บัดนี้คงเป็นที่ตระหนัก ซึ้งใจกันทั่วหน้าว่า ฝ่ายกองทัพที่เข้ามายึดอำนาจรัฐไว้ คงประสงค์จะยึดอำนาจต่อไปเรื่อยๆ หมายความว่า ฝ่ายกองทัพจะเป็นส่วนหนึ่งของการบ้านการเมืองไทยอีกนานปี วันนี้ฝ่ายกองทัพจึงจัดได้ว่า เป็นองค์กรการเมืองหนึ่งของไทย ฉะนั้นการเมืองไทยจะเป็นสังคมประชาธิปไตยแบบ“ไทยๆ” คือปฏิเสธหลักประชาธิปไตยสำคัญที่ว่า“ฝ่ายข้าราชการประจำรวมถึงฝ่ายกองทัพ ต้องขึ้นกับฝ่ายการเมืองพลเรือน(Civilian Rule) โดยไม่เข้ามาเล่นหรือมีบทบาททางการเมืองใดๆ”
ในมุมมองของฝ่ายกองทัพที่ต้องกระทำเช่นนี้ ก็มีหลายสาเหตุด้วยกัน (โดยเรื่องจะผิดจะถูกทำนองคลองธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) อาทิ
1.ค่านิยมและความเชื่อว่า ฝ่ายกองทัพต้องดูแลความมั่นคงของชาติ ทั้งที่ชายแดนและในดินแดน
2.ความทะเยอทะยานที่ต้องการมีตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง ทั้งในระหว่างและภายหลังการรับราชการ
3.ความเหนื่อยหน่ายที่ต้องออกมายึดอำนาจ อันสืบเนื่องจากความล้มเหลวของฝ่ายการเมืองอาชีพที่ทำให้บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย ฉะนั้นแทนที่จะต้องเข้ามาแก้ไขเป็นครั้งเป็นคราวอีก ก็คิดว่าเข้ามาอยู่เสียเลยดีกว่า จะได้ควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งจะได้ปิดช่องการประท้วงโดยประชาชนทั่วไปและปิดทางความโฉเก ฉาวโฉ่ของฝ่ายการเมืองอาชีพ
4.ความคิดเห็นดีเห็นงามกับระบบศูนย์รวมอำนาจเช่นแบบของจีน ซึ่งโดยทั่วไปกำกับให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ และอำนวยให้การพัฒนาเศรษฐกิจเคลื่อนตัวไปได้ แต่เรื่องสิทธิเสรีภาพไม่ต้อง พูดถึง เอาความสงบและท้องอิ่ม แลกกับการมีสมองตีบ และรับคำสั่งจากเบื้องบน
5.ความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์พวกฝ่ายการเมืองอาชีพว่า ชอบเบ่ง โอ้อวด จองหอง ทำตัวมีอำนาจบาตรใหญ่กับฝ่ายข้าราชการ แถมมองพวกฝ่ายการเมืองไม่รักชาติ แล้วยังมุ่งประโยชน์เข้าตัวกัน
โดยสรุป ฝ่ายกองทัพนั้นอยู่กับพลังอำนาจมาตั้งแต่ที่ห้องเรียน ก็เลยคุ้นเคยและฝังลึกในความคิดและสายเลือด หรือนัยหนึ่งเติบโตมาเป็นพวกอำนาจนิยมโดยธรรมชาติ คิดและเชื่อว่า การใช้อำนาจและพลังอาวุธควบคุมนั้น ดีสำหรับประเทศไทย ณ วันนี้ และในอนาคต
ฝ่ายกองทัพจึงไม่คุ้นเคย ไม่รู้จักและไม่เชื่อขีดความสามารถของมนุษย์(คนไทย)ที่จะพูดจา ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจและร่วมทำกัน ฝ่ายกองทัพคุ้นเคยกับระบบสั่งการจากข้างบนสู่ข้างล่าง และไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยสร้างและปลูกฝังได้ และต้องทดลองกันไป เพื่อจะได้เก่งกล้าสามารถขึ้น 85 ปีที่ผ่านมา แม้ประชาชนจะล้มลุกคลุกคลาน ถอยหน้าถอยหลังบ้าง แต่ชาวไทยก็มีความเป็นนักประชาธิปไตยมากขึ้นเป็นลำดับ และต้องพัฒนากันต่อไป ซึ่งมิได้เกินวิสัย เพราะถ้าคนไต้หวัน หรือคนเกาหลีใต้ เขาทำได้ แล้วทำไมไทยเราจะเป็นพลเมืองประชาธิปไตยเต็มใบบ้างไม่ได้เล่า
แต่เมื่อฝ่ายกองทัพไทยยึดติดความคิดแบบอำนาจนิยมดังกล่าว พฤติกรรมต่างๆที่ทำมาตลอดเกือบจะครบ 4 ปี ของการครองอำนาจนั้น ก็สะท้อนว่า ได้คิดอ่านใหญ่โตที่จะกุมอำนาจต่อไปอย่างถาวรเรียกได้ว่า มีการออกแบบแผน (design) และมีก้าววางจังหวะ (strategy) อย่างแนบเนียน ค่อยๆ รุกคืบ สร้างคะแนนนิยม ปลูกฝังความคิดเพื่อเสริมสร้างการยอมรับ และบัดนี้ วลีประชาธิปไตยแบบไทยๆ (ทหารมีและอยู่ในอำนาจรัฐ) ก็เริ่มติดตลาด แถมมีสมุนรับใช้ทำตัวเป็นกระบอกเสียงกันเป็นแถว ควบกับการมุ่งหวังว่า จะได้ตำแหน่งแห่งหนในรัฐบาลประชาธิปไตยแบบทหารนำพาด้วย
มองย้อนกลับไป กองทัพได้จัดเวทีให้คู่กรณีทั้งหลายพบปะ(ประมาณ 2 วัน) แล้วก็ประกาศยึดอำนาจ กักขังผู้เข้าร่วมไว้ชั่วคราว จากนั้นฝ่ายการเมืองอาชีพก็ถูกคุมเข้มงวด แถมยังถูกตีตราหน้า ตีตราบาปว่า เป็นกลุ่มคนไทยที่ทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิง แล้วก็ยกยอ เชิดชูคุณงามความดีขององค์บุคคลคือ หัวหน้าคณะปฏิวัติ มีการพูดจากับประชาชนพลเมืองแบบโฆษณาชวนเชื่อทุกวันศุกร์ พร้อมด้วยรายการเดินหน้าประเทศไทยว่าด้วยผลงานและความดีงามเก่งกล้าสามารถของฝ่ายรัฐบาลกองทัพ
เมื่อปฏิวัติแล้ว ก็สัญญากับสังคมว่า จะมาปฏิรูปประเทศ จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และจะลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยจะทำหน้าที่ในเวลาอันจำกัด แล้วจะลงจากเวทีจากไป
3 ปีกว่าที่เห็นๆ กัน คือ การจัดตั้งองค์การปฏิรูปมากมาย แต่ผลการปฏิรูปจับต้องไม่ได้ หรือถ้ามีก็มิได้เป็นเรื่องสลักสำคัญ แต่ดูจะมีผลให้มีการกระจุกตัวของอำนาจที่ส่วนกลาง หรือเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายข้าราชการประจำมากขึ้น
ส่วนการปฏิรูปการเมืองก็เป็นเรื่องการตีกรอบ จำกัดจำเขี่ยฝ่ายการเมืองอาชีพให้อ่อนเปลี้ย ขาดความยืดหยุ่นคล่องตัว ที่สำคัญรัฐธรรมนูญที่ออกมาก็ขาดการมีส่วนร่วม เป็นฉบับฝ่ายกองทัพรัฐบาลสั่งการ แล้ววางเส้นทางการอยู่ต่อในอำนาจของกองทัพ ในทำนองเพื่อให้ประเทศไทยจะได้เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ
การทำงานด้านเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องฝ่ายรัฐบาลกองทัพร่วมแรงร่วมใจกับกลุ่มทุนใหญ่ ทั้งในโครงการยักษ์ๆและโครงการประชารัฐ เป็นการเอื้อกลุ่มทุนใหญ่โต มีบทบาทและช่องทางการเมือง ขณะที่ฝ่ายประชาสังคม ฝ่ายชุมชน ฝ่ายประชาชน แม้กระทั่งฝ่ายธุรกิจขนาดเล็กและย่อม ถูกกันออก ไม่ได้มีซุ่มเสียงแต่อย่างใด
นอกจากนั้นก็ซื้อคะแนนนิยมด้วยโครงการประชานิยม ที่เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ประชารัฐ ซึ่งเงินที่จ่ายไปก็กลับมาที่กลุ่มทุนแวดล้อมฝ่ายรัฐบาลกองทัพ มิได้พัฒนาเศรษฐกิจจริงจัง นอกจากเพิ่มลัทธิบริโภคนิยม(ส่วนหนึ่งก็ถูกนำไปใช้หนี้หรือสู่วงการพนันขันต่อ) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเงินภาษีของส่วนรวม แต่ส่วนรวมมิได้มีซุ้มมีเสียงแต่อย่างใด
การรัฐประหารเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ เป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ฝ่ายกองทัพทหารก็ยกโทษให้ตนเอง ลอยตัวไปอยู่เหนือความขัดแย้ง แต่กุมอำนาจรัฐเต็มที่ ขณะที่เรื่องพัฒนาเสรีประชาธิปไตย เรื่องนิรโทษกรรมเพื่อการปรองดองและสามัคคีสมานฉันท์ ถูกลืมอย่างสิ้นเชิง คือขาดความจริงจังและจริงใจที่จะรับงานสำคัญนี้
บรรดาผู้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องเพื่อราชอาณาจักรไทยก็คอตกเดินขึ้นศาลเป็นแถว ขณะเดียวกันพวกตัวการทำลายชาติยังอยู่กันอย่างลอยนวล จะมีก็พวกลิ่วล้อที่ได้เดินขึ้นศาลบ้างเท่านั้น ทั้งๆที่ก่อกรรมทำเข็ญกับประเทศชาติ ต่างกับฝ่ายแรกที่ออกมาต่อสู้ขัดขวางการทำลายประเทศ แต่ไม่ว่าอธิบายความอย่างไร ฝ่ายรัฐบาลกองทัพก็ยังเฉยเมย เหมารวมไปหมด และลืมสำนึกในบุญคุณ ความเสียสละต่างๆของผู้ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ที่ส่งผลให้ฝ่ายรัฐบาลกองทัพมานั่งหน้าเชิดในอำนาจอยู่ ณ วันนี้
สรุปได้ว่า ฝ่ายกองทัพได้เปิดตัวเป็นองค์การการเมืองเต็มที่ และได้มีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมาย แล้วก็ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด แต่คำถามที่รออยู่ข้างหน้าคือ เมื่อเป็นผู้กุมอำนาจรัฐถาวรแล้ว ก็ต้องเผชิญกับประชาชนโดยตรง แล้วพร้อมหรือ และจะสู้ได้หรือ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี