เหตุด่วน เหตุร้ายแจ้ง 191 หลายคนคุ้นเคยสโลแกนนี้เป็นอย่างดี แต่รู้ไหมว่าใน 1 วัน มีคนโทร.เข้าเลขหมายนี้กว่า 2 หมื่นสาย ทั้งจริงและโทร.เล่น แต่เจ้าหน้าที่รับสาย ไม่ใช่ตำรวจโรงพักอย่างที่เข้าใจ ในนครบาลหากกด กริ๊ง เดียวจะไปติดที่ศูนย์ควบคุมกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (บก.สปพ.) จากนั้นจะประสานศูนย์วิทยุแต่ละ บก.น.1-9แล้วค่อยจะส่งต่อถึงโรงพักจนถึงหูสายตรวจท้องที่
แน่นอนขั้นตอนต่างๆ ใช้เวลามาก เพื่อให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน จึงมีการหยิบเอาเทคโนโลยี มาปรับใช้ จนพัฒนากลายเป็นแอพพลิเคชั่น “Police i lert u” ช่วยลดขั้นตอนการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย แต่กว่าจะเป็นแอพฯดังกล่าว ต้องระดมมันสมอง ใช้ความรู้และทักษะต่างๆเรามารู้จักต้นคิดเรื่องนี้กันเลย เขาคือ พ.ต.ท.เศรษฐหาญ เศรษฐภากรณ์ สว.อก.กก.ศูนย์รวมข่าว บก.สปพ.(191) ดอกเตอร์ วัย 41 ปี ชาว กทม.
พ.ต.ท.เศรษฐหาญ หรือ สว.เศรษฐ์ หนึ่งในทีมสร้างและพัฒนาแอพฯ ดังกล่าว จบคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มีแรงจูงใจเพราะชื่นชอบภาพยนตร์จีนจับผู้ร้าย จึงสอบเข้าตำรวจ เริ่มบรรจุปี 2542 เป็น รอง สว.งานอารักขา บก.อคฝ. รอง สว.จราจร สน.บางโพงพาง รอง สว.สอบสวน สน.พลับพลาไชย 1 รอง สว.งานแผนอำนวยการ บช.น. สวป.สน.บางกอกใหญ่ ก่อนถูกดึงตัวให้มาพัฒนาศูนย์ 191
“แอพ Police i lert u เริ่มทำสมัย พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร รอง ผบช.น. ในขณะนั้น ท่านเรียกให้มาพูดคุยถึงแนวทางที่จะปรับปรุงศูนย์ 191 ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนช่วยคิดช่วยทำ จนเป็นจุดริเริ่มตั้งแต่กลางปี 2557 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน”
สว.เศรษฐ์ อธิบายว่า 191 เป็นระบบคอลเซ็นเตอร์ เมื่อเกิดเหตุด่วนเหตุร้าย ประชาชนจะโทร.เข้ามาแจ้ง ข้อมูลที่ตำรวจต้องการคือ 1.ผู้เสียหายเป็นใคร 2.เกิดเหตุอะไร 3.เกิดที่ไหน แต่การใช้โทรศัพท์ต้องเสียเวลาจากการพูดคุย แล้วคนรับสายก็ไม่ใช่คนไปช่วย ฉะนั้นข้อมูลจะถูกส่งจากวิทยุสั่งการ 191 หรือศูนย์ผ่านฟ้า ไปยังศูนย์วิทยุแต่ละบก.แล้วจึงจะถึงโรงพัก ทำให้เสียเวลามาก กว่าสายตรวจจะเข้าจุดเกิดเหตุ
ตรงนี้เองเจ้าหน้าที่ได้เล็งเห็น จึงได้สร้างแอพพลิเคชั่นPolice i lert u เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ 3 ข้อในระบบคอลเซ็นเตอร์ เราไม่ได้บอกว่า 191 ไม่ดีและยังคงเป็นระบบหลักอยู่ แต่คิดว่าควรลดขั้นตอนการสื่อสาร จากผู้แจ้งให้มาถึงผู้ปฏิบัติโดยตรง และลดจำนวนสายโทรศัพท์ 191 ด้วย สำหรับการใช้แอพฯ เมื่อเกิดเหตุผู้แจ้งต้องถ่ายภาพ พร้อมระบุหรือพูดไปในโทรศัพท์ ว่าเกิดเหตุอะไร
เมื่อกดยืนยันแล้วชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ ตำแหน่ง จีพีเอส จะแสดงเข้าโทรศัพท์สายตรวจ ที่อยู่ในพื้นที่นั้นทันที แล้วตำรวจโรงพักจะติดต่อกลับมา อาจจะใช้เพียงแค่ 10 วินาที ในการกดแจ้งเหตุ ทั้งนี้ ข้อมูลจะไปแสดงที่ศูนย์ 191 และบก. เพียงแต่ไม่ต้องเป็นตัวผ่าน ไม่ใช่ว่ากดแอพฯ ตำรวจมี 5 พันคน แล้วจะไปทั้ง 5 พันคน จะเป็นเฉพาะตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายป้องกันและปราบปราม
“เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับการที่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้า เพราะต้องอาศัยคนที่เข้าใจจริงๆ และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เฉพาะตำรวจฝ่ายเดียว ประชาชนต้องร่วมมือด้วย เหมือนกับเราหยิบเครื่องมือชิ้นหนึ่งให้ประชาชน แต่มีคนกลุ่มหนึ่งนำไปใช้ในทางที่ผิดมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร”
สว.ศูนย์ข่าว 191 บอกว่าเสียงตอบรับจากประชาชน เมื่อลองโหลดแอพฯ พบว่าทุกคนจะลองกด 1 ครั้ง แล้วมีตำรวจท้องที่โทร.กลับมา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “โอ้โห ตกใจหมดเลย ไม่คิดว่าตำรวจจะโทร.มา” นี่เป็นสัญญาณตอบรับที่ดี ว่าตำรวจพร้อมอยู่ในระบบแล้ว เพียงแต่สิ่งที่จะต้องทำคือให้ประชาชนเรียนรู้เครื่องมือนี้ให้เป็นเครื่องมือที่สำคัญ อย่ามองว่าเป็นเรื่องไกลตัว
เข้าใจความรู้สึกเหมือนที่บางบ้านไม่ยอมติดเครื่องดับเพลิง หรือแขวนไว้ไม่รู้ใช้ยังไง ก็อยากให้โหลดแอพฯนี้ไว้ เกิดเหตุเมื่อไรใช้งานได้ทันที แม้จะเก็บไว้นานถึงไม่ได้ใช้เลย แต่จริงๆ ก็ถือว่าท่านได้ใช้มันแล้ว เพราะอยู่ในสภาวะที่พร้อมขอความช่วยเหลือจากตำรวจ หลายคนรู้จัก Police i lert u แต่ไม่เคยรู้ขั้นตอนการปฏิบัติ จึงพยายามจะให้ความรู้ตรงนี้เพราะมีประโยชน์มาก สามารถเสริมศักยภาพได้จริงๆ
จริงแล้วไม่ได้คาดหวังอะไรจาก Police i lert u เพราะทำด้วยใจ อุทิศให้สังคม แต่มุ่งหวังให้เครื่องมือนี้ เสริมศักยภาพในการรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย การได้รับแจ้งที่แม่นยำถูกต้อง เข้าถึงที่เกิดเหตุโดยเร็ว จะสามารถติดตามคนร้ายได้ทัน หรือเป็นการป้องกันอาชญากรรมในตัว คนร้ายก็จะไม่กล้าก่อเหตุ
“ปัจจุบันมีประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจและเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีจากสมาร์ทโฟน ครึ่งต่อครึ่งโหลดแอพฯ ไม่เป็น เนื่องจากให้ร้านค้าทำให้ บางคนไม่เข้าใจแอพเพลย์สโตร์ ตรงนี้ก็ต้องพยายามให้เกิดการเรียนรู้ และค่อยๆ พัฒนา แต่วันนี้ตำรวจเราเริ่มแล้วกับ Police i lert u” พ.ต.ท.ดร.เศรษฐหาญ ฝากทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่น่าสนใจ
ทีมข่าวอาชญากรรม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี