สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์สูงสุดนับแต่สิ้นสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา และเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก แต่ในปัจจุบันนี้กลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว และประชาชนก็มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขนาดต้องใช้เวลาชำระหนี้ถึง 120 ปี คือถึงชาติหน้าก็ยังใช้ไม่หมด
การที่ประเทศมหาอำนาจที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของโลกมีชะตากรรมเป็นเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และควรศึกษาหาบทเรียนเพื่อจะได้ไม่ทำความผิดพลาดซ้ำ เนื่องจากไทยเราเป็นประเทศเล็ก หากทำความผิดซ้ำรอยประเทศมหาอำนาจ ก็คงต้องประสบหายนะอย่างใหญ่หลวง
และวันนี้ก็มีอาการและปรากฏการณ์หลายอย่างว่า ประเทศไทยกำลังก้าวสู่หายนะตามอย่างสหรัฐอเมริกา คือระดับประเทศก็มีหนี้สินจำนวนมหาศาล และกำลังก่อหนี้เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง แม้กระทั่งภาคประชาชนก็มีหนี้สินล้นพ้นตัวมากขึ้นโดยลำดับ ถึงขั้นที่มีการออกประกาศนียบัตรเป็นคนจนคือ ออกบัตรคนจนถึงประมาณ 12 ล้านคน จากจำนวนประชากร 70 ล้านคน
การจะค้นคว้าว่า ผลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นมาอย่างไร ก็ต้องค้นคว้าหาสาเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้นจึงจะเป็นหนทางแห่งความรู้ ที่จะนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหานั้น
ทำไมสหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจและมั่งคั่งจึงกลายเป็นประเทศหนี้สินล้นพ้นตัว?
สาเหตุเริ่มแต่การนำนโยบายประชานิยมมาใช้ในสมัยอดีตประธานาธิบดีนิกสันที่ต้องการสร้างความนิยมทางการเมืองโดยบำรุงบำเรอประชาชนให้ได้รับผลประโยชน์เฉพาะหน้ามากมายหลายสถาน มีการนำเงินงบประมาณแผ่นดินไปบำรุงบำเรอให้กับประชาชนโดยไม่เกิดมรรคผลใดๆ ทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องยาวนาน
จนประชาชนเสพติดนโยบายประชานิยมชนิดที่เลิกไม่ได้และกำหนดให้พรรคการเมืองอื่นๆก็ต้องใช้และดำเนินนโยบายประชานิยมอย่างเดียวกัน แข่งขันกันบำรุงบำเรอให้ประชาชนจมปลักอยู่กับประชานิยมจนถอนตัวไม่ขึ้น กลายเป็นสังคมพิกลพิการและรอคอยแต่การช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเดียวเท่านั้น
การนำเงินงบประมาณไปปรนเปรอนโยบายประชานิยมมากขึ้นโดยลำดับ ได้ก่อให้เกิดภาระรายจ่ายงบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง กระทั่งรายได้ปกติของรัฐบาลไม่สามารถนำมาใช้จ่ายได้เพียงพอ จึงนำไปสู่การกู้ยืมเงินมาชดเชยงบประมาณ ยิ่งกู้มากเท่าใดการติดหลงในประชานิยมก็มากขึ้นเท่านั้น พรรคการเมืองก็แข่งขันกันนำเสนอการปรนเปรอประชานิยมเพิ่มมากขึ้นสุดแท้แต่จะเสกสรรคิดอ่านขึ้นมา
จนในที่สุดงบประมาณแผ่นดินกว่าครึ่งหนึ่งก็ถูกใช้ไปในนโยบายประชานิยมทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นเหตุให้รัฐบาลต้องก่อหนี้สินให้กับประเทศชาติเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งและมีอัตราเพิ่มในลักษณะเกือบทวีคูณอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุให้กู้เท่าใด ก็ไม่พอต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน
กระทั่งเกิดเหตุการณ์หน่วยงานรัฐล้มละลายบ้าง เหตุการณ์ชัตดาวน์ส่วนราชการบ้าง แม้กระทั่งมีข่าวเสมอว่ารัฐต่างๆ หลายรัฐกำลังล้มละลาย และระดับประเทศก็กำลังล้มละลายเหมือนกัน
และมาถึงวันนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าในระดับประเทศจะสามารถชดใช้หนี้สินได้อย่างไร จึงก่อให้เกิดคำนินทาว่านี่แหละเป็นที่มาของนโยบายก่อสงครามเพื่อชำระสะสางหนี้หรือล้างหนี้ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
นั่นเป็นส่วนของภาครัฐบาล ซึ่งบทเรียนอันยาวนานของสหรัฐได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ายิ่งดำเนินนโยบายประชานิยมไปมากเท่าใด ประเทศจะฉิบหายวายวอดจนหมดสิ้น ก็แลขนาดเป็นประเทศมหาอำนาจที่มั่งคั่งยังเป็นไปได้ถึงเพียงนั้น แล้วประเทศไทยที่ระบบเศรษฐกิจอ่อนด้อยกว่ามากมายจะไม่วายวอดดอกหรือ?
สำหรับภาคประชาชนซึ่งติดหลงในการปรนเปรอของนโยบายประชานิยมก็เหมือนกับกองไฟที่เพิ่มเติมเชื้อไฟมากเท่าใด ไฟก็ยิ่งลุกโพลงเป็นกองใหญ่มากขึ้นเท่านั้น กองไฟใหญ่ขึ้นเท่าใดก็ต้องการฟืนมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งไม่มีฟืนจะใส่ ไฟก็จะดับฉันใด ในเวลาไม่นานนักหายนะที่จะนำมาซึ่งความดับสูญซึ่งการดำรงคงอยู่ทางเศรษฐกิจของประเทศชาติและประชาชนก็ฉันนั้น
นโยบายประชานิยมได้ทำลายความเป็นคนจนสิ้นสูญ คือผลิตก็ไม่เป็น ต้องพึ่งพาอาศัยการว่าจ้างและเมื่อไม่มีเงินว่าจ้างก็ต้องไปก่อหนี้ยืมสินขึ้น ผลิตแล้วก็เก็บเกี่ยวไม่เป็น บำรุงปุ๋ยและป้องกันอันตรายไม่เป็นก็ต้องไปว่าจ้างเอาทั้งสิ้น ผลิตเสร็จแล้วก็ขายไม่เป็น ต้องรอให้รัฐบาลไปอุ้มชูในราคาที่อาจไม่สอดคล้องกับตลาด จึงพากันขาดทุนทั้งผู้ผลิตและรัฐบาล
นานวันเข้าก็ง่อยเปลี้ยเสียขาปัญญาอ่อน ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งแบมือขอรัฐบาลในทุกเรื่องราว และในภาครัฐก็คุ้นชินกับวิธีการให้ทาน แทนที่จะคิดอ่านสร้างสรรค์พัฒนาชาติบ้านเมืองซึ่งมีศาสตร์พระราชาเป็นหลักบ้านหลักเมืองอยู่แล้วก็ไม่ได้ทำเอะอะก็จะใช้วิธีการให้ทานเพื่อเอาใจผู้เสพติดประชานิยมที่พิกลพิการทั้งหลาย
นี่คือความจริงที่เป็นจริงในบ้านเมืองของเราที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการให้ทานและการก่อหนี้สินให้กับประชาชนนั้นไม่ใช่หนทางในการแก้ไขปัญหาความยากจน แต่กลายเป็นการเดินทางซ้ำรอยหายนะที่ประเทศมหาอำนาจที่มั่งคั่งกำลังประสบอยู่นั่นเอง
จึงถึงเวลาที่จะต้องเลิกประพฤติปฏิบัติแบบการให้ทานและประชานิยมและนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปโดยเร็วที่สุด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี