เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 น.ส.สุนันทา หิรัญบำรุง อายุ 70 ปี เดินทางจากเขตภาษีเจริญมาตอบคำถาม 6 ข้อของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ป็นคนแรก ที่ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย
โดยน.ส.สุนันทา กล่าวว่า “...ตั้งใจมาตอบคำถามทั้ง 6 ข้อ รวมถึงคำถาม 4 ข้อก่อนหน้านี้ ที่กระทรวงมหาดไทย เพราะเป็นทางผ่านพอดีที่จะไปทำธุระส่วนตัว ซึ่งหลังจากอ่านคำถามทั้ง 6 ข้อแล้ว ก็มีความเข้าใจ และเข้าใจเจตนาของนายกฯที่ต้องการให้ประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็น เพื่อจะได้นำความเห็นทั้งหมดไปกำหนดแนวทางการบริหารประเทศ ส่วนที่คำถามบางข้อมีความคล้ายคลึงกับ 4 คำถามครั้งก่อนนั้น เห็นว่านายกฯ อยากจะสื่อสารในบางอย่างที่ประชาชนยังไม่เข้าใจ และคงอยากให้ประชาชนมีทางเลือกทางการเมืองมากขึ้น ส่วนตัวเห็นด้วยหาก คสช. จะสนับสนุนพรรคการเมือง เพราะประชาชนจะได้มีทางเลือกหลากหลาย ซึ่งถือเป็นสิทธิของนายกฯ และประชาชน ขณะเดียวกันอยากให้นายกฯ ลงสู่สนามเลือกตั้งเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน...”(ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์)
มี “ความไม่รู้” ข้อสำคัญอยู่ในประโยคสุดท้ายของ น.ส.สุนันทาครับ
1) คุณสุนันทาคงลืม “ความจริง” ประการสำคัญไปว่า “ลุงตู่” ลงสู่สนามเลือกตั้งไม่ได้แล้วครับ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า หากผู้ดำรงตำแหน่ง ไม่ว่าจะใน คสช. ครม. สนช. สปท. ต้องลาออกภายใน 90 วัน หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ พอเราไม่คิดจากข้อเท็จจริง เราจึงเสนอเอาตามที่ใจเรารักเราชอบเช่นนี้เอง ซึ่งก็ไม่ทราบว่า มีประชาชนอีกเท่าไรในบ้านเมืองของเรา เอา “ความไม่รู้” เป็น “ฐานคิด” ซึ่งมันทำให้เขาเกิด “จินตนาการ” ที่ผิดๆ และ “เป็นไปไม่ได้” เช่นนี้ เว้นเสียแต่ “ลุงตู่” จะใช้ ม.44 ให้ตัวเองลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ซึ่งท่านจะทำอย่างนั้นทำไม (ฮา..)
2) ส่วนประเด็นที่คุณสุนันทาเสนอว่า “คงอยากให้ประชาชนมีทางเลือกทางการเมืองมากขึ้น” มาคิดตอนนี้ มันสายไปไหมครับ ในเมื่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก ล็อกอะไรต่อมิอะไรเอาไว้หมดแล้ว ยกตัวอย่างเช่น อยากให้เกิดนักการเมืองหน้าใหม่ๆ และพรรคการเมืองใหม่ๆ แต่คุณไปดูสิครับ จะจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ได้ ต้องมีทุนประเดิม 1 ล้านบาท ต้องมีสาขาพรรคเท่าไหร่ ต้องอะไรยังไง มันไม่ได้ง่ายดายเลย สำหรับพรรคการเมืองใหม่ๆ และในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีแต่เขาจะลดจำนวนพรรคการเมืองลง แล้วส่งเสริมให้เกิดสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่เบื่อพรรคเก่าแล้วก็กดหัวมันไว้ให้จมดิน ด่าให้เสียหายไม่ต้องจำแนกแยกแยะ แล้วชี้นำในขณะที่ถืออำนาจว่า ควรต้องมีพรรคการเมืองใหม่ๆ นักการเมืองใหม่ๆ บ้างไหม โดยทำบริบทของคำถามให้นำไปสู่คำตอบว่า Yes! อย่างเดียว
3) บ้านเราเคยมีพรรคการเมืองใหม่ๆ ไหมครับ มีเยอะแยะเลยครับ จากพรรคชาติไทย มีแตกตัวออกมาเป็นชาติไทยพัฒนา แล้วเป็นไงครับ จากพรรคไทยรักไทย รองหัวหน้าพรรคโกงการเลือกตั้งหมายให้พรรคชนะ ถูกยุบพรรค เกิดใหม่เป็นพรรคพลังประชาชน รองหัวหน้าพรรคโกงการเลือกตั้งหวังให้พรรคชนะอีก เกิดใหม่ในชื่อพรรคเพื่อไทย มีนักการเมืองหน้าใหม่ ชื่อ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แล้วเป็นไง สดใสไหมละครับ หรือแม้แต่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ในที่สุดแกนนำก็ตั้งพรรค ชื่อ “พรรคการเมืองใหม่” เลยเชียวละ แล้วเป็นไงครับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ก็ตั้งพรรคใหม่ ได้ชูวิทย์เป็น สส. หน้าใหม่ แล้วเป็นไงครับ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ก็เคยเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเกิดใหม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ก็เสนอตัวเป็นนัการเมืองหน้าใหม่หลายครั้ง เหล่านี้คือ ความหวังใช่ไหมครับ
4) ที่สำคัญที่สุดคือ อะไรเป็นหลักประกันว่า นักการเมืองหน้าใหม่ พรรคการเมืองใหม่ๆ “ดีแน่นอน” และเป็น “ทางเลือกของประชาชน” แน่นอน นอกจาก “ความรู้สึก” ในเวลาที่เบื่อหน่ายนักการเมือง และด่านักการเมืองเหมารวมว่าเลวทรามเหมือนกันหมด เช่นนั้นแล้ว-ทำไมไม่เขียนรัฐธรรม ว่า ไม่ต้องมีนักการเมืองไปเสียเลยล่ะครับ หากลไกอื่นมาเป็น “ตัวแทนประชาชน” ให้ได้สิ จะได้ไม่ต้องมีนักการเมืองให้เบื่อหน่าย
5) ทำอย่างไรเราจะเพลาความคิดแบบ “เลวเหมาหมด” ความคิดแบบ “สุดโต่ง-สุดขั้ว” หรือ “แบ่งขั้ว-แบ่งข้าง” ลงได้บ้าง และคิดอะไรให้มันเป็นเหตุเป็นผลบ้าง เช่น รักลุงตู่เสียจนลุงตู่พูดอะไรก็ไม่ผิด ใครมาบอกว่าลุงตู่ผิดก็จะโกรธจะเกลียดทันที นี่คือ “ทางออก” ของประเทศ และเป็นความ “ยั่งยืน” ของประเทศแล้วใช่ไหม หรือที่จริงแล้ว เราควรสอนให้ประชาชนรู้จักแยกแยะ ว่าในทุกวงการมีทั้งคนดีและคนชั่ว ถามว่าในหมู่ทหาร ไม่มีเลยหรือครับที่ชั่วๆ ดีกันหมดถ้วนหน้า เหมือนที่นักการเมืองมันเลวกันหมดถ้วนหน้า จนต้องหา “หน้าใหม่” เข้ามา แล้วมันก็จะดีกันทุกคนเลยงั้นหรือ? นี่ถ้าเกิด พานทองแท้-พินทองทา ชินวัตร ลงสมัครรับเลือกตั้ง มิเป็น “ความหวัง” ของชาติบ้านเมืองกันทันดีดอกรึ?
6) อย่างคำถามข้อแรกของลุงตู่ ที่บอกว่า “วันนี้จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองใหม่ๆ หรือนักการเมืองหน้าใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ ให้ประชาชนได้พิจารณาในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่ การที่มีแต่พรรคการเมืองเดิม นักการเมืองหน้าเดิมๆ แล้วได้เป็นรัฐบาล จะทำให้ประเทศชาติเกิดการปฏิรูป และทำงานอย่างต่อเนื่องตามยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่” ลองดึงคำว่า “ใหม่ๆ” ออกสิครับ การชี้นำก็จะลดลง กลายเป็น “วันนี้จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่มีคุณภาพ ให้ประชาชนได้พิจารณาในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่” ซึ่งสร้างสรรค์กว่าเดิมเยอะเลย แต่ก็จะเหมือนกันตรงที่ว่า จะถามทำไม (วะ) ถามไอ้สิ่งที่ยังไงมันก็จริง หรือใช่ หรือ Yes เนี่ย ถามทำไม? เหมือนกับถามว่า ถ้าเราขี้ออกทุกวัน คล่องดี ไม่มีเสียไม่มีผูก จะดีไหมครับ มันจะตอบเป็นอย่างอื่นได้ไหม (ถามใจเธอดู 55)
7) ส่วนประโยคที่ว่า “การที่มีแต่พรรคการเมืองเดิม นักการเมืองหน้าเดิมๆ แล้วได้เป็นรัฐบาล” อันนี้จะเดือดร้อนกันทำไม ในเมื่อกลไกประชาธิปไตยทั่วโลกกำหนดว่า ประชาชนเลือกใครมาเป็นเสียงข้างมาก และจัดตั้งรัฐบาลได้ เขาก็ต้องทำหน้าที่เป็นรัฐบาลของประชาชนอยู่แล้ว จะเก่าจะใหม่ ขอให้ประชาชนเลือกเขาเถอะ แล้วเคารพการเลือกของประชาชนนะ มันอาจจะไม่ได้ดั่งใจเรา แต่มันถูกต้องตามกระบวนการที่ควรจะเป็น เราไม่อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปตามระบบที่ถูกต้องตามหลักการประชาธิปไตยกันแล้วหรือครับ เช่นนั้นแล้ว ให้ คสช. เปลี่ยนแปลงการปกครองให้เราเสียเลย ดีไหมครับ?
8) แล้วจะเดือดร้อนไปทำไม ในเมื่อบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ก็ให้อาวุธ “ลุงตู่” ไว้ ด้วยการให้ คสช. เป็นคนติ๊กถูกคนสุดท้าย ว่าจะให้ใครเป็น “สมาชิกวุฒิสภา” แถมให้สมาชิกวุฒิสภาไปร่วมโหวตนายกฯ หากหานายกฯ จากบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคเสนอไว้ไม่ได้ ก็ไปเอาคนนอกบัญชีมาเป็น ซึ่งอาจจะเป็น “ลุงตู่” ก็ได้ กีดกันนักการเมืองเก่าๆ ทิ้งไปได้ง่ายๆ อย่างนี้ยังไม่พอใจ จนถึงกับต้องมาตั้งคำถามชี้นำ ให้คนเขาเกลียดกลัวนักการเมืองเก่า พรรคการเมืองเก่า อย่างไม่กระมิดกระเมี้ยนเลยเชียวหรือ? ลุงตู่ควรนำพาประชาชนไปสู่ความมีเหตุมีผล สุขุม และพร้อมจะอยู่กับคนคิดต่างได้อย่างสงบไม่ใช่หรือ หรืออยากจะร่วมตอกย้ำความแตกแยกและเกลียดชังลงไปในหมู่ประชาชนใหม่ อย่าให้บ้านเมืองมันสงบเรียบร้อยเลย อย่างนั้นหรือเปล่าครับ ลุงตู่ครับ
9) ในขณะที่ลุงตู่อยากได้นักการเมืองหน้าใหม่ๆ ถามว่า แล้วไปกำหนดให้ทุกพรรคการเมืองต้องทำ “ไพรมารี่โหวต” ทำไม ไอ้ระบบไพรมารี่โหวตนี่ ถามหน่อยเถอะ นักการเมืองหน้าใหม่ที่ไหนมันจะไปสู้นักการเมืองเก่าที่เขามีฐานเสียงภายในพรรค ในหมู่สมาชิกพรรค จนสามารถเป็น “ผู้สมัคร” ของพรรคนั้นๆ ได้ แถมยังให้กรรมการบริหารพรรคเป็นผู้เลือกลำดับสุดท้าย ว่าจะเอาที่หนึ่งหรือที่สองจากการทำไพรมารี่โหวตลงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง หาก 2 ชื่อนั้น คนหนึ่งเก่า มีฐานเสียงอยู่แล้ว คนหนึ่งใหม่ ลุงคิดว่ากรรมการบริหารพรรคจะส่งคนไหนลงครับ? ในเมื่อผู้สมัครนั้น โคตรจะสำคัญกับพรรคการเมืองเลยนะครับ เพราะคณะร่างกฎหมายของลุงไปกำหนดให้การเลือกตั้งใช้บัตรใบเดียว “ผู้สมัคร” ของแต่ละพรรค จึงเป็นผู้ “โกยคะแนน” เข้าพรรคแต่เพียงเครื่องมือเดียว ในภาวะเช่นนั้น ถามว่าแต่ละพรรค อยากส่งคนเก่าที่มีฐานมวลชนสนับสนุนอยู่แน่นอนแล้ว (ซึ่งแม้จะแพ้ในเขต ก็ยังโกยคะแนนเข้าบัญชีรายชื่อของพรรคได้) หรือเสี่ยงเอาคนใหม่ลงสมัคร ลุงตอบผมหน่อยเถอะ
10) แถมการจะทำไพรมารี่โหวตได้ คนลงคะแนนต้องไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเสียก่อน จ่ายค่าสมัครด้วยนะ 100 บาท (หรือเท่าไรก็แล้วแต่) ถึงเวลา ต้องดั้นด้นไปยังจุดที่พรรคกำหนดให้เป็นที่ลงคะแนนอีกนะ (ใกล้ก็ต้องไป ไกลก็ต้องไป ค่าใช้จ่ายต้องออกเอง) จึงจะได้เลือกคนที่ตัวเองรักชอบเชียร์ เพื่อส่งผู้ที่ได้คะแนน 2 ลำดับแรก ไปให้กรรมการบริหารพรรคชี้ขาดอีกที โดยหลังจากประชาชนไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองแล้ว เขาจะถูกตัดสิทธิ ห้ามสมัครหรือห้ามดำรงตำแหน่งในบางตำแหน่งสำคัญๆ ทันที เช่น กรรมการองค์กรอิสระต่างๆ เผลอๆ ตำแหน่งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีก ต่อให้เขาไหวตัวทัน ลงคะแนนไพรมารี่แล้ว รีบไปลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ก็ต้องรออีก 5 ปีนะ กว่าจะไปสมัครเป็นกรรมการในองค์กรอิสระ หรือตำแหน่งอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติห้ามคนที่เคยเป้นสมาชิกพรรคการเมืองไม่เกิน 5 ปี สมัครได้ เช่นนี้ ประชาชนคนไหนจะรี่ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองครับ นอกจาก “หัวคะแนน” สภาพเช่นนี้ เอื้อให้เกิดนักการเมืองหน้าใหม่ไหมครับ ลุงตู่ครับ
11) ยิ่งถ้าคุณเป็นข้าราชการ การไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่แน่ว่าจะทำได้ หรือทำแล้วจะไม่เป็นพิษภัยกับตัวเอง เพราะหากพรรคที่มาเป็นรัฐบาล มีดำนาจอยู่ รู้ว่าคุณเป็นสมาชิกพรรคฝ่ายตรงข้าม คุณคิดว่าอนาคตข้าราชการของคุณจะสดใสหรือไร้เงาหัว ตอบมา
12) ยิ่งถ้าเป็น “ไพรมารี่โหวต ระบบปาร์ตี้ลิสต์” ด้วยละก็ คุณเอ๊ย... ถ้าคุณไม่ “ดังพอ” หรือ “เก่าพอ” ที่สมาชิกพรรคจะรู้จักคุณ คุณก็ไปต่ออันดับท้ายๆ โน่นแหละ ไม่มีทางได้เป็นหรอก นักการเมืองหน้าใหม่อย่างที่ลุงตู่อยากให้เป็นน่ะ และระบบอย่างนี้ บอกเลยว่า คุณจะได้ “คนดัง” มากกว่า “คนดี” ส่วนคนดังที่ดีก็ละเอาไว้ แต่คนดีที่ไม่ดังจะฝ่าฟันเข้าไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของปาร์ตี้ลิสต์อย่างไร ลองตอบผมซิ
ไม่ผิดหรอกนะ ที่เมื่อผิดหวังกับคนเก่าๆ ก็อยากได้คนใหม่ๆ แต่อยากให้อยู่กับโลกของความเป็นจริงว่า ในเวลาที่ลุงตู่ไปเอากลไกมหาดไทย ที่ต้องคอยทำธุระรับตอบคำถามแบบนี้ให้ โดยมีคำถามข้อหนึ่งมุ่งชี้นำคนให้เลือกนักการมืองใหม่ๆ พรรคการเมืองใหม่ๆ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่า คสช. จะตั้งมาให้เลือกในอนาคตด้วยหรือไม่) แต่กลไกอื่น เช่น การทำไพรมารี่โหวต มันแสนจะสกัดนักการเมืองหน้าใหม่ และกติการการจดทะเบียนตั้งพรรค ก็ไม่ได้สนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ๆ เท่าที่ควรแล้วไซร้ สู้เอากลไกมหาดไทยไปรับทราบปัญหาของประชาชน แล้วเอากลับมาแก้ไขกัน ไม่ดีกว่ารึ?
หรือเปลี่ยนเป็นถามว่า อยากให้ปรับรัฐมนตรีคนไหนออกบ้าง เพราะเหตุใด, อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาเร่งด่วนอะไรบ้าง, การปฏิรูปเรื่องใด ที่ประชาชนอยากเห็นและยังไม่ได้เห็น และการเขียนยุทธศาสตร์ชาติ ประชาชนอยากมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ หรือให้ คสช. เขียนกันไปตามชอบ อย่างนี้ จะเกิดประโยชน์ต่อการทำงานของรัฐบาลมากกว่าคำถามที่ถามมาไหม ซึ่งดูมาดูไป แค่ข้อ 1 ก็แย่แล้วครับ!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี