ต่อตระกูล : เมื่อปลายปีที่แล้ว ต่อภัสสร์ได้รายงานเรื่องการเปิดตัวศูนย์วิจัยคอร์รัปชันแนวใหม่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชื่อศูนย์ SIAM lab ซึ่งย่อมาจาก Social Integrity Architecture and Mechanism design หรือภาษาไทยคือ ศูนย์ทดลองการออกแบบสถาปัตยกรรมและกลไกสร้างสำนึกต่อสังคม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.)และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เกริ่นสั้นๆ ว่า ในงานเปิดตัวศูนย์เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2560 ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯนั้น มีการเชิญวิทยากรจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศมาเล่าประสบการณ์และความเห็นต่อการทำงานวิจัยเรื่องคอร์รัปชันในประเทศไทย
เล่าสรุปให้ฟังหน่อยได้ไหมว่า วิทยากรผู้นี้ เป็นใคร มาจากไหน และเขาให้ความเห็นอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยบ้าง
ต่อภัสสร์: ได้เลยครับ วิทยากรที่ SIAM lab เชิญมาบรรยายพิเศษเรื่องแนวทางการวิจัยคอร์รัปชันในงานเปิดตัวศูนย์ นั้น คือศาสตราจารย์แมทธิว สตีเฟนสัน จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อาจารย์ผู้นี้มีมุมมองเรื่องงานวิจัยคอร์รัปชันที่กว้างและครอบคลุมมาก เพราะถึงแม้เขาจะสอนอยู่คณะนิติศาสตร์ แต่เขาจบปริญญาเอกด้านรัฐศาสตร์ด้วย จึงทำให้มีมุมมองที่กว้างกว่ากรอบความคิดทางกฎหมายเท่านั้น งานวิจัยของเขาที่ผ่านมา เน้นไปทางด้านการใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองมาวิเคราะห์กฎหมายต่างๆ รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตด้วย
ที่น่าสนใจมากคือ วิชาหนึ่งที่เขาเปิดสอนที่ฮาร์วาร์ดซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษามากคือ Global Anti-Corruption Lab หรือห้องทดลองต่อต้านการคอร์รัปชันทั่วโลก โดยเขาจะให้นักศึกษาไปศึกษางานเขียนและโครงการต้านโกงทั่วโลก แล้วนำมาวิเคราะห์ถกเถียงกับเพื่อนร่วมชั้น และสุดท้ายให้ผลิตผลงานมาเป็นบทความ วิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางการต่อต้านคอร์รัปชันใหม่ๆ เพื่อนำไปลงใน Global Anti-Corruption Blog สิ่งนี้ทำให้ Blog นี้มีผลงานเขียนใหม่ๆ ที่น่าสนใจออกมาเป็นประจำ มีผู้อ่านอยู่ทั่วโลก ในประเทศไทยเองก็มีผู้ติดตามอยู่หลายคน
จากการศึกษาเรื่องคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ผนวกกับข้อมูลที่กว้างขวางที่เขาได้รับจากนักศึกษาในวิชา Global Anti-Corruption Lab นี้เอง จึงทำให้ศาสตราจารย์สตีเฟนสันสามารถวิเคราะห์แนวทางการศึกษาวิจัยเรื่องคอร์รัปชันที่จะเป็นประโยชน์จริงในทางปฏิบัติ ซึ่งในการบรรยายในวันนั้นเขาสรุปสิ่งที่ไม่ควรทำและสิ่งที่ควรทำในการวิจัยเรื่องคอร์รัปชันได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
สิ่งที่นักวิจัยไม่ควรทำ 5 ข้อ หนึ่ง เลิกศึกษาความหมายของการคอร์รัปชันได้แล้ว ศาสตราจารย์สตีเฟนสันบอกว่าแม้การศึกษาเรื่องความหมายของคำว่า “คอร์รัปชัน”นั้นจะมีประโยชน์ แต่ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นของมัน เริ่มจะน้อยลงเรื่อยๆ จากที่ผ่านมามีงานวิจัยลักษณะนี้เป็นจำนวนมากแล้ว มีทั้งการนำเสนอความหมายอย่างกว้างและแคบของคอร์รัปชัน ความหมายในมุมมองต่างๆ และความหมายผ่านหลายกรอบทฤษฎี เรียกว่าศึกษากันครบเกือบทุกแง่มุมแล้ว ดังนั้นการทุ่มเทเวลาและทรัพยากรในการศึกษาความหมายเพิ่มเติมไปอีก จึงอาจไม่คุ้มค่ากับประโยชน์อันน้อยนิดที่จะเกิดขึ้น
สอง หยุดสร้างดัชนีชี้วัดอัตราการคอร์รัปชันใหม่ๆ กันเถอะ เพราะปัจจุบันโลกเรามีดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชันอยู่มากมาย ทั้งวัดทางตรง วัดทางอ้อม วัดภาพลักษณ์ผ่านมุมมองคน และวัดข้อมูลเชิงประจักษ์ผ่านประสบการณ์จริง เช่น ในระดับนานาชาติมีดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน (Corruption Perception Index: CPI) และดัชนี้วัดอัตราคอร์รัปชันโลก (Global Corruption Barometer: GBC) ที่จัดทำและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency Internationl: TI), ดัชนีธรรมาภิบาลทั่วโลก (Worldwide Governance Index: WGI) โดยธนาคารโลก (World Bank) หรือ ในระดับชาติของไทยก็มีดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชัน(Corruption Situation Index: CSI) ที่วัดผลโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และดัชนีวัดความโปร่งใสของหน่วยงานภาครัฐ โดยสำนักงาน ป.ป.ช. ดังนั้น เช่นเดียวกับการวิจัยความหมายของการคอร์รัปชันที่มีอยู่มากแล้ว การวิจัยเพิ่มในเรื่องนี้อาจไม่คุ้มค่ากับเวลาและทรัพยากรที่ต้องใช้ไป
สาม พอแล้วกับการใช้หลักสถิติหาความเชื่อมโยงระหว่างอัตราการคอร์รัปชันกับผลทางสังคมและเศรษฐกิจโดยใช้การเปรียบเทียบระหว่างประเทศต่างๆ ในข้อนี้ศาสตราจารย์สตีเฟนสัน อธิบายข้อจำกัดของการวิจัยประเภทนี้ไว้อย่างละเอียดในเชิงเทคนิค ซึ่งผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดนั้นเพื่อไม่ให้ผู้อ่านเบื่อเสียก่อน โดยคร่าวๆคือ ถึงจะหาความเชื่อมโยงกันได้ว่าคอร์รัปชันทำให้สังคมหรือเศรษฐกิจแย่ลง แต่จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรเกิดก่อนกันแน่ อาจจะเพราะเศรษฐกิจแย่ คนจนมาก จึงเกิดการโกงก็ได้ ดังนั้นที่สำคัญซึ่งเรารู้อยู่แล้วคือ คอร์รัปชันไม่ทำให้เกิดผลดีแน่ๆ ดังนั้นมาหาทางออกกันดีกว่า
สี่ สืบเนื่องจากข้อสาม เลิกพิสูจน์ได้แล้วว่าคอร์รัปชันมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาการของประเทศอย่างไร เหตุผลของศาสตราจารย์สตีเฟนสันก็เหมือนกับข้างต้นว่า เป็นสิ่งที่หาลำดับเหตุและผลกันได้ยาก ไม่คุ้มค่าการลงทุนทำวิจัย แต่ผมจะขอเสริมว่าเห็นด้วย เพราะในอดีต วงการวิชาการเคยโต้เถียงกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคอร์รัปชันกับการพัฒนามาเป็นเวลานานมาก นานมาแล้วเคยมีนักวิชาการบอกว่าคอร์รัปชันอาจจะเป็นประโยชน์ ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนดี เหมือนเป็นการหยอดน้ำมันหล่อลื่นก็ได้ แต่ในที่สุดตั้งแต่ทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา แนวความคิดแบบนี้ก็ถูกลบล้างไปด้วยผลการศึกษาจากสภาวการณ์จริงทั่วโลกว่าคอร์รัปชันนำพามาแต่ความสูญเสีย จนไม่มีใครเสนอแนวคิดล้าหลังแบบนั้นอีกแล้ว จึงไม่เห็นความคุ้มค่าของการลงทุนลงแรงวิจัยเพื่อขุดคุ้ยเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก
ข้อสุดท้าย ให้เพลาๆ กับการทำวิจัยในห้องทดลองแบบระบบปิดเสียบ้าง ความหมายคือ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีแนวทางการวิจัยด้วยการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในห้องทดลอง เช่น ลองปิดไฟ เปิดไฟ ใส่เสียงในห้องแล้วดูว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นมีพฤติกรรมตอบสนองต่อปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นอย่างไร ศาสตราจารย์สตีเฟนสันบอกว่า ทำแบบนี้มันง่ายมาก นักวิจัยที่ไม่มีประสบการณ์จริงจึงชอบทำกัน เพราะคิดอะไรก็ใส่เข้าไปในห้องทดลอง เดี๋ยวผลก็ออกมา เอามาเขียนเป็นงานวิจัยได้อย่างรวดเร็ว หากโจทย์วิจัยไม่ได้มาจากโลกความเป็นจริง ผลการทดลองนั้นก็จะไม่มีประโยชน์มากไปกว่าตัวหนังสือในกระดาษเท่านั้น
อย่างไรก็ตามข้อสุดท้ายนี้อาจมีข้อโต้แย้งได้ว่า การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ผ่านการทดลองนั้น หากสามารถศึกษาทดลองในสภาพแวดล้อมที่เหมือนจริงที่สุดและใช้โจทย์วิจัยจากความเป็นจริงด้วย ผลการศึกษานั้นก็อาจมีประโยชน์ในทางปฏิบัติได้อย่างมาก
ต่อตระกูล: ข้อแนะนำว่านักวิจัยไม่ควรทำ 5 ข้อนี้ตรงใจมากเลยทีนี้มีคำถามต่อว่า ถ้างานแบบนี้ไม่ควรทำ แล้วนักวิจัยไทยควรทำอะไรดี ส่วนตัวในฐานะผู้ปฏิบัติงานจริงและผู้ผลักดันนโยบายอยากรู้ว่า มาตรการอะไรที่ประกาศใช้แล้วในประเทศไทยนั้น แบบใดได้ผลบ้าง แบบไหนควรหลีกเลี่ยง และถ้าไม่ได้ผลทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ที่สำคัญอยากได้งานวิจัยที่มีกระบวนการวิจัยที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ใช้แบบสอบถามแบบเดิม ๆ เท่านั้น
ต่อภัสสร์: นี่คือข้อแนะนำ 5 ข้อที่ศาสตราจารย์สตีเฟนสันบอกว่าให้ระมัดระวังไว้ อย่าไปทำในงานวิจัยเรื่องคอร์รัปชัน ส่วนที่พ่อถามมานั้น จะขอนำไปตอบในบทความสัปดาห์หน้า ซึ่งผมจะมาเล่าต่อในส่วนข้อแนะนำที่เขาบอกว่า ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจการศึกษาวิจัยเรื่องคอร์รัปชันต่อไป และเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานจริงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้นะครับ
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี