต่ผมทิ้งพื้นที่ กทม.เขตเลือกตั้งผมเลย ให้คนอื่นช่วยดูให้ ไปช่วยเขาหาเสียงตั้งแต่เช้าถึงดึก ปรากฏเขาชนะเลือกตั้ง (เป็น สส.สกลนคร 3 สมัย)
หรือยกตัวอย่างที่ยโสธร พีรพันธุ์ พาลุสุข (อดีต สส.ยโสธรหลายสมัย) ลงเลือกตั้งครั้งแรก ในนามพรรค ปชป. ทางพรรคยกทีม สส.ไปช่วยหาเสียงให้เขา 30 คน หัวหน้าทีมคือ สุเทพ เทือกสุบรรณ พวกเราไปอยู่ยโสธร ทั้งหมดก็นอนตามวัดต่างๆ ในจังหวัด มีการแบ่งหน้าที่กัน อย่างพลเอกหาญ ลีนานนท์ ท่านขอทำหน้าที่ทำกับข้าว เขาตื่นมาตั้งแต่ตี 4 ออกไปซื้อของมาทำกับข้าว ผัดข้าวกินกันในจานสังกะสี โดยสุเทพตอนนั้นวางแผนการหาเสียงทั้งหมด ผมกับสุเทพ เราสู้ด้วยกันมา แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอีกแล้วที่จะสู้กันแบบนั้น สู้แบบนั้นมันกินใจคน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่แค่ไปช่วยแบบไปเช้าเย็นกลับ แต่ไปตอนเย็นเลย ปราศรัยเสร็จก็กลับเลย แล้วเราชนะเลือกตั้ง”
อันนี้ เป็นเกร็ดข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์การเมืองที่น่าสนใจ
3.นายพิชัยมองสนามต่อสู้ทางการเมืองยุคนี้ โดยเฉพาะมองการขับเคี่ยวกับพรรคเพื่อไทย
“พรรคต้องอย่าลืมเรื่องคนเก่าในพรรค อันนี้สำคัญ สอง ต้องมีนโยบายใหม่ เพราะทุกอย่างตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ หากพรรคไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์ของโลกและของบ้านเมือง พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางที่จะขึ้นได้ ที่ความนิยมพรรคไม่ค่อยดี ก็เพราะเราไม่มีนโยบายอะไรเลย ไม่มีนโยบายที่จะไปดึงดูด ไม่มีจริงๆ เมื่อก่อนมีดึงดูด คือ การต่อต้านเผด็จการ และอย่าลืมใช้คนเก่าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วก็หาคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วย
...อภิสิทธิ์ต้องเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป ผมมองไม่เห็นใคร เพราะอย่างสุรินทร์ ผมก็รู้มาว่าเขาไม่เอา ศุภชัยก็ไม่เอา การเป็นหัวหน้าพรรคมันต้องเหนื่อย ต้องไปหาคนตลอด อย่างสมัยผมเป็นหัวหน้าพรรค ประธานสาขาพรรคเล็กๆ เช่น ที่ขอนแก่น ไม่สบาย ผมก็ไปเยี่ยม แม้เขาไม่ได้เป็น สส. แต่เขามาช่วยพรรค จนประชาธิปัตย์เคยได้ สส.ที่ขอนแก่นมา 2 คน ถามว่าตอนเขาป่วย มีมนุษย์คนไหนไปเยี่ยมเขาบ้าง ไม่มี แต่ผมไป เราต้องมีน้ำใจ ต้องไม่ลืมคนของเรา ส่วนคนนอก ผมก็ไม่เห็นจะมีใครมา แล้วพรรคเขาจะเอาหรือไม่ ก็ไม่รู้”
4.นายพิชัยยังกล่าวถึงการสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ
“ต้องยอมรับความจริงว่าพลเอกประยุทธ์ที่เป็นนายกฯ 3 ปีกว่า เขาก็ทำงานได้ดี ต้องชมเชยเขา แต่เขาขาดนักการเมืองที่จะให้ความเห็นด้านการเมือง เขาขาดนักเศรษฐกิจที่จะให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจ ไม่เหมือนอย่างพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เพราะสมัยพลเอกเปรมมีนักการเมืองมาร่วมงาน 3-4 พรรค มีนักวิชาการเข้ามาช่วยงานหลายคน เช่น สมหมาย ฮุนตระกูล, สุธี สิงห์เสน่ห์, จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา หรืออดีตข้าราชการมาช่วยงานอย่าง พลเอกประจวบ สุนทรางกูร ทั้งหมดเพราะพลเอกเปรมรู้จักเลือกคน เอาคนเก่ง มือสะอาดมาช่วยงาน แล้วก็รู้จักรับฟังความเห็นคนจากฝ่ายต่างๆ ผ่านภาคธุรกิจเอกชน ที่ทำผ่านคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ส่งผลให้รัฐบาลพลเอกเปรมจึงมีทั้งนักการเมืองที่มาจากหลายพรรค โดยเฉพาะพรรคใหญ่ๆ ก็เกิดความปรองดองกันแล้ว อีกทั้งยังได้ ภาคราชการ นักวิชาการ เช่น จากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาช่วยงาน และได้ความร่วมมืออย่างดีจากภาคเอกชน แสดงให้เห็นว่าพลเอกเปรมรู้จักเลือกใช้คนเป็น พรรคใหญ่ๆ ก็มาทำงานอยู่กับพลเอกเปรม ก็ลองหลับตาดูว่ารูปแบบนี้มันจะแข็งขนาดไหน
...ผมเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ทำได้ แต่ว่าลำดับแรกต้องหาทางให้เกิดความปรองดองกันให้ได้ก่อน โดยเขาต้องไปตกลงกับ 4 พรรคการเมือง คือ เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติพัฒนา โดยเรียก 4 พรรคการเมืองนี้มาคุยกันก่อน แล้วบอกเขาไปว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นช่วงไหน พูดไปเลย แล้วเร่งให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว แล้วพลเอกประยุทธ์ก็ต้องคุยกับ 4 พรรคนี้ว่าช่วงเลือกตั้งอย่าทะเลาะกัน แล้วพลเอกประยุทธ์ก็บอกไปว่าพอเลือกตั้งเสร็จให้มาคุยกับผม ...นี่แหละคือรัฐบาลแห่งชาติ
...เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาก็ต้องยอมรับ แล้วเอาโควตาของแต่ละพรรคการเมืองมาหารว่า พรรค ก.ควรได้รัฐมนตรีกี่คน พรรค ข.ต้องได้ รมต.กี่คน มันก็จะกลายเป็นรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมาเลย โดยพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะยังไงพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ แน่ๆ เพราะเขามีแล้ว 250 เสียง ก่อนเลือกตั้งเขามี 250 เสียงในกระเป๋าแล้ว ประชาธิปัตย์มีศูนย์บาท เพื่อไทยมีศูนย์บาท พลเอกประยุทธ์มีในกระเป๋าก่อนแล้ว 250 บาท จะให้ใครเลี้ยงก็ต้องให้คนที่มี 250 บาทเลี้ยง คิดกันง่ายๆ แค่นี้”
นี่คือมุมมองของปู่พิชัย ในวัย 92 ปี
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี