ปัญหาใหญ่สำหรับเศรษฐกิจของไทยยุครัฐบาลคสช.ภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ผู้ถูกนักการเมือง 2 พรรคใหญ่โจมตีว่าเข้ามาด้วยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ต้องหาทางแก้ปัญหาก็คือการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วผิดปกตินับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561
ล่าสุดเมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 12 มกราคม ปรากฏว่าค่าเงินบาทมาอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ แลกได้ 31.83 บาท ทั้งๆ ที่ต้นสัปดาห์ค่าเงินบาทยังขึ้นลงระหว่าง 32.10 ถึง 32.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งค่าเงินบาทคือจำนวนเงินบาทเมื่อแลกกับเงินต่างประเทศ เช่น เงินสกุลดอลลาร์ เยน ยูโร หรือปอนด์สเตอร์ลิง เป็นต้น
อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้กำหนดค่าที่เป็นที่นิยมที่สุดในเอเชีย คือ เงินดอลลาร์สหรัฐในวันและเวลาต่างๆ เงิน 1 ดอลลาร์ จะแลกได้เท่ากับกี่บาทไทย เงินบาทแข็งหมายถึงเงินบาทมีค่ามากขึ้นหรือมีจำนวนตัวเลขที่มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ซึ่งผู้ที่ดูแลค่าเงินบาทโดยตรงตามหน้าที่คือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สำคัญก็คือดูแลผ่านคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารเอง
จากข้อเท็จจริงนั้นไม่กี่วันที่ผ่านมาภาครัฐบาลดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจได้ไปพบแลกเปลี่ยนความเห็นกับ ดร.วิระไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วแต่ดร.สมคิดคงไม่สามารถแสดงความเห็นได้มากนักเพราะตามมรรยาทอาจจะเป็นการแทรกแซงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มากเกินสมควร
โดยวิธีปฏิบัติรัฐบาลไม่อาจจะบีบบังคับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามได้ยิ่งเป็นรัฐบาลชุดนี้ด้วยแล้วจะต้องให้ความระมัดระวังมากไม่เหมือนรัฐบาลในระบอบการเมืองที่มีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่ารัฐบาลไม่ค่อยพอใจผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ถึงขั้นรมว.คลัง ขู่ผ่านสื่อพวกตนเองถึงขนาดจะปลดผู้ว่าการจากตำแหน่ง
การที่ค่าเงินบาทแข็งค่านั้นตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์มีทั้งผลดีและผลเสียคละกันไปค่าบาทแข็งจะส่งผลดีต่อนายทุน นักธุรกิจ ที่นำเข้าหรือผู้ที่กู้เงินมาจากต่างประเทศ สินค้าเข้าถูกลงสินค้าส่งออกแพงขึ้นนอกจากนี้ต้องดูอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยว่าสูงไปหรือไม่ เพราะจะทำให้เงินต่างประเทศไหลเข้ามาแสวงหากำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย
วันนี้ค่าเงินบาทแข็งส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ามาหาประโยชน์จากตลาดตราสารหนี้และไหลเข้าตลาดทุนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยสูงกว่า 1,800 แล้วซึ่งถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ตั้งตลาดหลักทรัพย์มา 43 ปี ส่วนดีอีกส่วนคือบาทแข็งดอลลาร์อ่อนทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งแรงสูงถึงบาร์เรลละ 70 ดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อน้ำมันดิบแพงก็จะเป็นปฏิภาคไปกับราคายางพาราด้วย เพราะราคายางจะสูงขึ้นเป็นผลดีกับเกษตรกร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องวิเคราะห์ถึงต้นทุนของกลุ่มเอสเอ็มอี และเกษตรกร เพราะเงินบาทแพงค่าเงินจะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกได้รายรับเป็นเงินบาทลดลง ซึ่งกระทรวงการคลังต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้ ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยเร็วที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี