การเอาตัวรอดของบรรดาเหล่าคนใหญ่คนโตส่อไปในทางเอาสีข้างเข้าถูในภาวะจนแต้มว่าทรัพย์สินสีเทาของตัวเองที่กำลังถูกตรวจสอบเนื่องจากถูกสงสัยว่าซ่อนเบื้องหลังความไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ด้วยข้ออ้างที่ว่าทรัพสินสีเทา “ยืมมาจากเพื่อน และคืนไปแล้ว” กลายเป็นข้ออ้างยอดฮิตของเหล่าบิ๊กในช่วงนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เกิดกรณีอื้อฉาวสั่นสะเทือนถึงกับก่อวิกฤติศรัทธาอำนาจรัฐคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และกำลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตรวจสอบคือกรณีนาฬิกาหรู 25 เรือน ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ “บิ๊กป้อม” รองนายกฯและรมว.กลาโหม
กรณีนาฬิกาหรูนั้น “บิ๊กป้อม” อ้างว่าเป็นนาฬิกาที่เพื่อนสนิทคือ นายปัทวาท สุขศรีวงศ์” หรือ “เสี่ยคราม” นักธุรกิจเจ้าของบริษัทคอมลิงค์ ให้ยืมใส่ และคืนเพื่อนไปหมดแล้ว โดย “เสี่ยคราม” เป็นเพื่อนนักเรียนเซนต์คาเบรียลของ “บิ๊กป้อม” ตั้งแต่ชั้นป.1 โดยทั้งสองคบหาแนบแน่นมานานกว่า 60 ปี
และช่างเผอิญว่า “เสี่ยคราม” เสียชีวิตไปแล้วทำให้คดีของ “บิ๊กป้อม” ถูกตัดตอนอย่างสมบูรณ์ แต่ปัญหาสำคัญคือกระแสมหาชนไม่เชื่อถือในข้ออ้างของ “บิ๊กป้อม” จนกลายเป็นกระแสเรียกร้องให้ “บิ๊กป้อม” แสดงสปิริตไขก๊อก และนับวันจะลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤติศรัทธาต่ออำนาจรัฐเพื่อนพ้องน้องพี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ตลอดจนบรรดาโฆษกรัฐบาลและคสช.ที่ต่างออกมาแสดงท่าทีเชิงอุ้ม “บิ๊กป้อม” อย่างไม่สนใจกระแสมหาชน
จากกรณีนาฬิกาหรู “บิ๊กป้อม” ก็เกิดกรณีอื้อฉาวของระดับบิ๊กที่สั่นสะเทือนไปทั่ววงการกีฬาและวงการสีกากีหลังจากที่ก่อนหน้านี้ฝ่ายทหารและฝ่ายปกครองเข้าทลายสถานค้ามนุษย์ในคราบสถานบริการอาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเครท” กลางกรุง ซึ่งจากการขยายผลการสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมเรียก พล.ต.อ.สมยศ พุ่งพันธุ์ม่วง หรือ “บิ๊กอ๊อด” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) และนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย มาชี้แจงกรณีเงิน 300 ล้านบาท ที่พบว่ามีความเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับ เสี่ยกำพล วีระเทพสุภรณ์ เจ้าของวิคตอเรีย ซีเครท ที่ขณะนี้หลบหนีหมายจับไปได้อย่างลอยนวล
“บิ๊กอ๊อด” ชี้แจงผ่านสื่อก่อนหน้านี้ว่า เป็นเงิน 300 ล้านบาท ที่ตัวเองยืมมาจาก เสี่ยกำพล ซึ่งเป็นเพื่อนกันมานานแล้วเพื่อไปทำธุรกิจบางอย่าง แต่ก็ไม่บอกว่าเป็นธุรกิจอะไร
แต่ที่งานเข้าแบบผีซ้ำด้ำพลอยก็คือกรณีที่อดีตผบ.ตร.อย่างแรงคือกรณีที่ “บิ๊กอ๊อด” ไปให้สัมภาษณ์สื่อรายการหนึ่งระบุถึงปมร้อนเงิน 300 ล้านบาท ว่า “ตลอดชีวิตราชการตำรวจผมนี้เกือบจะเรียกว่าอาชีพตำรวจนี่เป็นไซด์ไลน์ พูดแล้วจะเหมือนคุย อาชีพหลักๆ ของผมคือทำธุรกิจ ซึ่งคนในแวดวงธุรกิจรู้เรื่องดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องหุ้น ผมนิยมมาก ผมมีรายได้หรือมีผลกำไรจากการเล่นหุ้น และเสียหายจากการเล่นหุ้นจำนวนมาก....”
“บิ๊กอ๊อด” เลยเจอวิกฤติศรัทธาที่ส่อไปในทางไม่น่าเชื่อถือใน 2 ประเด็นใหญ่คือประเด็นเงิน 300 ล้าน ที่อ้างว่ายืมมาจาก “เสี่ยกำพล” และคืนไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอกำลังแกะรอยว่าจะเป็นการร่วมลงทุนและฟอกเงินในธุรกิจสีเทาระหว่าง “บิ๊กอ๊อด” กับ “เสี่ยกำพล” หรือไม่เพราะขึ้นชื่อว่าคนวงการสีกากีกับธุรกิจสีเทาดูเหมือนจะเป็นของคู่กันไปได้สวย ยิ่งเป็นบิ๊กระดับเบอร์ 1 ของวงการสีกากียิ่งทำให้ธุรกิจสีเทาไหลลื่นได้สะดวกไร้อุปสรรค
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่ “บิ๊กอ๊อด” ระบุว่าการเป็นข้าราชการตำรวจเป็นแค่ “ไซด์ไลน์” โดยอาชีพหลักคือทำธุรกิจโดยเฉพาะเล่นหุ้น การพูดแบบนี้เท่ากับสร้างบรรทัดฐานแบบอย่างส่งเสริมให้วงการตำรวจ รวมทั้งเหล่าข้าราชการหันมาทำ “ไซด์ไลน์” กันเป็นล่ำเป็นสัน โดยอาชีพข้าราชการเป็นแค่อาชีพรอง อย่างนี้อาจทำให้ระบบราชการปั่นป่วนเสียหายเปิดช่องให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ “ไซด์ไลน์” ที่ไม่ชอบได้
เพราะฉะนั้นสองบิ๊กคือ “บิ๊กป้อม” กับ “บิ๊กอ๊อด” จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจกลายเป็นแบบอย่างและบรรทัดฐานอัปยศในการเอาตัวรอดของบรรดาบิ๊กทั้งหลายที่พอถูกตรวจสอบถึงที่มาของทรัพย์สินสีเทาก็จะอ้างว่ายืมเพื่อนมาและคืนไปหมดแล้วหวังตัดตอนยุติเรื่องราว ส่วนสาธารณชนจะเชื่อตามข้ออ้างหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งในกรณีของ “บิ๊กป้อม” กับ “บิ๊กอ๊อด” ดูเหมือนกระแสสังคมจะมีคำพิพากษาอยู่ในใจแล้ว ซึ่งอนาคตจะเป็นอย่างไรคงเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี