ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับราคาอาหารในสนามบินสุวรรณภูมิแพงมหาโหด ไม่ใช่เพิ่งมี แต่เกิดมาหลายครั้ง
ทุกครั้ง ก็จะมีการลงพื้นที่ตรวจป้ายราคา แล้วหลังจากนั้น ปัญหาก็ยังดำรงอยู่ต่อไป
แต่ครั้งนี้ สื่อญี่ปุ่นได้นำเสนอฉาวไปทั่ว และนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับสั่งให้ดำเนินการแก้ไขโดยด่วนด้วย
ในฐานะที่เคยเป็นบอร์ดของบริษัทท่าอากาศยานจำกัด (ทอท.) ผมอยากจะบอกว่า ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาระดับผิวเปลือกนอก แต่ต้นเหตุที่แท้จริงหมกเม็ดอยู่ในการบริหารจัดการผูกขาดของสนามบินอย่างแท้จริง
ต้นเหตุเกิดจากอะไร? จะแก้ไขโดยไม่ต้องใช้วิธีผักชี้โรยหน้า จะทำได้อย่างไร?
1.การท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ปัจจุบัน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (แต่ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ) ทำหน้าที่บริหารจัดการการผูกขาดในสนามบินนานาชาติของประเทศไทย เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต เป็นต้น
ผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้า-ออก ไปต่างประเทศทุกคน จะต้องผ่านสนามบินเหล่านี้
ในสภาพความเป็นจริง ผู้โดยสารต้องไปกระจุกตัวอยู่ในสนามบิน โดยจะต้องไปถึงสนามบินล่วงหน้า 2-3 ชั่วโมง เมื่อเข้าไปในอาคารผู้โดยสาร ดำเนินการเช็คอิน ตรวจหนังสือเดินทางและตรวจอาวุธเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปไหนไม่ได้ จะต้องแกร่วรออยู่ข้างใน ซึ่งมีร้านค้าพาณิชย์ ขายของนานาชนิด อาหาร และบริการ
ผู้โดยสารตกอยู่ในสภาพเหมือน “เหยื่อที่ไม่มีที่ไป” หรือถูกกักบริเวณให้รออยู่ข้างใน
ด้วยสภาพเช่นนี้เอง ร้านค้าพาณิชย์ โดยเฉพาะร้านค้าปลอดอากรหรือดิวตี้ฟรี จึงเฟื่องฟู เพราะมีลูกค้าเหมือนถูกกักบริเวณไว้ในห้างสรรพสินค้าสนามบิน ปีละหลายสิบล้านคน
เป็นสภาพของการผูกขาดการขาย โดยผู้ได้รับสัมปทานจาก ทอท. ทั้งร้านค้าพาณิชย์ และดิวตี้ฟรี
จะกิน-ข้าวกินน้ำ ก็ต้องซื้อในนั้น
จะซื้ออะไร ก็ต้องซื้อในนั้น
เพราะจะถือน้ำจากข้างนอกเข้าไป ก็ผ่านด่านตรวจไม่ได้
2.นับตั้งแต่เปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2548 ระบอบทักษิณได้ผ่องถ่ายอำนาจผูกขาดพื้นที่ร้านค้าทั้งหมดนั้น ให้แก่เอกชนรายเดียว คือ บริษัทคิงเพาเวอร์
ทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ และเกือบทุกแห่ง
โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีมูลค่าผลประโยชน์สูงสุด
เป็นการผ่องถ่ายอำนาจผูกขาด ซึ่งเท่ากับผ่องถ่ายผลประโยชน์และกำไรพิเศษจากการผูกขาดนั้น ไปให้แก่เอกชนรายเดียว แลกกับผลตอบแทนตามเงื่อนไขสัญญา
บริษัทคิงเพาเวอร์ได้บริหารจัดการพื้นที่พาณิชย์สนามบินเกือบทั้งหมดของ ทอท.
3.ปรากฏว่า บริษัทคิงเพาเวอร์ยังใช้วิธีผ่องถ่ายการบริหารจัดการการผูกขาดพื้นที่พาณิชย์ในสนามบิน ไปยังเครือข่ายของตนเอง
บรรดาร้านค้าพาณิชย์ทั้งหลาย หากต้องการจะเข้ามาประกอบกิจการในพื้นที่พาณิชย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ จะต้องมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนเพื่อแลกกับการเข้าประกอบกิจการ หรืออาจเรียกว่า“ค่าเซ้ง” จากนั้นก็ยังต้องจ่ายค่าเช่าเป็นเปอร์เซ็นต์ตามยอดขายต่อไป
ค่าเซ้งที่ว่านี้ ไม่เคยปรากฏว่า ทอท.จะได้รับนำส่งเข้าแผ่นดิน
แต่เป็นต้นทุนเพิ่มขึ้นสูงอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าในสนามบิน
ทำให้ผู้ประกอบการร้านค้า-ร้านอาหาร ที่ถูกเรียกเก็บค่าเซ้งกันทุกราย มีต้นทุนส่วนเพิ่มขึ้นมาถ้วนทั่ว ยิ่งถูกผลักดันให้ตั้งราคาขายอาหารและสินค้าแพงมากกว่าปกติ เพื่อให้คุ้มต้นทุนส่วนนี้ ประกอบกับการที่มีผู้โดยสารเสมือนเป็นเหยื่อกักบริเวณไว้ในสนามบิน รอให้เรียกราคาโดยไร้ทางเลือกอื่น ก็ยิ่งเป็นความเจ็บปวดของผู้โดยสารในฐานะผู้บริโภคที่ไม่รู้จะหันหน้าไปไหน
4.ตามสัญญาแบ่งปันผลประโยชน์ให้รัฐ กรณีสนามบินสุวรรณภูมิ มีข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ให้รัฐ 15% ของยอดขาย โดยจ่ายแก่ ทอท.คู่สัญญา
แต่กระนั้น ที่ผ่านมาก็มีปัญหาการติดตั้งเครื่องบันทึกรายงานยอดขาย ณ จุดขาย หรือ POS ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลการขายทั้งหมด แบบเรียลไทม์มายัง ทอท. เพื่อให้ทราบข้อมูลจริง จะได้ประเมินส่วนแบ่ง 15% ของยอดขายทั้งหมด ตามสัญญา มีการอ้างว่าเครื่องมือดังกล่าวที่มีมูลค่ามากกว่า 200 ล้านบาท ติดตั้งไม่เสร็จ ทอท.จึงได้รับส่วนแบ่งรายได้เฉพาะขั้นต่ำที่ระบุไว้ในสัญญาเท่านั้น
สูญเสียโอกาสที่จะได้รับ 15% ของยอดขายทั้งหมด ทั้งในดิวตี้ฟรี และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ปีละมหาศาล
แถมสรรพากรยังขาดข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
5. ลองนึกภาพ.. สนามบินที่เป็นเหมือนห้างสรรพสินค้า กักบริเวณผู้โดยสารไว้เป็นเหยื่อ รองรับการ
ผลักภาระและการแสวงหากำไรพิเศษจากการผูกขาดของเอกชนผู้ได้รับสัมปทาน ผ่านทางร้านค้าร้านอาหาร
จริงอยู่ ผู้โดยสารเครื่องบินมีคนรวย และคนมีฐานะทางเงินแน่ๆ แต่ปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปที่เดินทางเข้าไปใช้บริการสนามบิน มีคนที่มีฐานะปานกลาง หรือชาวบ้านทั่วไปจำนวนมาก ทั้งผ่านสายการบินโลว์คอสต์ หรือแม้แต่สายการบินปกติ ที่นั่งส่วนใหญ่ 80-90% ในแต่ละเที่ยวบินก็เป็นผู้โดยสารชั้นประหยัด
แถมสนามบินเอง ก็มีทางเลือกสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการรับประทานอาหารราคาประหยัดจำกัดมาก พื้นที่ที่ยังอยู่ในการจัดการของ ทอท. อย่างศูนย์อาหารชั้นล่างของสนามบินดอนเมืองนั้น ปกติมีไว้สำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนผู้โดยสารที่จะกินต้องเผื่อเวลาเพื่อเข้าไปกินก่อนจะผ่านด่านตรวจเข้าไปในระบบเช็คอินสนามบิน เพราะถ้าผ่านเข้าด่านไปแล้วจะลงไปกินที่นี่ไม่ได้เลย
เรื่องอาหารแพงที่สนามบินนี้ นักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้บริหารระดับสูง เขาจะไม่ได้ความเดือดร้อนเหมือนชาวบ้านทั่วไป เพราะมีห้องรับรองพิเศษ มีส่วนรับรองพิเศษ ทำให้ไม่ต้องตกระกำลำบาก หรือตกอยู่ในสภาพ “ติดกับ” เหมือนชาวบ้านผู้โดยสารปกติ
6. ประการสำคัญ ในช่วงที่ผมเป็นบอร์ด ทอท. ได้มีการตรวจสอบ พบว่า บริษัทคิงเพาเวอร์ได้ใช้พื้นที่เกินไปกว่าสัญญาข้อตกลงเดิมเคยทำกันไว้แต่แรก ทั้งๆ ที่ พื้นที่ดังกล่าว หากเป็นไปตามสัญญาอย่างเข้มงวด จะต้องยังอยู่ในการดูแลของ ทอท. สามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ หรือสร้างทางเลือก ปกป้องคุ้มครองประชาชนทั่วไปได้มาก
กรณีดิวตี้ฟรีที่สนามบินสุวรรณภูมิ พบว่า มีการใช้พื้นที่จริงกว่า 11,820 ตารางเมตร เกินสัญญาไปกว่า 5 พันตารางเมตร
กรณีพื้นที่พาณิชย์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พบว่า มีการใช้พื้นที่จริงกว่า 25,828 ตารางเมตร เกินสัญญาไปกว่า 5 พันตารางเมตรเช่นกัน
พูดง่ายๆ ว่า ทอท. และรัฐบาล ต้องบังคับคิงเพาเวอร์ทำตามสัญญา โดยจะต้องกลับไปใช้พื้นที่ตามสัญญาเดิม หากเคยใช้พื้นที่เกินสัญญาเดิมมาหมื่นตารางเมตร ก็ต้องโละทั้งหมื่นตารางเมตรนั้น แล้ว ทอท.ก็นำมาบริหารจัดการใหม่ ทำให้มีผู้ประกบการรายใหม่เข้ามา ดำเนินการแข่งขันกับรายเก่า โดยไม่ให้มีต้นทุนพิเศษเหมือนที่เจ้าเก่าเคยทำ ก็จะเกิดการแข่งขัน
นอกจากเกิดรายใหม่แล้ว รายเก่าก็จะต้องปรับตัวไปด้วย
7.ทางออก ต้องไม่ใช้วิธีการแบบ “ผักชีโรยหน้า”
เฉพาะหน้า ควรจะต้องควบคุมราคา มิให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค สร้างผลกระทบเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติส่วนรวมด้วย ซึ่งถ้าในสัญญามีข้อกำหนดควบคุมราคาอยู่แล้ว ก็ควรสร้างระบบกำกับติดตามบังคับใช้อย่างเข้มงวด มิใช่ปล่อยให้มีการร้องเรียนซ้ำซาก จนผู้บริโภคเหนื่อยไปเอง
ประการสำคัญ ขณะนี้ สัญญาที่ ทอท.ให้สัมปทานกับบริษัทคิงเพาเวอร์ กำลังจะหมดอายุในปี 2563
รัฐบาล คสช. กระทรวงคมนาคม รวมถึงผู้บริหาร ทอท. ควรแสดงความเอาจริงที่จะใช้เป็นโอกาสปฏิรูป เปลี่ยนแปลงระบบที่ก่อให้เกิดสภาพปัญหาอันขมขื่นเช่นนี้
อย่าคิดทำซ้ำรอยรัฐบาลระบอบทักษิณ
โดยที่ผ่านมา มีการขยายสัญญาให้คิงเพาเวอร์ 2 ครั้ง รวม 4 ปี ทำให้สัญญาที่ควรจะหมดไปแล้ว ยังมีอายุยืนยาวต่อไปอีก กระทั่งมีอายุถึงปี 2563 โดยครั้งหนึ่ง ได้อ้างความเสียหายจากการชุมนุมการเมืองที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งน่าสงสัยว่า การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาทั้งสองครั้งนั้น ดำเนินกระบวนการตามแบบและวิธีการที่กฎหมายกำหนด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ อย่างถูกต้องหรือไม่
การบริหารจัดการเชิงนโยบาย สำหรับพื้นที่ดิวตี้ฟรีและพื้นที่พาณิชย์ ในสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งสนามบินดอนเมือง และสนามบินนานาชาติอื่นๆ ด้วย ในเมื่อทราบแล้วว่าเป็นพื้นที่ผูกขาดดังกล่าวในตอนต้นไว้แล้วนั้น ควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ดังนี้
กรณีดิวตี้ฟรี ไม่ควรให้เอกชนรายใดรายหนึ่งผูกขาดรายเดียว ควรมีเอกชนเข้ามาแข่งขันกันอย่างน้อย 3 ราย
กรณีพื้นที่พาณิชย์ ไม่ควรผ่องถ่ายอำนาจผูกขาดให้เอกชนรายเดียวบริหารจัดการ หากินทั้งจากผู้ประกอบการรายย่อยและโขกสับผู้บริโภคแบบนี้อีกต่อไป โดย ทอท.สามารถจัดสรรได้เอง พร้อมข้อกำหนดที่คำนึงถึงการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อประโยชน์ในระยะยาวของกิจการสนามบิน อันเป็นภารกิจหลักของ ทอท
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี