การเมืองภายใต้ประชาธิปไตยครึ่งใบ กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แม้จะมีแนวโน้มเป็นการเมือง “แบบรวมห่อ” ซึ่งเคยล้มเหลวแล้วในอดีตก็ตาม แต่ครั้งนี้อาจยืนยาวได้ ถ้าผู้นำสามารถใช้วัสดุที่ทำจากกระดาษสีเขียวเป็นพลาสติก สีเขียวซึ่งเหนียวกว่าและถ้าเนื้อในต้องไม่เป็นการ “จับปูใส่กระด้ง”
ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะในอดีตผู้มีอำนาจทั้งกำลังอาวุธและกำลังเงินตรา สุดท้ายก็ล้มเหลวในการทำให้การเมืองยั่งยืน เพราะวนเวียนอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “พายเรือในอ่าง” หรือตกอยู่ภายใต้ “วงจรอุบาทว์”
เพราะการเมืองในอดีตนับแต่การปฏิวัติ พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นการปกครองที่อ้างว่าประชาธิปไตยนั้น เนื้อหาแท้จริงกลับเป็น “การปกครองระบอบอมาตยาธิปไตย” แม้บางครั้งจะมีกลิ่นอายประชาธิปไตยบ้างเปรียบเสมือน “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” แต่ก็กลับเข้าสู่วงจรอุบาทว์ เพราะความฉ้อฉลของนักการเมือง รวมทั้งผู้มีอำนาจที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์กับผู้ใช้เงินตราเป็นอาวุธ ทำให้แสงสว่างเลือนหายไป โดยเฉพาะการใช้เงินตราเป็นอาวุธเกือบทำให้ “ประเทศเกือบเป็นรัฐที่ล้มละลาย”
ที่กล่าวข้างต้นก็เนื่องจากการคาดคะเนถึงการเมืองของประเทศในอนาคตอันใกล้ โดยอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งด้านทฤษฎีในฐานะนักรัฐศาสตร์และในทางปฏิบัติที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในเหตุการณ์เลือกตั้งสกปรก พ.ศ. 2500 ซึ่งได้ฟังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในงานวันทรงดนตรีที่จุฬาฯ พระองค์ได้เสด็จฯทรงร่วมงานและได้พระราชทานพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “ให้ใช้หัวเดินต่างเท้า” (เพราะขณะนั้นนิสิตจุฬาฯ มีแผนการที่จะเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งสกปรก) ซึ่งส่งผลให้รัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องสิ้นสุดลงและเดินทางออกนอกประเทศจนถึงแก่อสัญกรรม รวมทั้ง พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ผู้ประกาศว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” เช่นเดียวกับ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี คนต่อมาที่ประกาศว่า “ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว”
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่กรรม จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ได้ปกครองประเทศด้วยระบอบ “อภิชนาธิปไตย” ต่อมาจนกระทั่งถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เกิดขบวนการนิสิต นักศึกษา นักเรียน และประชาชนเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล นำโดย ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย นำนิสิตนักศึกษา นักเรียนและประชาชนจำนวนนับแสนๆ คน เดินขบวนต่อต้านรัฐบาลเรียกร้องรัฐธรรมนูญจนเกิดการปะทะกับทหาร ตำรวจ กลายเป็นจลาจล ในที่สุด จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร กราบถวายบังคมลาออกและเดินทางพร้อมครอบครัวออกนอกประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าแต่งตั้งศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์จึงสงบลงและมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2517
การปกครองสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี นั้นก็มีการเลือกตั้งและพรรครัฐบาล คือ “พรรคเสรีมนังคศิลา” (ตั้งตามชื่อบ้านที่ทำการพรรค) สมาชิกพรรคการเมืองที่สังกัดพรรคเกิดจากการ “รวมห่อ” เพราะสมาชิกของพรรคมิได้เกิดจาก “อุดมการณ์หรือผลประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกัน” แต่เกิดจากอิทธิพลทั้งทางอำนาจและการเงิน ผลก็คือ เกิดสิ่งที่เรียกว่า ฝักถั่ว ในรัฐสภา
ต่อมาใน พ.ศ. 2535 เกิดวิกฤตการณ์ที่เรียกว่า “พฤษภาทมิฬ” การตระบัดสัตย์ของนายทหารใหญ่ผู้ประกาศว่าจะไม่เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงแต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
เหตุการณ์ทางการเมืองยุคหลังจากนั้นดำเนินไปสู่การซื้อสิทธิ์ขายเสียงรวมทั้ง“ซื้อพรรคการเมือง” ทั้งพรรค มีการจ่ายเงินซื้อเสียงในห้องน้ำรัฐสภาเพื่อให้ลงมติตามนายทุนจนในที่สุดการเมืองไทยประชาธิปไตยกลายเป็นธนาธิปไตย เพราะมีการกล่าวว่า เจ้าของพรรคใหญ่จ่ายเงินให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นเงินเดือนเป็นเงินกว่า 1 แสนบาท และมากกว่า (ตามตำแหน่งหน้าที่ในพรรค) ทำให้สมาชิกสภาฯ กลายเป็นลูกจ้างของหัวหน้าพรรคการเมือง ทำให้การเมืองเป็นบริษัทประกอบกิจกรรมธุรกิจจึงเกิดการคอร์รัปชั่นทั้งนโยบาย มีการจ่ายเงินเพื่อซื้อตำแหน่งและหาเงิน
ในที่สุด เพราะความเลวร้ายทางการเมืองสุกงอม พระเอกสีเขียวก็เข้ามาห้ามทัพและจัดการประเทศดังปรากฏในปัจจุบันและกำลังจะเปิดศักราชทางการเมืองยุคใหม่ แต่วิธีการในการหากำลังสนับสนุนก็จะเกิด “ประชาธิปไตยร่วมห่อ” ขึ้นอีก ตลาดซื้อขายนักการเมืองพรรคการเมืองก็จะเป็นไปตามเดิม แต่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ขึ้นอยู่กับสุภาษิตที่ว่า “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” ผู้นำทางการเมืองมีปณิธานแน่วแน่ว่าจะนำประเทศไทยพ้นกับดัก โดยถ้าใช้โมเดลของ นายลี กวน ยู พัฒนาการเมืองของประเทศสิงคโปร์ ความฝันตามที่คณะผู้มีอำนาจวางไว้ก็อาจเป็นจริงได้
แต่ขออย่าเป็นไปตามสุภาษิตที่ว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่เหลาเหลาไปก็เป็นบ้องกัญชา” และขอเรียนว่า “วีรบุรุษเกิด
จากการกระทำมิใช่ด้วยลมปาก”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี