สินค้ากว่า 3,500 รายการ ที่จะส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ต้องเสียภาษีในอัตราปกติโดยไม่มีข้อยกเว้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป
จากเดิมที่ไม่ต้องเสียภาษี เพราะประเทศไทยได้เสียสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (Generalized System of Preferences: GSP) กับสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียไปพร้อมๆ กับประเทศกำลังพัฒนาอีก 27 ประเทศ ในกลุ่ม GSP Alliance
ปกติแล้ว เกือบทุกปีสหรัฐอเมริกาออกกฎหมาย เพื่อให้สิทธิ์ GSP ยกเว้นภาษีนำเข้าให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่อหัวไม่เกิน 12,476 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ซึ่งประเทศไทยอยู่ราว 6,000 กว่าเหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่สหรัฐอเมริกาจะให้สิทธิ์ได้ แต่การเสียสิทธิ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ กลับมีการให้เหตุผลเพียงว่า “สหรัฐออกกฎหมายยกเว้นภาษีให้ไม่ทัน” ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
ผมขอเล่าถึงกระบวนการออกกฎหมาย ในฐานะเคยเป็นสส.ในวิปรัฐบาล ต้องเรียนตามตรงว่า ข้ออ้างที่ว่า รัฐสภาสหรัฐออกกฎหมายยกเว้นภาษีให้เราไม่ทันนั้น “แทบจะเป็นไม่ได้” เพราะหากฝ่ายบริหารต้องการจริงๆ ฝ่ายนิติบัญญัติทำทันแน่นอน โดยเฉพาะสภาพการเมืองของสหรัฐที่มีนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันเป็นประธานาธิบดี และเสียงข้างมากในสภาคองเกรสก็เป็นของพรรครีพับลิกันเช่นเดียวกัน ยากที่สภาจะปล่อยให้กฎหมายเลื่อนออกไปโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งตรงข้ามกับสมัยที่นายบารัค โอบามา จากพรรคเดโมเครต ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ท่ามกลางเสียงข้างมากในสภาเป็นของพรรครีพับลิกัน
เสียดายที่ผู้นำไทยและสหรัฐอเมริกาได้มีโอกาสพบปะกันไปเมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา น่าจะได้มีการติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด งานนี้ “เสียเหลี่ยมมาก” คือ ประเทศไทยเป็นหัวหน้ากลุ่ม GSP Alliance เป็นหัวหน้ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ได้สิทธิยกเว้นภาษีศุลกากร ประเทศเหล่านั้นเค้าไว้ใจให้เราไปคุยแทนเค้า แต่กลับทำไม่สำเร็จ
สำหรับสินค้าที่ได้รับผลกระทบที่ต้องเสียภาษีส่งออกไปสหรัฐอเมริกาในอัตราปกติ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยาง เครื่องดื่ม อาหารปรุงรส รวมถึงส่วนประกอบยานยนต์ ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ในอาเซียน และติดอันดับผู้ส่งออกรายใหญ่ระดับโลก ก็ต้องได้รับผลกระทบเรื่องนี้ไปเต็มๆ เนื่องจากตลาดหลักส่งออก ชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยคือสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่าถึง 1,319 ล้านเหรียญคิดเป็นร้อยละ 32.30 ของมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ทั้งหมดของไทย
ผสมโรงกับแนวทางของกลุ่มประเทศความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA: North America Free Trade Area) ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศ“จะ”เพิ่มเงื่อนไขถิ่นกำเนิดสินค้า เช่นว่ารถยนต์จะต้องมีชิ้นส่วนจากประเทศกลุ่มนาฟตาที่ร้อยละ 85 จากเดิม ร้อยละ 62.5 เพื่อกีดกันชิ้นส่วนรถยนต์จากประเทศนอกกลุ่ม ยิ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความพยายามตัดโอกาสประเทศไทย ที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ให้กับสหรัฐอเมริกา และไทยได้ดุลการค้ารวมมูลค่าถึง 1,546 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เมื่อดูเหตุผลประกอบกันทั้งหมดแล้ว การตัดสิทธิ์ GSP คงไม่ใช่เพราะสหรัฐอเมริกาออกกฎหมายไม่ทันแน่ แต่ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศของไทย ก็พยายามชี้แจงว่า สหรัฐอเมริกาคงไม่ยอมให้ประเทศไทยและกลุ่ม GSP ประเทศอื่นเสียสิทธิ์ เพราะจะส่งผลกระทบต่อสินค้าและวัตถุดิบที่ราคาสูงขึ้น และยังจำเป็นต่อการแข่งขันทางการค้ากับจีน เลยเชื่อว่า เมื่อสหรัฐอเมริกาพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จและได้สิทธิ์ GSP คืน ก็คงได้จะภาษีส่วนเกินที่เสียไปกลับมา
ผมขอเตือนว่าอย่าชะล่าใจ ไทยก็ควรติดตามอย่างใกล้ชิด ต้องเร่งคุยให้จบ ปล่อยไปตามน้ำไม่ได้ เพราะนอกจากจะเสียประโยชน์จากการได้ดุลการค้ามูลค่ามหาศาลแล้ว ยังต้องแสดงให้ประเทศสมาชิก GSP Alliance เห็นถึงความพยายาม ให้สมกับที่ได้รับการไว้วางใจให้เป็นประธานของกลุ่ม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยเสียสิทธิ์ GSP เพราะก่อนหน้านี้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 ไทยโดนตัดสิทธิ์ GSP กับสหภาพยุโรป (EU) มาแล้ว เนื่องจากอียูกำหนดเกณฑ์การยกเลิกการให้สิทธิ์ GSP กับประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงมูลค่า 3,945 ถึง 12,195 เหรียญสหรัฐฯต่อหัวต่อปีขึ้นไป เป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกัน ซึ่งประเทศไทยรายได้ต่อปีต่อหัว เมื่อปี 2555 ต่อหัวต่อปี อยู่ที่ 5,210 เหรียญสหรัฐฯ จึงเข้าเกณฑ์ถูกตัดสิทธิ์
ผลของการตัดสิทธิ์ GSP กับอียูในครั้งนั้น สินค้าหลายรายการที่ต้องกลับมาเสียภาษีในอัตราปกติ โดยเฉพาะกุ้ง ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ ยานยนต์ ล้วนแต่เป็นสินค้าสำคัญที่สร้างมูลค่าการส่งออก โดยเฉพาะชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ ที่ได้รับผลกระทบหนักจากการเสียสิทธ์ิ GSP ทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป
แต่เรื่องนี้เริ่มมีหนทางออกขึ้นมาแล้ว เมื่ออียูเริ่มส่งสัญญาณเมื่อปลายปีที่แล้ว ว่าจะเริ่มติดต่อเจรจาทางการค้าเสรีกับไทย ซึ่งทางการไทยก็ควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เจรจาเตรียมความพร้อมข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับอียูให้เร็วที่สุด เพื่อปลอดภาษีระหว่างกัน และเป็นการวางพื้นฐานให้รัฐบาลชุดถัดไป เพราะอียูมีเงื่อนไขว่า จะเซ็นข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ก็ต่อเมื่อได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้ว อันจะเป็นประโยชน์เพื่อทดแทนกับสิทธิ์ GSP ที่เสียไป
ในทางกลับกัน ข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยทำกับซีกทวีปเดียวกัน คือประเทศจีน แม้จะได้สิทธิประโยชน์ลดภาษีสินค้ากว่า 700 รายการ ให้เหลือร้อยละ 5 เช่น แป้งข้าวสาลี หินอ่อน ยางรถยนต์ กระดาษ กระเบื้อง ทีวี ตู้เย็น รวมกว่า 700 รายการ และปลอดภาษีสินค้าเป็น
0 ถึง 226 รายการ เช่น เชือก ลวด เครื่องสำรองไฟฟ้า แผงวงจร รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV)
ผลที่จะเกิดขึ้น จะทำให้สินค้าจากประเทศจีนทะลักเข้าไทยได้ง่ายขึ้น ด้วยความที่ประเทศจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ข้อดีคือผู้บริโภคคนไทยได้ใช้ของถูกลง แต่งานนี้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าในไทยก็ต้องเหนื่อยกันหน่อย ที่ต้องผลิตสินค้าแข่งกับประเทศจีน
เรื่องนี้ หากไทยต้องการพลิกสถานการณ์ ก็ต้องงัดจุดแข็งเข้ามาสู้ อย่างเช่น ประเทศไทย เป็นประเทศต้นทางวัตถุดิบยางพาราอยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นเรื่องยากที่จะสามารถดึงผู้ประกอบการยางรถยนต์รายใหญ่ มาตั้งฐานการผลิตหลักในไทย พัฒนาตลาดยางด้วยการส่งออกผลผลิตที่แปรรูปเป็นยางรถยนต์ไปทั่วโลก หรือจะใช้ศักยภาพในฐานะที่ไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก ผลิตหรือประกอบรถยนต์ไฟฟ้า แล้วส่งกลับไปที่ประเทศจีน ซึ่งกระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ไทยมีความพร้อมในการตั้งฐานการผลิตอยู่แล้ว โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภาคตะวันออก เพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่ให้สิทธิพิเศษด้านการลงทุน ตั้งแต่การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 15 ปี การให้วีซ่าทำงานได้ถึง 5 ปี รวมถึงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ร้อยละ 17 ซึ่งต่ำที่สุดในอาเซียน สำหรับผู้บริหารชาวต่างชาติของบริษัทที่มาตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ
ปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนในประเทศเหล่านี้ น่าจะพอช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ท่ามกลางการเสียเปรียบทางเศรษฐกิจ ทั้งการถูกตัดสิทธิ์ GSP จากสหรัฐอเมริกา และสินค้าที่จะทะลักจากการค้าเสรีไทยจีน ซึ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมของผู้บริหารประเทศ ที่จะต้องวางแผนอย่างรัดกุมกับผลที่จะเกิดขึ้น ในปี 2561 นี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี