เมื่อวานนี้ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม กล่าวถึงกรณีศาลปกครองกลางนัดคู่กรณีฟังคำพิพากษารื้อคดีก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ หลังจากเมื่อปี 2560 กระทรวงการคลัง และกรมควบคุมมลพิษ ขอให้ศาลเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายเกือบหมื่นล้านบาท ให้แก่ กว่าฝ่ายเอกชนผู้รับเหมา
รองนายกฯ ระบุว่า ถ้าศาลตัดสินอย่างไรต้องปฏิบัติไปอย่างนั้น โดยเรื่องนี้เป็นการขอให้พิจารณาใหม่ เพราะในอดีตศาลปกครองสูงสุดเคยมีการตัดสินมาแล้วแต่เนื่องจากมีข้อมูลใหม่เกิดขึ้น คือ กรณีศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษนายปกิตกิระวานิช อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษกับพวก ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ในคดีคลองด่าน ระบุว่าเอื้อประโยชน์แก่เอกชนมิชอบ จึงมีการนำข้อมูลมาใช้ต่อสู้ใหม่ ครั้งนี้ ศาลจะตัดสินอย่างไร รัฐบาลยังไม่ควรพูดอะไรทั้งนั้น แต่คำตัดสินครั้งนี้ถือเป็นที่สุด หากรัฐแพ้คดีจะต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้กับเอกชน แต่ถ้ารัฐชนะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว ซึ่งจะสามารถรักษางบประมาณได้จำนวนมาก
1. มหากาพย์โกงคลองด่าน ยังตามหลอกหลอนคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก
หากนับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ เมื่อเดือนสิงหาคม 2540 จนถึงวันยุติโครงการเนื่องจากพบปัญหาทุจริตหรือกระทำผิดกฎหมาย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2546 รัฐได้จ่ายเงินแผ่นดินแก่กลุ่มเอกชนไปแล้ว 3 เด้ง ได้แก่
เด้งที่หนึ่ง ค่าที่ดินที่ใช้ในโครงการ 1,903 ไร่ เป็นเงิน 1,956 ล้านบาท ซึ่งแพงกว่าราคากลางของสำนักงานที่ดินสมุทรปราการ ณ ขณะนั้น กว่าหนึ่งพันล้านบาท แถมมีการใช้อำนาจการเมือง ออกโฉนดโดยมิชอบ ทับคลองสาธารณะ แล้วเอามาขายให้รัฐ
เด้งที่สอง ค่าก่อสร้างระบบบำบัดและค่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา เป็นเงิน 17,045 ล้านบาท และกับอีก 121 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการดำเนินการก่อสร้างโครงการเรื่อยมาเป็นงวดๆ
และเด้งที่สาม คือ ค่าโง่ อันเป็นผลจากการที่ฝ่ายผู้รับเหมาฟ้องศาลปกครอง ขอให้ศาลบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ให้กรมควบคุมมลพิษ จ่ายค่าจ้าง ค่าเสียหาย รวมดอกเบี้ย หลังยุติโครงการ พอกพูนจาก 5 พันกว่าล้านเป็น 9 พันกว่าล้านบาทนั่นเอง
ยอดตัวเลขที่พูดกันในวันนี้ คือ เงินในเด้งที่สามนี่เอง
2. คนไทยช้ำอกช้ำใจมาก กับโครงการนี้ เพราะนักการเมืองบางกลุ่มบางพรรคได้เข้าไปมีเอี่ยว
การตรวจสอบโครงการ พบการกระทำผิด มีการทุจริตประพฤติมิชอบของนักการเมืองและข้าราชการมากมาย หลายกรณี แต่ในยุครัฐบาลนักเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีครั้งไหนที่ภาครัฐได้ตั้งหลักสู้อย่างเป็นระบบ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดินอย่างเต็มที่
บางยุค เข้าไป “ตีเมืองขึ้น” หรือเอาไปเป็นเงื่อนไขต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง
บางยุค พรรคพวกผู้รับเหมาเป็นรัฐบาล หมดหวังที่จะจัดการอะไร
กลุ่มผู้รับเหมาดำเนินการก่อสร้างโครงการจัดการน้ำเสีย มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองผู้กว้างขวาง
ป.ป.ช. มีมติเมื่อปี 2550 ชี้มูลความผิดนายวัฒนา อัศวเหม กับเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ฐานใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินให้ และออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบรุกล้ำที่ดินสาธารณประโยชน์ หลังจากนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา เมื่อปี 2551 ในคดีหมายเลขดำที่ อม.2/2550 และคดีหมายเลขแดงที่ อม.2/2551 จำคุกนายวัฒนา 10 ปี เนื่องจากมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) มาตรา 148 แต่ปัจจุบัน นายวัฒนายังหลบหนีอยู่
อีกคดี กรมควบคุมมลพิษเป็นโจทก์ ฟ้องกิจการร่วมค้ากับพวกรวม 19 ราย เป็นความอาญาข้อหาฉ้อโกง ต่อศาลแขวงดุสิต ระบุพฤติการณ์มีลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ กลุ่มหนึ่งเป็นผู้รวบรวมที่ดินนำขายให้รัฐ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ก่อสร้างโครงการ มีความสัมพันธ์กัน โดยทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินออกโฉนดมิชอบ แล้วนำมาขายให้กับรัฐใช้ก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยไม่มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญร่วมดำเนินการ มีเจตนาทำให้รัฐเสียหาย นำผลประโยชน์ไปแบ่งปันกัน ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2552 ศาลแขวงดุสิตอ่านคำพิพากษา ระบุว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 19 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษจำคุก คนละ 3 ปี (จำเลยที่เป็นบุคคล) ฝ่ายจำเลยยื่นอุทธรณ์
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง ฝ่ายจำเลยไม่มีความผิด
ปัจจุบัน คดียังอยู่ในชั้นศาลฎีกา
สะท้อนว่า โครงการนี้มีปมปัญหาชัดเจน
แต่เมื่อปี 2554 อนุญาโตฯ ตัดสินให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายเงินที่ค้างอยู่กับกิจการร่วมค้า เป็นเงินที่ค้างชำระและดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี และค่าเสียหายอื่นๆ รวมเป็นเงินกว่า 9 พันล้านบาท และเมื่อ คพ.ในยุคนั้น นำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ชี้ขาดว่า “คำตัดสินของอนุญาโตฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” ปรากฏว่า ทั้งศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ต่างมีคำพิพากษาว่าคำตัดสินของอนุญาโตฯ ชอบด้วยกฎหมาย
กระทั่งมายุครัฐบาล คสช. ถึงได้ตั้งหลัก เดินหน้าตรวจสอบ ทบทวน วางแนวทางการต่อสู้คดี รวบรวมหลักฐาน ระดมสรรพกำลังภาครัฐ บูรณาการทำงาน เพื่อปกป้องความเป็นธรรมแก่ประเทศชาติส่วนรวม
ปปง.ได้ดำเนินการอายัดสิทธิเรียกร้องในหนี้ (ค่าโง่) ตามข้อตกลงที่กรมควบคุมมลพิษจะต้องจ่ายให้แก่ กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG จำนวน 2 งวดที่ค้างอยู่
โดยอ้างอิงคำพิพากษาในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ อ.4197/2558 ลงวันที่ 17 ธ.ค. 2558 ซึ่งพิพากษาว่าจำเลยทั้ง 3 คน ประกอบด้วย นายปกิต กิระวานิช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ จำเลยที่ 1 นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ จำเลยที่ 2 และ นางยุวรี อินนา อดีตนักวิชาการสิ่งแวดล้อม 7 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี ฐานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและประชาชน ทำให้รัฐจัดซื้อที่ดินที่ออกโดยมิชอบ ต้องจ่ายค่าที่ดินและค่าก่อสร้างโครงการไปกว่า 2 หมื่นล้านบาท แต่ไม่สามารถดำเนินโครงการเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้สำเร็จ และจากกรณีดังกล่าวมีกลุ่มบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ คือกลุ่มกิจการร่วมค้า ที่มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการวางแผนและการดำเนินการตามแผนเพื่อเอื้อประโยชน์หลายขั้นตอน
แม้รัฐบาลจะได้จ่ายเงินงวดแรกให้แก่กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2558 จำนวน 2,380,936,174.53 บาท และ 16,288,391.55 เหรียญสหรัฐ ก็เนื่องจากคำพิพากษาศาลปกครองเขียนว่าสัญญาถูกต้อง ครม.จึงมีมติเห็นชอบให้จ่าย ต่อมาศาลอาญาตามคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขแดง ที่ อ.4197/2558 ลงวันที่ 17 ธ.ค. 2558 ได้วินิจฉัยในข้อเท็จจริงว่า “กิจการร่วมค้า NVPSKG และกลุ่มเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับกรมควบคุมมลพิษ ได้ร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริง ดำเนินการเสนอเข้าประกวดราคาในแต่ละขั้นตอนโดยทุจริต มีจำเลย 3 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกับ ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ ปฏิบัติหน้าที่โดยเลือกดำเนินการแต่ละขั้นตอนไปในทางที่ขัดต่อระเบียบทางราชการมติคณะรัฐมนตรี และไม่ชอบด้วยกฎหมาย สนองรับดำเนินการให้อันเป็นการทุจริต และเอื้อประโยชน์เพื่อช่วยเหลือจนทุกๆ ขั้นตอนบรรลุผลสำเร็จ” ปปง.เห็นว่า จากข้อเท็จจริงนี้ แสดงให้เห็นว่าสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทุจริตของอธิบดีและเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษในขณะนั้น สมคบกับกิจการร่วมค้าในทุกขั้นตอนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มเอกชนได้เข้ามาเป็นคู่สัญญา จึงเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ซึ่งมีผลในทางกฎหมายให้สัญญาดังกล่าวเสียเปล่ามาตั้งแต่ต้น กระทั่งตอนนี้ได้เพิกถอนโฉนดดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว
คณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 7/2559 เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2559 มีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด กรณีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ในการทุจริตและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายจากโครงการออกแบบร่วมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามข้อตกลงที่กรมควบคุมมลพิษจะต้องจ่ายให้แก่ กลุ่มกิจการร่วมค้าNVPSKG จำนวน 2 งวด
หลังจากนั้น ยังเดินหน้าตรวจสอบเส้นทางเงิน และอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมอีกหลายรายการ รวมทั้งเงินในบัญชีของผู้เกี่ยวข้อง นามสกุลนักการเมืองดังก็ไม่เว้น
หากสามารถถอนพิษค่าโง่คลองด่าน ล้างบางการทุจริตในมหากาพย์นี้ได้สำเร็จ ย่อมจะเป็นผลงานโบแดงของรัฐบาล คสช. ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นในยุคนักเลือกตั้งผสมพันธุ์กันเป็นรัฐบาล
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี