ต่อตระกูล: สวัสดีปีใหม่ 2561 ผู้อ่านทุกท่านครับ ไม่น่าเชื่อว่ามาถึงวันนี้บทความต่อตระกูล-ต่อภัสสร์ ต่อต้านคอร์รัปชันเราจะอยู่ยืนยาวต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่สามแล้ว เราเขียนบทความกันมากว่า 143 ตอนเพื่อรายงานความคืบหน้างานต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย นำเสนอความรู้ใหม่ๆ ทั้งจากในและนอกประเทศที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในไทยได้ และถกเถียงกันในเรื่องที่เราสองพ่อลูกมีความเห็นต่าง หวังว่าบทความสั้นๆบนพื้นที่หน้าหนังสือพิมพ์เล็กๆนี้คงจะมีโอกาสได้จุดประกายความสนใจส่วนใดส่วนหนึ่งของประเด็นการต่อต้านคอร์รัปชันของท่านผู้อ่านได้บ้างนะครับ
ต่อภัสสร์: ตลอดเกือบสามปีที่ผ่านมา มีท่านผู้อ่านและผู้สนใจถามผมบ่อยๆว่าใครเป็นคนเขียนบทความนี้กันแน่ และที่เป็นบทสนทนากันแบบนี้ ได้คุยกันจริงไหม ผมขอตอบด้วยความสัตย์ว่าบทความเหล่านี้มีที่มาจากการพูดคุยและถกเถียงกันจริงครับ หลายครั้งที่เราเห็นไม่ตรงกัน เราก็เลือกที่จะเขียนความเห็นของแต่ละฝ่าย และขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณตัดสินเองเสียเลย
ต่อตระกูล: ดังนั้นในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้ เราจึงจะขอย้อนอดีตประเด็นคอร์รัปชันที่คนไทยยังต้องเฝ้าจับตาตามความเห็นขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ที่เราเคยหยิบยกมาพูดถึงในบทความนี้ ได้แก่ คดีสินบนโรลส์-รอยซ์, การปฏิรูปตำรวจ, และกฎหมายต้านโกงใหม่ๆ
กรณีแรก สินบนโรลส์-รอยซ์ โด่งดังมากเมื่อต้นปีนี้ที่ศาลอังกฤษได้เปิดโปงการทุจริตจัดซื้อเครื่องยนต์เครื่องบินสายการบินไทยในอดีต ว่าบริษัทโรลส์-รอยซ์ได้จ่ายสินบนรวมกว่า 1,300 ล้านบาท ให้แก่เจ้าหน้าที่บริษัทการบินไทยและนักการเมืองระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงของรัฐบาลไทยในปีพ.ศ.2547 เพื่อแลกกับการคำสั่งซื้อเครื่องยนต์ 3 ลอตมูลค่ามหาศาล นี่จึงทำให้ศาลอังกฤษพิพากษาปรับ บริษัทโรลส์-รอยซ์ เป็นเงิน 3 หมื่นล้านบาทในข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับการทุจริต อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการดำเนินคดีกับคนโกงในฝั่งไทยเลย
เรื่องนี้นำไปสู่ข้อเสนอแนะของเราในเรื่องการผลักดันให้มีกฎหมายคุ้มครองพยานที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มหลักฐานมาเอาผิดคนโกงตามกฎหมายให้ได้ และการใช้กฎหมายการเปิดเผยทรัพย์สินเพื่อเอาผิดคนที่ร่ำรวยผิดปกติอย่างไม่สามารถอธิบายที่มาของเงินได้ในกรณีที่พยานหลักฐานไม่เพียงพอกับการเอาผิดในกรณีนั้นๆได้ เพราะหากไม่มีการพัฒนาทางใดทางหนึ่งแล้ว คงได้เห็นกรณีแบบนี้ให้คนไทยได้เจ็บใจกันอีกแน่ๆ
ต่อภัสสร์: ประเด็นที่สองคือ การปฏิรูปตำรวจ เราได้ยกผลสำรวจทัศนคติของประชาชนต่อหน่วยงานต่างๆ ในการปราบปรามคอร์รัปชันในปี 2557 โดยศาสตราจารย์ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ว่าตำรวจอยู่ในกลุ่มที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด ต่ำพอ ๆ กับนักการเมืองเลยทีเดียว เราตั้งคำถามว่า ในเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเงินเดือนน้อยมาก เมื่อเทียบกับภารกิจ และความเสี่ยงชีวิต แต่เหตุใดจึงมีคนอยากมาเป็นตำรวจกันมาก เพียงเพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีเพียงเท่านั้นจริงหรือ และตอบคำถามนี้ด้วยข่าวกรณีทุจริตการสอบเข้าโรงเรียนนายสิบตำรวจของตำรวจนครบาล ที่มีผู้เข้าสอบบางคนยอมลงทุนจ่ายเงินถึงคนละ 500,000บาท ให้คนมาช่วยทำข้อสอบให้ เพื่อให้ได้คะแนนสูงผ่านเข้าไปเป็นตำรวจได้ได้ เมื่อมองผ่านกรอบทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จะวิเคราะห์ได้ว่าผลประโยชน์ของการได้เข้าเป็นตำรวจนั้นจะต้องเหนือกว่าเงินจำนวนนี้มาก ผู้สอบถึงยอมทั้งจ่ายเงินและเสี่ยงโทษเพื่อโกงเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ในฐานะประชาชนคนไทย เรามีความเห็นว่าการปฏิรูปตำรวจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าทำได้ปัญหาชั่วร้ายต่างๆ ในประเทศจะมีทางแก้ไขได้ เพราะตำรวจมีส่วนสำคัญในการปฏิรูปเรื่องอื่นๆ ต่อไปเกือบทุกอย่าง รวมทั้งการปฏิรูปการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันด้วย ประชาชนอย่างพวกเราจึงควรเรียกร้องให้รัฐบาลใช้อำนาจเด็ดขาดปฏิรูปตำรวจอย่างเร่งด่วน
ต่อตระกูล: ประเด็นสุดท้ายคือ กฎหมายต้านโกงใหม่ ๆ ทีในรอบปีที่ผ่านเริ่มมีผลบังคับใช้หลายฉบับ เช่น พ.ร.บ. อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 ซึ่งบังคับให้ทุกหน่วยราชการที่มีการออกใบอนุญาตต่างๆ ต้องประกาศขั้นตอนและระยะเวลาที่ใช้ในการออกใบอนุญาตให้ประชาชนรับทราบ และกฎหมายอีกฉบับก็คือ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งจะมาใช้แทนระเบียบสำนักนายกฯ ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้อำนาจที่คณะรัฐมนตรีสามารถประกาศงดเว้นการบังคับใช้บางกรณี แล้วเขียนระเบียบขึ้นมาใหม่เองสำหรับการจัดซื้อจัดจ้างบางโครงการได้ง่ายดาย
ที่สำคัญสำหรับประเด็นนี้ในปีที่ผ่านมา นอกจากบทความเราจะอธิบายกฎหมายต้านโกงใหม่ๆ ของประเทศไทย เรายังให้ความสนใจในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วแต่ย่อหย่อนในทางปฏิบัติ เราได้เขียนทักท้วง ไว้ในบทความหลายตอน เช่น “10 ปีเส้นทางคดีผู้ว่า ททท.”, “สินบนโรลส์-รอยซ์ จะเงียบหายเหมือน CTX ?” และ “ได้เวลาปฏิรูปตำรวจหรือยัง” อีกมุมหนึ่งในด้านดีเราก็ชื่นชม เช่นบทความเรื่อง “ฤทธิ์เดช พ.ร.บ.ฮั้ว ในคดีทุจริตข้าว” และ “เทรนด์ใหม่ งดของขวัญในหน่วยราชการ”
น่าสังเกตว่ากฎหมายหลาย ๆ ฉบับที่มีผลบังคับใช้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ. ฮั้ว ก็ดี หรือ มติคณะรัฐมนตรีเรื่องการงดรับของขวัญของหน่วยงานราชการก็ดี เพิ่งจะมามีผลบังคับใช้และมีคำสั่งจริงอย่างแพร่หลายในปีนี้เอง ลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่มี ไม่ว่าจะบัญญัติบทลงโทษไว้รุนแรงเพียงใด หากขาดประชาชนที่ตื่นรู้ พร้อมจะสู้โกงร่วมกับกลุ่มบริษัทเอกชนที่รับไม่ได้กับการถูกรีดไถของเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองขี้โกงแล้ว ร่วมกันกดดันและผลักดันให้รัฐบาลผู้บริหารประเทศหันมาเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน กฎหมายนั้นก็เป็นเพียงแค่ข้อความในกระดาษเท่านั้น
ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2561 นี้ ผมและต่อภัสสร์ขอผลแห่งคุณธรรมใดที่ท่านยึดถือ จงอำนวยให้ท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ มีพลังกายและกำลังใจที่ดีในการสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคมต่อไปนะครับ ส่วนเราทั้งสองต่อก็ยังจะต่อต้านโกงอยู่เคียงข้างทุกท่านต่อไปนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี