วันอาทิตย์สุดสัปดาห์ ผมมาเดินป่าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย
ผมชอบเดินชมธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้า โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเจอสิงสาราสัตว์อะไร เพียงแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว แต่ไปคราวนี้ ได้นึกถึงข่าวคราวกรณีข่าว “พรานเศรษฐี”
กรณีนายเปรมชัย กรรณสูต มหาเศรษฐี ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของประเทศ ถูกจับกุมดำเนินคดี ข้อหาล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ขณะนี้ได้รับประกันตัวออกไปต่อสู้คดี
ข่าวนี้ ถูกนำไปพูดคุยแทบจะทุกหัวระแหง ตั้งแต่ในแวดวงสังคมระดับสูง ในรายการทีวี สื่อสาธารณะต่างๆ ยันร้านกาแฟปากซอยในชุมชนทั่วประเทศ
ลองคิดๆ ดูแล้ว สังคมไทยเราได้อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้
1. การบุกรุกป่าล่าสัตว์ในป่าเขตพื้นที่อนุรักษ์บ้านเราไม่ใช่ของใหม่
มีกรณีพรานชาวบ้าน เข้าป่าล่าสัตว์ ถูกจับกุมอยู่เนืองๆ ทั้งเข้าไปวางกับดัก เข้าไปยิงสัตว์ เพื่อเอาเนื้อไปกินและขายหรือแม้แต่กรณีสื่อสังคมออนไลน์ ก็ถึงขนาดมีคนบางกลุ่มได้โพสต์ภาพการล่าสัตว์ โชว์กันอยู่เรื่อยๆ เช่น ไปยิงไก่ป่า ยิงไก่ฟ้า ยิงนกเงือก ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นการกระทำความผิดร้ายแรง
แต่กรณีเหล่านั้น ก็ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจเท่ากับกรณี “พรานเศรษฐี”
นอกจากสัตว์ที่ตกเป็น “เหยื่อ” ในกรณีนี้ จะมีทั้งเสือดำ ไกป่าหลังเทา และเก้งแล้ว สิ่งที่ทำให้ข่าวใหญ่และดังกว่ากรณีทั่วไป น่าจะเป็นเพราะสถานะของตัว “ผู้ล่า” ถูกจัดอยู่ในชนชั้นนำ ระดับอภิมหาเศรษฐี มีเครือข่ายเส้นสายกับผู้มีอำนาจในสังคมการเมืองทุกยุค
ข่าวนี้ ยังได้รับความสนใจ ถูกแพร่กระจายออกไปทั่วโลก โดยสำนักข่าวใหญ่ๆ หลายแห่ง
2. หากเป็น “พรานชาวบ้าน” ทำการล่าสัตว์ชนิดเดียวกับ “พรานเศรษฐี” มุมของข่าวอาจจะแตกต่างไปจากนี้ โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลผืนป่าคงจะต้องถูกเพ่งเล็ง และ “ตกเป็นจำเลยสังคม” มากกว่านี้ ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้ “พราน” นำอาวุธปืนลักลอบเข้าไปล่าสัตว์ป่าหายากได้เช่นนั้น จนเกิดความสูญเสียขึ้นมา
แต่ด้วยสถานะของ “พรานเศรษฐี” ทำให้สังคมพร้อมใจกันร่วมประณาม “ผู้ล่า” และพยายามช่วยเหลือเป็นหลังพิงให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลป่า เสมือนหนึ่งยกให้เป็นตัวแทนในการต่อสู้ครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี และสะท้อนถึงความเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ซึ่งต้องเผชิญกับข้อจำกัด เงื่อนไขทางสังคม และระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย ที่ฝ่าย “พรานเศรษฐี” สามารถใช้เป็นเครื่องมือของตนเอง กระทั่งสามารถเข้าไปกระทำการในครั้งนี้ได้อย่างอุกอาจ อุกฉกรรจ์
3. น่าสังเกตว่า “พรานชาวบ้าน” จะล่าสัตว์ก็เพื่อหาอาหาร และเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ คือ เอาเนื้อสัตว์ป่า หนังสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่าไปขาย เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง แต่สำหรับ “พรานเศรษฐี” การล่าสัตว์เป็นกิจกรรมความบันเทิง สันทนาการอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นเกมกีฬา ล่าเพื่อความสนุกสนาน ความพึงพอใจ เพื่อความรู้สึกของการเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเงินทอง
น่าสนใจว่า กิจกรรมกีฬาล่าสัตว์ จะใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่มีอำนาจ ไม่ว่าอำนาจเงิน อำนาจทุน หรืออำนาจปืน
ในอดีต การล่าสัตว์เป็นกีฬาของพระราชา แสดงออกถึงพระเดชานุภาพ ดังปรากฏในยุโรปหลายประเทศ
ในอดีต เมืองไทยยุคอำนาจเผด็จการทหารครองเมืองก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 นายทหารที่ถืออำนาจปืน ก็แสดงพลังอำนาจของตนเองผ่านการไปล่าสัตว์ อุกอาจถึงขนาดใช้เฮลิคอปเตอร์และทรัพยากรของหลวง
ปัจจุบัน กรณี “พรานเศรษฐี” ก็สะท้อนว่า กีฬาล่าสัตว์ยังมีความนิยมในหมู่คนระดับมหาเศรษฐีที่มีอำนาจทุนมหาศาลบางคน ซึ่งมีอำนาจทุนอยู่ในมือ
อาจมองได้ว่า มนุษย์ก็คือสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติของสัตว์มีสันดานดิบของการใช้อำนาจอยู่ในตัว หากไม่มีมโนธรรมสำนึกคอยควบคุม ก็จะใช้อำนาจข่มเหงสัตว์ตัวอื่นๆ ที่มีอำนาจด้อยกว่าตนเอง เช่นในป่าใหญ่ เสือก็จะล่าเนื้อเก้ง หรือหมีล่าสัตว์ป่าที่ตัวเล็กกว่าเป็นต้น
ส่วนในเมือง เราก็จะเห็นสุนัขไล่ล่าแมว หรือแมวไล่ล่าหนู เป็นต้น
น่าสังเกตว่า เมื่อสัตว์ที่เป็นผู้ล่าบางชนิดสามารถล่าได้ เช่น แมวล่าหนูได้ ก็มักจะคาบมาอวด ไม่ต่างกับคนบางจำพวกที่ล่าสัตว์ป่าได้ ก็มักจะถ่ายรูปกับซากสัตว์ ยืนถือปืนจังก้า อยู่หน้าสัตว์ที่นอนตาย รวมไปถึงนิยมถลกหนังเสือ ตัดงาช้าง ตัดหัวสิงโต กวาง ฯลฯ นำมาประดับ ติดบนผนังบ้าน เพื่ออวดถึงความสำเร็จของ “ผู้ล่า” หรือประกาศถึงความมีอำนาจ
4. น่ายินดีที่สังคมไทยในปัจจุบัน มีความตื่นตัวสูงมาก
หลังเกิดเหตุ ได้ออกมาประณาม “ผู้ล่า” และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้รักษาป่า ตลอดจนกดดันติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในฐานะ “พนักงานสอบสวน” ที่จะต้องทำสำนวนคดี เอาตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
และถึงขนาดออกมาด่าทอตำรวจด้วยซ้ำ เมื่อมีกระแสข่าวว่าจะมีการดำเนินคดีอาญาและดำเนินการวินัยกับเจ้าหน้าที่ซึ่งปล่อยให้ “พรานเศรษฐี” เข้าป่า โดยไม่มีการตรวจค้นรถว่ามีอาวุธปืนเข้าไปด้วย และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าป่าอย่างถูกต้องตามขั้นตอน
เป็นเรื่องดีที่สังคมต้องช่วยให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลป่า และช่วยกันกดดัน กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกับ “พรานเศรษฐี” อย่างตรงไปตรงมาไม่ปล่อยให้สถานะทางสังคมที่เหนือกว่าคนทั่วไป รวมทั้งเหนือกว่าเจ้าหน้าที่ผู้รักษาป่า มากระทำการเสมือนอยู่เหนือขื่อแปบ้านเมืองอย่างเด็ดขาด
หากสังคมสามารถสานต่อจิตสำนึกที่ดีในเรื่องนี้ ขยายออกไปติดตาม เฝ้าระวัง และช่วยกันจัดการกับ “พรานล่าสัตว์” ไม่ว่าจะล่าเพื่อเศรษฐกิจหรือความบันเทิง ซึ่งเชื่อว่ายังมีอีกมากหลายกรณีในบ้านเรา ขยายขอบเขตการต่อต้านไปถึงด้าน “ดีมานด์ไซด์” (Demand Side) หรือความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าหายาก ที่มีทั้งร้านอาหาร และตำรับอาหารสัตว์ป่าที่อ้างว่าเป็นยาบำรุง รวมถึงชิ้นส่วนอวัยวะที่อ้างว่านำไปเป็นเครื่องรางของขลัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรร่วมกันต่อต้านการประดับตกแต่งบ้านด้วยหัวสัตว์ป่า หนังสัตว์ป่า มิใช่ยอมรับว่าเป็นผลงานของนักล่าผู้กล้าหาญชาญชัยอีกต่อไป
5. การทำงานรักษาป่าและสัตว์ป่าของเจ้าหน้าที่ ควรได้รับการสนับสนุนส่งเสริมมากกว่าที่เป็นมา
ทั้งในแง่ของเครื่องมือในการทำงาน และคุณภาพชีวิตหลักประกันความมั่นคง
สังคมได้เห็นแล้วว่า คู่ต่อกรของเจ้าหน้าที่ คือ “พรานยุคใหม่” ที่ล่าเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกรณี “พรานเศรษฐี” ซึ่งไม่ว่าจะกรณีใด ศักยภาพของ “ผู้ล่า” ล้วนแต่มีอำนาจทุนที่สามารถจัดหาอุปกรณ์ทันสมัยเข้ามาล่า เหนือกว่าเจ้าหน้าที่อย่างไม่อาจเทียบกันได้เลย
ยิ่งกว่านั้น ระบบในการจัดการดูแลรักษาป่าหลังจากนี้ก็ควรจะปรับปรุงด้วยเช่นกัน เพราะกรณีที่เกิดขึ้น ได้มีการเปิดโปงแล้วว่า มีอดีตข้าราชการระดับสูงใช้เส้นสายเข้าไปช่วยเบิกทางเข้าป่าให้ “พรานเศรษฐี” โดยอาศัยระบบอุปถัมภ์ ที่มีทั้งความเกรงใจ ความเชื่อใจ หรือความยำเกรง
ต่อไปนี้ การตรวจตราควรจะต้องเข้มงวดกวดขัน โดยเฉพาะพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เป็นป่าอนุรักษ์คนละแบบกับอุทยานแห่งชาติ มีความเปราะบางของระบบนิเวศแตกต่างกันมาก
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ไม่ใช่สถานพักผ่อนทั่วไป แต่เป็นเขตพื้นที่หวงห้ามพิเศษ สำหรับปกป้องดูแลสัตว์ป่าและระบบนิเวศธรรมชาติที่มีความสุ่มเสี่ยงมากๆ
แตกต่างจากอุทยานแห่งชาติที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปท่องเที่ยว สันทนาการได้ผ่อนคลาย
เพราะฉะนั้น การจะเข้าไปในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ได้ จะต้องมีความเข้มงวดมากกว่า มิใช่จะเข้าไปเที่ยวแคมปิ้งก็ไปได้ง่ายๆ เหมือนอุทยานแห่งชาติ แต่ควรสงวนไว้สำหรับการเข้าไปทำวิจัย หรือจะเข้าไปศึกษาธรรมชาติ ก็จะต้องมีเจ้าหน้าที่นำไป ในพื้นที่จำกัด และควบคุมพฤติกรรมอย่างเคร่งครัด
การตรวจตราสกัดกั้น สำคัญยิ่งกว่าการเก็บค่าธรรมเนียม โดยจะต้องทำอย่างจริงจัง ควรส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ไม่จำยอมต่อการ “เบ่ง” หรือการใช้ “อภิสิทธิ์” ไม่ว่าจะในลักษณะใดๆ
ไม่ปล่อยให้ใครอาศัยเส้นสายส่วนตัวเข้าไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพยากรของส่วนรวม ที่จะต้องอนุรักษ์ไว้เป็นมรดกของประเทศชาติและมรดกของโลกต่อไป
6. การทำหน้าที่ของสื่อจากกรณี “พรานเศรษฐี” ปรากฏว่า ได้มีการสืบเสาะเจาะลึก ที่มาที่ไป ตลอดจนปูมหลังของฝ่าย “ผู้ล่า” และ “ผู้พิทักษ์” ทำให้สังคมเข้าใจภาพความเป็นมาชัดเจนขึ้น
ได้ทราบว่า “พรานเศรษฐี” มิใช่เพิ่งทำเป็นครั้งแรก แต่เคยไปทำกิจกรรมในลักษณะนี้ในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงในประเทศอื่นๆ ที่เปิดให้ทำกิจกรรมล่าสัตว์ได้ ตลอดจนการเปิดเผยภาพลับในอดีต เมื่อตอนอายุ 36 ปี เคยมีหนังเสือโคร่งประดับคลุมเก้าอี้ที่ทำงานไว้อย่างไร อีกทั้ง การเข้าตรวจค้นบ้านโดยตำรวจ ก็พบทั้งอาวุธปืนยาวกว่า 40 กระบอก เครื่องกระสุนอีกจำนวนมาก พร้อมการสะสมงาช้างป่าอีกด้วย
7. สังคมไม่ควรลืม และไม่ควรลดละความพยายามในการติดตามเรื่องอื้อฉาวแบบนี้
แต่บทเรียนในอดีตที่ผ่านมา เราจะเห็นว่า หลายกรณีที่เคยอื้อฉาว กระแสสังคมแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องกรณีอื่นเข้ามากลบแทน กระแสร้อนแรงซาลง กระบวนการบังคับใช้กฎหมายกับกรณีเหล่านั้น โดยเฉพาะในต้นธารของกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรืออัยการ ก็มักจะเอื่อยเนือย กระทั่งบางกรณีไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ ยกตัวอย่าง กรณีแจ๊สปืนจิ๋ว กรณีลูกกระทิงแดง กรณีทุจริตคลองด่าน ฯลฯ
การที่สังคมลืม หรือเรื่องซาลงไป ไม่ใช่ความผิดของสังคม เพราะโดยธรรมชาติ มนุษย์มีกลไกทางจิตในการกำหนดว่า เรื่องอะไรที่จำแล้วเจ็บปวด จำแล้วอึดอัดคับข้องใจ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผู้คนก็จะค่อยๆ ลืม ที่ผ่านมา สังคมไทยมีเรื่องสองมาตรฐาน มีระบบชนชั้น เล่นเส้นสาย มากมายหลายกรณี จนสังคมไม่รู้จะจำไปทำไมให้เจ็บปวด กลไกทางจิตก็มักจะทำให้ค่อยๆ ลืม
แต่ที่สำคัญ คือ กระบวนการยุติธรรมจะต้องไม่ลืม
จะต้องไม่ผลิตซ้ำความเจ็บปวด ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี