หลายคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการด้านจิตเวชอาจไม่รู้ว่ากำลังเกิดปัญหาใหญ่ในการให้บริการด้านจิตเวชกับผู้ป่วยในประเทศไทย ปัญหาที่ว่านั้นเกิดมาจากการมองไม่เห็นความสำคัญของพยาบาลจิตเวช ปัญหานี้จะหนักและใหญ่มากยิ่งขึ้น หากพยาบาลจิตเวชหายไปจากสังคม
ประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขปรับโครงสร้างและการบริหาร โดยกระจายนโยบายสู่ภาคปฏิบัติแบบเขตสุขภาพ คือส่วนกลางนำสถานการณ์สุขภาพประชาชนมากำหนดเป็นนโยบาย และให้ปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับบริบทปัญหาในแต่ละพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นที่มาของการบรรจุงานสุขภาพจิตและยาเสพติดเข้าสู่แผนสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม มีการกำหนดโครงสร้างงานในสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ กำหนดหน้าที่ของบุคลากรด้านจิตเวช กำหนดภาระงานและกรอบอัตรากำลังว่าแต่ละงานต้องใช้บุคลากรเท่าไร
จากเดิมที่คนในสังคมไทยส่วนหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยต่างก็มีทัศนคติต่อผู้ป่วยจิตเวชในเชิงลบ จนเกิดการตีตราคนไข้จิตเวชว่าเป็นคนบ้า เมื่อไรก็ตามที่คนไข้เข้าพบจิตแพทย์หรือหน่วยงานจิตเวช คนไข้จะได้รับของแถมมาเสมอว่าเป็นคนไข้จิตเวช ทั้งที่ความเป็นจริงบางคนมาปรึกษาเรื่องนอนไม่หลับเพราะเครียด คนไข้จิตเวชจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ อีกทั้งไม่มีผู้ดูแลหลัก บางรายถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสนใจ
แม้แต่แพทย์บางคนก็ตาม หลายครั้งก็มีอคติ เมื่อไรก็ตามที่คนไข้จิตเวชป่วยด้วยโรคทางกาย อาการทุกอย่างของคนไข้จะถูกคิดโดยอัตโนมัติว่าเนื่องมาจากอาการทางจิต ผู้ป่วยจิตเวชบางโรค เช่น ติดสุรา โรคซึมเศร้าหรือโรคจิตเรื้อรัง เมื่อรักษาจนอาการสงบ คนไข้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ หลายคนเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นกำลังสำคัญของบ้าน หรือเป็นผู้ดูแลหลักของผู้สูงอายุในบ้าน แต่เพราะทัศนคติด้านลบ ทำให้คนไข้จิตเวชจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ ขาดโอกาสรับการรักษา เพราะกลัวคนอื่นจะหาว่า “บ้า” และถึงแม้อยากไปรักษา แต่หน่วยบริการใกล้บ้านก็ไม่จัดบริการให้
ตลอดช่วงเวลา 3 ปีของการเปลี่ยนแปลง งานสุขภาพจิตและจิตเวชได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะจิตแพทย์มีเพิ่มขึ้น (เพราะยังขาดแคลนเช่นเดิม) แต่ฟันเฟืองที่สำคัญคือ “พยาบาลจิตเวช”
มีประโยคหนึ่งที่บุคลากรด้านจิตเวชมักพูดเล่นกันในวงการคือ “ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่พยาบาลไทยทำไม่ได้” หมอขอยืนยันประโยคนี้ด้วยข้อมูลเพื่อให้ทราบว่า พยาบาลจิตเวชทำอะไรบ้าง
นี่คือภาระของพยาบาลจิตเวช 1)งานแผนกผู้ป่วยนอกแผนกจิตเวชและอื่นๆ 2)รับดูแลผู้ป่วยใน 3)รับปรึกษาจากแผนกผู้ป่วยนอกแขนงอื่น 4)รับปรึกษาจากแผนกฉุกเฉิน (กรณีขอคำปรึกษาด้านจิตเวช) 5)รับปรึกษาจากโรงพยาบาลชุมชนในเครือข่าย 6)การจัดการภาวะวิกฤติทางอารมณ์ (crisis intervention) กรณี คลอดตาย เช่น แม่ตาย ลูกตาย 7)งานให้คำปรึกษา (counselling) 8)งานการดูแลเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง 9)ร่วมสืบพยานเด็ก กรณีเด็กเป็นเหยื่อ หรือเด็กเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย 10)การจัดประเมินและดูแลเบื้องต้นเมื่อเกิดภัยพิบัติ (disaster management) 11)ดูแลกรณีคนสติไม่ปกติหรือก่อความรุนแรงที่อยู่ในสังคม 12)ปัญหาพฤติกรรมของเด็กและวัยรุ่น 13)เยี่ยมผู้ป่วยที่จำหน่ายออกจากโรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิต (ร.พ.จิตเวช) 14)รับส่งต่อตามระบบส่งต่อ 15)ออกตรวจประเมินผู้ป่วยจิตเวชที่โรงพยาบาลชุมชน และรายงานจิตแพทย์เพื่อร่วมวางแผนให้การดูแล 16)งานบำบัดผู้ติดสุราและสารเสพติด ยังไม่นับสารพัดอีกแผนงานโครงการของกรมสุขภาพจิต กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย หรือรัฐบาล
งานสุขภาพจิตและจิตเวชก้าวหน้าขึ้นตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพราะการปรับนโยบายและโครงสร้าง ทำให้เกิด “กำลังพล” และเกิด “คนหน้างานเชิงรุก” คนที่รุกไปฉีดยาให้คนไข้จิตเวชถึงบ้าน คนที่ออกไปค้นหาคนไข้รายใหม่ ติดตามคนไข้รายเก่า ปลดโซ่ตรวนคนไข้ที่ถูกล่ามขัง จัดยาและนำยาไปให้ถึงบ้าน กล่าวได้ว่า “พยาบาลจิตเวชคือผู้ที่อยู่บ้างหลังความสงบของชุมชน” เป็นผู้ที่ปิดทองหลังพระมาโดยตลอด
แต่เมื่อกลางปี 2560 ได้มีการพิจารณากรอบงานสุขภาพจิตและจิตเวช รวมถึงการกำหนดกรอบอัตรากำลังขึ้นมาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทงาน ผลการพิจารณากรอบของพยาบาลจิตเวชที่จะปฏิบัติงานในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (คือไม่ใช่โรงพยาบาลจิตเวชหรือสถาบันธัญรักษ์) ซึ่งรับผิดชอบโดย “กองการพยาบาล สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข” คิดค่าภาระงาน (FTE) แค่ 1.9 คือ งานทุกอย่างของพยาบาลจิตเวชที่กล่าวมาตอนต้น คิดว่าใช้พยาบาลจิตเวชแค่ 1.9 คนเท่านั้น https://hr.moph.go.th/…/v…/v%201707%2014%20june%2060%201.pdf
เมื่อกรอบนี้ถูกประกาศ มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของจิตแพทย์ผู้อยู่หน้างาน เช่น คนคิดกรอบนี้ทำงานหน้างานจริงหรือไม่ ข้อมูลที่นำมาคิดกรอบเป็นข้อมูลปัจจุบันหรือไม่ มีตัวแทนพยาบาลจิตเวชในโรงพยาบาลทางกายเข้าไปร่วมหารือเพื่อกำหนดกรอบหรือไม่ ฯลฯ เหตุที่ต้องมีคำถามเหล่านี้เกิดขึ้น ก็เพราะงานที่พยาบาลจิตเวชทำ ไม่มีทางที่จะทำได้โดยใช้คนเพียง 1.9 หรือ 2 คน ดังที่กำหนดในกรอบ
“งานสุขภาพจิตและจิตเวชไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้” เพราะการทำงานกับคนไข้จิตเวชและครอบครัว ต้องอาศัยทักษะการสื่อสาร การประเมินทั้งอาการและสถานการณ์ ผู้ที่จะลงเยี่ยมบ้านคนไข้จิตเวชได้นั้น คนไข้และครอบครัวจะต้องมีความไว้วางใจกันและกันอย่างมาก ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลร้าย เพราะถ้าคนไข้ไม่ไว้วางใจก็ไม่ร่วมมือ และขาดการรักษา
ก่อนที่พยาบาลจะเปลี่ยนเป็น “พยาบาลจิตเวช” ต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างหนัก ผ่านการดูแลคนไข้จิตเวชในโรงพยาบาลจิตเวช ลงหน้างานจริง และฝึกปรือฝีมือจนชำนาญ จึงจะทำงานจิตเวชได้ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา การหาพยาบาลที่พร้อมและมีคุณสมบัติการเป็นพยาบาลจิตเวช ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเส้นทางความก้าวหน้าของพยาบาลจิตเวชแทบจะไม่มี พยาบาลจิตเวชปัจจุบันแทบทุกคนทราบและยอมรับเส้นทางนี้ แต่ยังเลือกที่จะเรียนและฝึกฝนเป็นพยาบาลจิตเวช เพราะ “ใจรัก”
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา พยาบาลจิตเวชหวังอยู่เสมอว่างานสุขภาพจิตและจิตเวชที่ทำมามากมาย จะได้รับการเหลียวแล ได้รับการดูแลใจใส่บ้าง รวมถึงหวังว่าจะมีใครสักคนเห็นความสำคัญอย่างจริงจัง แล้วช่วยสร้างเส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพให้พยาบาลจิตเวช เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ยังคงมีพยาบาลไปทำงานด้านสุขภาพจิตและจิตเวชต่อไป
แต่เมื่อกรอบอัตรากำลังด้านบุคลากรด้านสุขภาพจิตและจิตเวชได้ถูกประกาศออกมาล่าสุด กลับก่อให้เกิดความสิ้นหวังอย่างมากกับพยาบาลจิตเวชผู้อยู่หน้างาน จากเดิมที่โรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลทั่วไปที่เคยมีพยาบาลจิตเวช 2-4 คน กลับกลายเป็น “ไม่มีที่ให้อยู่” แล้วถูกยุบไปรวมกับพยาบาลชุมชน แถมด้วยงานยาเสพติด แล้วงานด้านนี้ก็ยังถูกปรับลงไปที่งานปฐมภูมิ ทั้งๆ ที่ผ่านมา พยาบาลจิตเวชและยาเสพติดเป็นผู้บุกเบิกกรุยเส้นทางการเข้าถึงบริการในโรงพยาบาลชุมชนให้คนไข้มานานร่วม 10 ปี
พยาบาลจิตเวชหลายรายสะท้อนปัญหามาว่า “เหมือนถูกเหยียบซ้ำ” แต่เดิมเขาก็ไม่มองว่าเราก็เป็นพยาบาล แต่เขามองว่า เราเป็นลูกน้องของจิตแพทย์ อะไรๆ ที่เป็นความก้าวหน้าทางการพยาบาล เราไม่เคยถูกมองเห็น เพียงเพราะเราไม่ได้สังกัดกลุ่มงานการพยาบาล แต่งานที่เราทำนั้น คืองานการพยาบาลจิตเวชทั้งสิ้น
เสียงสะท้อนเหล่านี้จะดังถึงผู้มีอำนาจในกระทรวงสาธารณสุขหรือไม่ หมอยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าวันหนึ่งที่ “พยาบาลจิตเวช” ถูกจัดให้ไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่งานจิตเวชแล้ว “คนไข้โรคจิตเภทอาการสงบ” เพราะได้รับความไว้ใจให้พยาบาลจิตเวชใจดีที่เขาคุ้นเคยฉีดยาให้เดือนละครั้ง แต่ถ้าหาเขาไม่ยอมให้ใครฉีดยาให้ หรือไม่ยอมให้เข้าใกล้ได้อีกต่อไป แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาและกับสังคม
มองอีกมุมว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้พยาบาลชุมชนที่ทำงานต่อตามกรอบใหม่ไปเพิ่มพูนทักษะด้านสุขภาพจิตและจิตเวชก็แล้วกัน ก็ต้องถามต่อไปว่า แล้วทำได้จริงหรือไม่ คำถามคือ เพราะอะไรเราจึงจะกลับไปเริ่มต้นที่เลข 1 กันใหม่ เพราะอะไรเราถึงไม่เปิดทางให้เหล่า “ขุนพลพยาบาลจิตเวช” ที่ชำนาญการศึกในวงการจิตเวชอยู่แล้วเป็นผู้ลุยศึกนี้
ก่อนสิ้นปีงบประมาณทุกปี ทุกหน่วยในกระทรวงสาธารณสุขจะต้องเขียนแผนของงบประมาณเพื่อจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ บางหน่วยขอเงินเกือบ 100 ล้านบาท แล้วงานจิตเวชเล่า เครื่องมือที่สำคัญที่สุดของงานสุขภาพจิตและจิตเวช คือ “คน” และต้องเป็นคนที่มีใจรักงานจิตเวช
นี่คือที่มาที่หมอและคนไข้ จำเป็นต้องขอพยาบาลจิตเวชผู้เป็นที่รักของเรากลับคืนมา
หมายเหตุ : เนื้อหาในคอลัมน์สัปดาห์นี้มาจากการสะท้อนปัญหาโดยจิตแพทย์กลุ่มหนึ่ง ที่ฝากข้อความให้คอลัมน์นี้ช่วยบอกกล่าวกับสังคม และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี