หัวข้อนี้เป็นชื่อการสัมมนา เมื่อวันพุธสัปดาห์ที่แล้ว จัดโดย ชมรมคอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ไทย ณ ห้องกรุงเทพ 2 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์แอทเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว
พี่ณรงค์ ปานนอก ประธานชมรม บอกจุดประสงค์ว่า ชมรมได้เฝ้า ติดตามสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของไทย นับแต่จัดเสวนาปัญหาโรงไฟฟ้าเมื่อปี 2557 เรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน เมื่อต้นปี 2560 พบว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาข้างต้นของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงหาทางออกที่เด่นชัดไม่ได้
และล่าสุด รัฐบาลเพิ่งมีนโยบายให้ชะลอแผนศึกษาออกไปอีก 3 ปี ก็ต้องศึกษาอย่างใกล้ชิด
ครับ..พี่ณรงค์ที่คลุกคลีในวงการสื่อมานานมีความตั้งใจจริงในการศึกษาเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องสาธารณะ ซึ่งหัวข้อผ่าทางตัน : โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ร้อนๆ อยู่ในขณะนี้ ต้นเรื่องสำคัญคือการสร้างโรงไฟฟ้าเทพา ที่จ.สงขลา พื้นที่ภาคใต้บ้านผม ซึ่งการสัมมนาหนนี้มีข้อมูลมากมาย แต่ผมขออนุญาตย่อๆ จากผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ที่ร่วมสัมมนาในส่วนที่เกี่ยวกับภาคใต้เป็นหลักนะครับ
อย่างท่าน มนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน มองถึงสภาพไฟฟ้าภาคใต้ว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตติดตั้ง มาจากโรงไฟฟ้าหลัก 2 แหล่ง คือ โรงไฟฟ้าจะนะ 1,476 เมกะวัตต์
โรงไฟฟ้าขนอม 930 เมกะวัตต์ รวม 2,406 เมกะวัตต์โดยมีกำลังการผลิตจริงคือ โรงไฟฟ้าจะนะผลิตได้ 1,106 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าขนอม 918 เมกะวัตต์รวม 2,024 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2-3 โรง ประมาณ 140 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตจริง 2,164 เมกะวัตต์ ขณะที่ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด 2,500 เมกะวัตต์
ส่วนที่เหลือต้องนำเข้าจากภาคกลาง และหากมองไปอีก 5 ปีข้างหน้า ความต้องการใช้ไฟเพิ่มอีกปีละ 5% จะเพิ่มยอดใช้ไฟฟ้าอีกประมาณ 500 เมกะวัตต์ ไม่เพียงพอแน่นอน ต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติม
ส่วนด้าน ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวถึงประเด็น ภาพรวมของไฟฟ้าจำเป็นในเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ที่มีการใช้ไฟฟ้าจำนวนมากในธุรกิจการท่องเที่ยว ที่มีการใช้ไฟฟ้าพีคในเวลากลางวัน แตกต่างจากภาคกลาง ที่มีปริมาณความพีคอยู่ที่กลางคืน และได้นำสถิติการใช้ไฟฟ้าของทั้งประเทศและพื้นที่ภาคใต้ มานำเสนอ ยืนยันว่าประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าเพิ่มและอยู่ในการปรับแผน PDP เพื่อกระจายแหล่งเชื้อเพลิงอีกทั้งลดความเสี่ยงหรือเสี่ยงน้อยที่ประเทศจะขาดแคลนพลังงาน เราจึงจำเป็นต้องทบทวนพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ ทั้งนี้ในแผนได้ยึดโยงปกติคือการพึ่งพาเชื้อเพลิงเชิงเดี่ยว
ขณะที่ นายธีรพจน์ กษิรวัฒน์นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จ.กระบี่ มีแนวทางการพัฒนาจังหวัดในทุกมิติ ภายใต้แนวคิดที่ว่า “กระบี่ โก กรีน” หรือ กระบี่ในทิศทางการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ซึ่งธุรกิจท่องเที่ยวของกระบี่เติบโตต่อเนื่อง พร้อมๆ กับการให้ความสำคัญในส่วนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นประมง การเกษตร สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาสุขภาพและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
มีคำถาม โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ภาคใต้จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อาจส่งผลกระทบต่อปัญหาข้างต้นมากแค่ไหน? ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการศึกษาข้อมูลข้อเท็จจริงได้แค่ไหน? มีการนำข้อมูลเสนอและข้อเรียกร้องที่คนในพื้นที่ได้นำเสนอมาประกอบการพิจารณาหรือไม่? ที่สำคัญหากโรงไฟฟ้าถ่านหินดีจริง แล้วเหตุใดจึงเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งของคนในพื้นที่ ทั้งที่ อ.เทพา จ.สงขลา และ จ.กระบี่ ซึ่งในส่วนของพื้นที่เป้าหมายในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่นั้น ถือเป็นพื้นที่บริสุทธิ์ เป็นจุดที่มีผืนหญ้าทะเลใหญ่สุดของประเทศ และยังเป็นแหล่งพักอาศัยของฝูงค้างคาวขนาดใหญ่อีกด้วย
นอกจากนี้ ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ภายใน จ.กระบี่ มีถึงปีละกว่า 1,000 เมกะวัตต์เหลือใช้กระทั่งมีพอจะส่งไปขายให้จังหวัดอื่นๆ ได้ใช้ จึงอยากให้ภาครัฐได้พิจารณาประเด็นเหล่านี้ก่อนจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ครับ!! รัฐบาลยืดเวลาศึกษาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินออกไปอีก 3 ปีก็ยังมีเวลาพอที่จะได้ถกเถียงกันอีกอย่างมีเหตุผล
แต่อย่าให้เกิดวิกฤติไฟฟ้าดับทั่วภาคใต้นะครับ!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี