ใครๆ ก็รู้ว่า นาฬิกานั้นมีไว้ใช้บอกเวลา และเมื่อรู้เวลามนุษย์ก็ใช้อ้างอิงได้ว่า เหตุการณ์ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นเมื่อใด หรือกรรมที่ตนกระทำนั้น ทำไว้ตอนไหน กล่าวอีกอย่างก็คือ นาฬิกาเป็นพยานของพฤติกรรมและเหตุการณ์ในสังคมมนุษย์
จากข้างต้น ประโยชน์และคุณค่าของนาฬิกาทุกเรือนจึงมิได้แตกต่างกัน เพียงแต่อาจจะแตกต่างกันไปในเรื่องของมูลค่า ซึ่งก็มนุษย์เองนี่แหละ ที่เป็นผู้รังสรรค์ให้เกิดราคาที่แตกต่างกันไปตามกระบวนการทางการตลาดจนมนุษย์มากมายหลงลืมประโยชน์คุณค่าดั้งเดิมของมันกลับไปให้ความสำคัญกับนาฬิกาในฐานะเป็นเครื่องประดับ หรือเครื่องแสดงฐานะทางการเงิน ใช้โอ้อวดความร่ำรวยแทน ในยุคต่อๆมา นาฬิกาก็เลยมีหน้าที่เพิ่มขึ้นมา นั่นคือเป็นตัวสนองตัณหาอีกด้วย
ถ้าหากยึดถือเอาคำว่า พอเพียง ตามแนวพระราชดำริล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 แล้ว การครอบครองนาฬิกานั้นควรจะเป็นสิ่งที่สะท้อนความพอดีตัว ความพอตัว ซึ่งขึ้นอยู่กับรายได้และความจำเป็น ไม่ได้ขึ้นกับรสนิยม แต่ก็แปลกใจที่หลายๆ คนในสังคมไทย ยังคงหวังที่จะครอบครองนาฬิกาเกินกำลังของตนเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันคือความฟุ่มเฟือย กลายเป็นไฟกิเลสร้อนเผาจิตเผาใจ ต้องดิ้นรนให้ได้มาโดยไม่สนใจแก่วิธีการว่าจะถูกหรือผิดเพียงเพราะความอยากมีหน้ามีตาแท้ๆ
และด้วยการที่สังคมโลกสร้างมูลค่าสูงมากให้แก่นาฬิกาบางชนิด บรรดานาฬิกาอภิมหาแพงจึงสามารถถูกนำไปใช้เป็นอามิสสินจ้าง แทนเงินตรา หรือแม้แต่เพื่อใช้ปรนเปรอผู้มีอำนาจ เพื่อสร้างความเสน่หาได้
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเองเห็นหลายๆคนที่สามารถดำรงชีวิตอย่างพอเพียงได้ โดยคนเหล่านั้นต่างปฏิเสธการรับนาฬิกาเป็นของขวัญหรือเป็นสินน้ำใจตอบแทน จากผู้ที่ตนสามารถเอื้อประโยชน์ให้ได้ เพราะพวกเขาตระหนักได้ว่า เป็นความไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งคนเหล่านี้เขามีความภาคภูมิใจในชีวิตของตน เขารู้ว่าตนเองไม่ได้ขาดเหลืออะไรในชีวิต รู้ว่าเขามีนาฬิกาเพียงเพื่อใช้บอกเวลา มิใช่เพื่อโอ้อวดบารมี และมักจะใช้นาฬิกาในราคาย่อมเยา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง
แต่กับบางคนแล้ว เพื่อที่จะได้มาแค่การแสดงฐานะแก่สังคม ก็ต่างดิ้นรนขวนขวายกัน บ้างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก หาเงินมาซื้อ ที่หาไม่พอซื้อแต่กลัวจะน้อยหน้าคนอื่น ก็แอบไปเช่าเขามาใส่ออกงาน ส่วนใครโชคดีหน่อย มีเพื่อนสนิทร่ำรวยสะสมนาฬิกาไว้มาก ก็อาจข้ามความกระดากอาย เอ่ยปากขอยืมใส่กันได้เป็นครั้งเป็นคราวก็พอได้ยินกันมา ซึ่งก็อย่าลืมว่า เมื่อใครไปยืมของใครแล้ว ก็เกิดเป็นบุญเป็นคุณกัน ซึ่งเรามักจะเห็นว่าคนยืมต้องตอบแทนคนให้ยืมไปตามแต่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย
และถ้าให้ยืมใส่กันหลายๆ เรือน ใส่กันนานาชนิดลืมคืน ใครเขารู้เข้า ก็ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะต้องคิดสงสัย ว่า คนให้ยืมเป็นใครหนอ? ทำงานการอะไรมาจึงช่างร่ำรวย และช่างมีน้ำใจกับเพื่อนขนาดนี้? เขาให้เพื่อนคนนี้ยืมคนเดียวหรือเปล่าหนอ? ถ้าใช่ สนิทกันขนาดนี้ คนยืมเขาจะตอบแทนมิตรภาพกันอย่างไรบ้างหนอ?
ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาเป็นคนยืม ชาวบ้านเขาก็คงไม่ไปสงสัยอะไรกันมาก แต่หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับบุคคลสาธารณะ ที่มีอำนาจบารมีระดับประเทศ ที่เกี่ยวดองยุ่งกับงบประมาณชาติ ประชาชนก็ย่อมจะกังขา และต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากปากผู้ยืมใส่ว่า มันเป็นมาอย่างไร ใครให้ยืมซื้อกันมาอย่างไร แล้วสนิทกันแบบไหน ซึ่งถ้าอยู่ในประเทศเสรีประชาธิปไตย (ที่เขายอมรับว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เป็นใหญ่ในแผ่นดินจริงจัง บรรดานักการเมืองข้าราชการ หรือผู้รับใช้อำนาจรัฐของในนาม และเพื่อประชาชนเคารพยำเกรง) เมื่อประชาชนรู้สึกว่า มีการกระทำใดๆ ของผู้บริหารประเทศ ที่อาจส่อไปในทางไม่ชอบมาพากล จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เขาเหล่านั้นผู้เข้ามาอาสารับใช้บ้านเมือง ก็จะต้องออกมาให้ความกระจ่างแก่สังคม แสดงความสุจริตใจด้วยหลักฐานต่างๆอย่างชัดแจ้งถึงที่มาที่ไป หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็ต้องรีบกระโดดออกมาสืบสวนสอบสวนอย่างซื่อตรงและเร่งด่วน ซึ่งระหว่างนั้น หากประชาชนยังไม่หายสงสัย ผู้ที่มีอำนาจก็จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งไปก่อน เพื่อให้ผู้อื่นที่ไม่มีปัญหามาทำหน้าที่แทน และก็เดินเข้าสู่การพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่หลีกเลี่ยง ไม่หลบหนี
แต่ในกรณี ซีรี่ส์นาฬิกาหรู อันฉาวโฉ่ของไทย ประชาชนไทยได้แต่ทำตาปริบๆ มองดูขบวนการฟอกขาวที่ทำงานไม่ได้เรื่อง เพราะนอกจากจะไม่สามารถทำให้ประชาชนคล้อยตามกับเหตุผลต่างๆ ที่อ้างออกมาแล้ว กลับยิ่งทำให้ชาวบ้านเขาเห็นว่า มีแต่แนวร่วมแห่งการสับปลับ การปกป้องคุ้มครองซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ การไร้ซึ่งจิตสำนึกที่ดีงาม ความละอาย และความถูกต้องชอบธรรม ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าอดสู ไม่ได้ต่างไปกับจุดเริ่มต้นของวิกฤติการเมืองครั้งล่าสุด ที่นักการเมืองบางฝ่าย บิดเบือนกระบวนการยุติธรรมฟอกความผิดตน โดยไม่คำนึงถึงจิตใจประชาชน แต่อย่างน้อย ครั้งนั้น ประชาชนก็ยังสามารถออกไปรวมตัวเรียกร้องความยุติธรรมกันได้ เพราะไม่ได้มีอำนาจกองทัพมาขัดตาทัพ หรือค้ำคอไว้เช่นในยุคนี้
มันก็น่าแปลกที่ทำไม ผู้นำประเทศจะต้องรอให้สังคมต้องออกมาเรียกร้อง ออกมาประท้วง ในเมื่อเป็นเรื่องบุคคลสาธารณะต้องรับผิดชอบ อีกทั้งต่างเป็นผลไม้หรือไข่ไก่ ในชะลอมเดียวกัน เมื่อหนึ่งใดเน่าเสีย ก็ต้องร่วมรับผิดชอบกันทั้งข้อง รีบดำเนินการแก้ไข โดยไม่มีคำว่าเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะในบริบทของกลุ่มบุคคลสาธารณะที่เป็นตัวอย่างของสังคม
แล้วเราจะไปบ่มเพาะ สั่งสอน ลูกหลานของเรากันอย่างไร ในเมื่อคนระดับผู้นำของประเทศยังเป็นเสียเช่นนี้
ผู้นำนั้นนอกจะมีอำนาจมาจากตัวบทกฎหมายแล้ว ก็ต้องมีพลังอำนาจแห่งศีลธรรมคอยหนุนหลังด้วย หากขาดสิ่งนี้ไปเสียแล้ว ความชอบธรรมย่อมไม่มี ความเป็นมนุษย์ที่ดีก็ไม่มีด้วย อำนาจจากกฎหมายก็คงช่วยประคองเอาไว้ได้ไม่นาน
นาฬิกาบอกเวลาและเวลานั้นจารึกพฤติกรรมเอาไว้ในใจประชาชน และเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ไม่อยากให้มีการระบุว่า ประชาชนเขาไม่ได้นั่งรอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ลงมาช่วย แต่ได้เข้าไปจัดการเพราะพึ่งพาผู้มีอำนาจไม่ได้แล้วนั้น เป็นสาเหตุของการกลับมาของวิกฤติการเมืองไทยอีกหนหนึ่ง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี