เมื่อวานนี้ ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดี อ.4176/2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในความผิดฐานหมิ่นประมาท
สืบเนื่องจากกรณีนายจตุพรขึ้นเวทีชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม และ 17 ตุลาคม 2552 ปราศรัยโจมตี ใส่ร้ายป้ายสีนายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่าประวิงเวลาในการทำความเห็นเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ทักษิณ และกล่าวหานายอภิสิทธิ์ในทำนองสั่งฆ่าประชาชนระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
คดีนี้ ศาลอาญาได้พิพากษาให้จำคุกนายจตุพร รวม 2 กระทง กระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี ไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาพิพากษาว่า จำเลยปราศรัยหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ เพื่อให้ประชาชนออกมาขับไล่โจทก์ในฐานะรัฐบาล เป็นการหมิ่นประมาทตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอลงอาญานั้น พิจารณาเเล้วเห็นว่าถ้อยคำของจำเลยไม่เป็นการสมควร หมิ่นเหม่กระทบสถาบัน ไม่มีเหตุรอการลงโทษ เเต่ทางนำสืบของจำเลยในชั้นฎีกายอมรับว่าปราศรัยถ้อยคำดังกล่าวจริงที่ศาลล่างพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นควรลดโทษ พิพากษาเเก้จำคุกกระทงละ 6 เดือน 2 กระทง รวม 12 เดือน นอกจากที่เเก้ให้เป็นไปตามชั้นต้น
1. ขณะนี้ นายจตุพร อยู่ระหว่างรับโทษตามคำพิพากษาฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1962/2552 ที่หมิ่นประมาทใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ในอีกกรณี เพราะฉะนั้น ก็จะต้องรับโทษต่อไปอีกจากคดีเดิม
2. นี่คือผลกรรมจากการกระทำของนายจตุพรเอง
เป็นการดำเนินคดีตามกฎหมายบ้านเมืองปกติ
และยังมีคดีอีกหลายคดีที่รออยู่
หากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมที่ผ่านมา กี่เรื่องล่ะ ที่นายจตุพรพูดจาคะนองปาก เป็นตุเป็นตะ ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น มุ่งให้เกิดความเคียดแค้นชิงชัง เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
ตั้งแต่ช่วงปี 2552 เรื่อยมา ได้ขึ้นเวทีปราศรัยต่อประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงสำคัญนำไปสู่การปลุกปั่นปลุกระดม ชี้นำ ยุยง หรือสั่งการให้ประชาชนกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองหลายกรณี
มีการใช้คลิปตัดต่อเสียงของนายกฯ อภิสิทธิ์ นำมาใส่ร้ายกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีสั่งการให้ฆ่าประชาชน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจสอบพิสูจน์แล้ว ยืนยันตรงกันว่า คลิปเสียงดังกล่าวเป็นการตัดต่อเสียงของนายกฯที่พูดต่างกรรมต่างวาระ ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ถูกตัดมาปะติดปะต่อกันใหม่ สื่อความหมายผิดๆแต่นายจตุพรก็ยังไม่ยุติการบิดเบือน นำหลักฐานเท็จมาใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่นสร้างความแตกแยกในสังคม และนำไปเปิดในที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง ก่อให้เกิดเข้าใจผิด นำไปสู่ความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อผู้นำประเทศและรัฐบาล บนฐานข้อมูลเท็จที่เผยแพร่ไป
ใส่ร้ายว่า อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์เข้าเฝ้าฯ โดยนั่งเก้าอี้ระดับเดียวกับในหลวง เป็นการจาบจ้วง ไม่บังควร ปลุกระดมให้ประชาชนเคียดแค้นชิงชัง แต่มาถึงยุคนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็มีการเข้าเฝ้าฯ
ในแบบเดียวกันเป็นปกติ (นายกฯ คนอื่นๆ ก็เหมือนกันทุกคน) ฯลฯ
โกหกว่าทหารฆ่าประชาชนในเหตุการณ์เมษายน 2552
โกหกว่านายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่ในรถที่คนเสื้อแดงรุมทำร้ายในกระทรวงมหาดไทย เมษายน 2552
โกหกว่ารัฐบาลแทรกแซงคดียึดทรัพย์ และขัดขวางขั้นตอนการพิจารณาฎีกาของทักษิณ ชินวัตร
โกหกว่ารัฐบาลมีแผนลับสั่งฆ่าประชาชน
โกหกเรื่องชู้สาวของบุคคลระดับสูงกับคนในรัฐบาล, เรื่องทางการกัมพูชามีเทปลับของคนในรัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่การทูตของไทย, เรื่องนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ เสียชีวิตในเหตุการณ์ 7 ต.ค.2551 เพราะหนีบระเบิดมาร่วมชุมนุมพันธมิตร, เรื่องรัฐบาลสนับสนุนเงิน 300 ล้านบาท ให้สถานีโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษ TAN (Thai-Asian News Network) ฯลฯ
ยิ่งกว่านั้น ยังบังอาจปราศรัยกล่าวหาว่า มีการใช้กระสุนปืนเข่นฆ่าประชาชน โดยกระสุนเหล่านั้นสั่งการมาจากสถาบันที่อยู่นอกเหนือการเมือง
รวมไปถึงการปราศรัยปลุกระดม ชี้นำ ยุยง ปลุกปั่น ไม่ว่าจะเป็น การข่มขู่รัฐบาลว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง การจลาจล การเผาบ้านเผาเมือง หรือแม้แต่การสั่งการให้คนเสื้อแดงในต่างจังหวัดไปรวมที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อกระทำการบางอย่างทันทีหากเกิดเหตุที่กรุงเทพฯ และในที่สุด ก็เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัด
3. ที่น่าฉงน คือ นายจตุพรลงทุนลงแรงขนาดนี้ แต่กลับไม่ได้ดิบได้ดี ไม่เคยได้เป็นรัฐมนตรี
ไม่เหมือนเพื่อนคู่หูอย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เจ้าของคำปราศรัย “ถ้าพวกคุณยึดอำนาจ พวกผมเผาทั่วประเทศ เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง แล้วใครจะจับใครจะอะไรมาเอากับผม ถ้าคุณยึดอำนาจ เผา”
นายณัฐวุฒิได้เป็นอำมาตย์ ขึ้นชั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
ขณะที่นายจตุพร ได้เป็นแค่ สส. แถมถูกตั้งแง่ หลุดโผรัฐมนตรีทุกครั้ง
นายณัฐวุฒิแจ้ง ป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สิน 32 ล้านบาท (พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ครบ 1 ปี)
หรืออย่างนางระพิพรรณ พงศ์เรืองรอง เมียอริสมันต์ ก็แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 49 ล้านบาท
ขณะที่ นายจตุพร แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 7,999,338.10 บาท
น้อยกว่าแกนนำคนอื่นๆ ที่ตอนนี้ไม่ได้ติดคุกเหมือนจตุพรด้วย
ถ้าจะเห็นใจนายจตุพร น้อยใจแทนจตุพรอยู่บ้าง มันก็ตรงนี้แหละ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี