หากเป้าหมายหลักของสังคมไทยคือการพัฒนาการเมือง หรือเกิดความเชื่อมั่นว่า “การพัฒนาการเมือง”
จะเป็นคำตอบให้แก่การพัฒนาในมิติอื่นๆ
สังคมไทยก็ควรทุ่มเทความพยายามและความคิดเพื่อเป้าหมายดังกล่าว
การเกริ่นนำมาในคอลัมน์นี้ ช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาการเมืองน่าจะมีได้หลากหลายวิธีและหลายๆ เส้นทาง แต่ละสังคมน่าจะมีทางเลือกได้แตกต่างกันอาจจะเริ่มต้นที่การสร้างระบบรัฐให้เข้มแข็งเป็นอันดับแรก และชักนำไปสู่อีก 2 มิติ คือ การสร้างนิติธรรมรัฐ และประชาธิปไตย หรืออาจจะเริ่มที่ประชาธิปไตย และตามมาด้วยนิติธรรมรัฐ และการสร้างรัฐให้เข้มแข็ง ก็ย่อมได้ เพราะการพัฒนาแต่ละมิติ น่าจะช่วยให้การพัฒนามิติอื่นๆง่ายขึ้น
การที่หยิบยกตัวอย่างของอังกฤษ ก็เพราะสังคมไทยสนใจที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมายของการสร้างระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ พ.ศ.2475 แต่ยังไปไม่ถึงไหน ตลอดเวลา 85 ปีที่ผ่านมา เพราะอะไร? การเหลียวหลังไปดูประสบการณ์ของประเทศอื่น ที่ได้เดินทางมาตามเส้นทางนี้และบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว น่าจะมีบทเรียนบางประการให้ชาวไทยได้ศึกษา นี่คือเจตนาของการนำปัญหานี้เข้าสู่การอภิปรายสาธารณะ หรืออย่างน้อย 5-6 ศตวรรษ ของการเดินทางของสังคมอังกฤษ ที่ผ่านมา น่าจะเตือนใจเราด้วยว่ากระบวนการวิวัฒนาการทางการเมือง เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา และปัจจัยพื้นฐานของแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน จึงมีความหลากหลาย และผลลัพธ์แตกต่างกัน
เพื่อเป็นกรอบของแนวคิดโดยองค์รวม ฟูกูยามา ก็ได้ร่างโมเดล เป็นรูปไดอาแกรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจปฏิสัมพันธ์ของพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ดังรูป
โดยอธิบายอย่างสังเขป ก็คือ การพัฒนาการเมืองประกอบด้วย การพัฒนา 3 มิติของสถาบันการเมือง ได้แก่ การสร้างรัฐ (กลไกของรัฐ) ให้เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ การสร้างระบบนิติธรรมรัฐ (กฎหมายและความยุติธรรม) และการสร้างระบอบการเมืองที่รับผิดชอบต่อประชาชน
และจะขับเคลื่อนให้เกิด 3 สถาบันหลักดังกล่าว ขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทางระบบเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนหรือการเปลี่ยนแปลงของชนชั้นทางสังคม และที่สำคัญคือ พลังความคิด/อุดมการณ์ ที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสามสถาบันหลักดังกล่าว
สำหรับฟูกูยามา ความคิด/อุดมการณ์ เป็นปัจจัยตัวแปรที่สำคัญมาก และสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงต่างๆในประวัติศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น ความศรัทธาในลัทธิศาสนา ที่เป็นเหตุให้เกิดสงครามครูเสด ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 หรือที่ชัดเจนคือ กรณีการก่อตั้งอาณาจักรจากเมดินา (Medina) ในตะวันออกกลาง ค.ศ. 622 ของชาวอาหรับ ซึ่งไม่เคยรวมตัวกันเป็นราชอาณาจักรมาก่อน แต่ด้วยความศรัทธาเชื่อถือในศาสดามูฮัมหมัด ผู้ทรงประทานรัฐธรรมนูญแห่งเมดินา ให้แก่เผ่าอาหรับทั้งหลาย จึงรวมตัวจัดตั้งเป็นราชอาณาจักรได้สำเร็จ และขยายอาณาเขตไปถึงซีเรียอียิปต์ และอิรัก ในสมัยต่อมา นับว่าเป็นตัวอย่างของความศรัทธาในลัทธิศาสนาที่สามารอธิบายปรากฏการณ์ในประวัติศาสตร์
หรือหากจะยกอีกตัวอย่างในเรื่องอิทธิพลของศาสนาที่มีต่อพฤติกรรมมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ ก็คือ ลัทธินิกายโปรเตสแตนท์ในสมัยที่แยกตัวออกจากศาสนาโรมัน
คาทอลิก ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โปรเตสแตนท์สายแรกคือ กลุ่มผู้นิยมแนวคิดของลูเธอร์ และมักเรียกกันว่า “ลูเธอรัน” (Lutherans) ที่แตกตัวมาจากคาทอลิกเป็นสายแรก หลักคิดสำคัญประการหนึ่งของลูเธอร์ ก็คือ การสื่อสารกับพระเจ้า มนุษย์แต่ละคนสามารสื่อสารได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง ที่มีสมณศักดิ์เป็นพระบิชอป หรือสังฆราช หลักการนี้เท่ากับปฏิวัติระบบศักดิ์สิทธิ์ของสมณศักดิ์ของพระคาทอลิก และองค์สันตะปาปา มีผลยกสถานะผู้ศรัทธาในศาสนาให้เท่าเทียมกันและมีผลระยะยาวให้เกิดขบวนการจัดการศึกษาให้ผู้คนส่วนมากสามารถอ่านคัมภีร์ได้ การจัดการศึกษาเพื่อชนทุกชั้น จึงมีจุดกำเนิดจากแนวคิดนี้
และที่เป็นตัวอย่างให้ฟูกูยามาอ้างถึง ก็คือ กรณีของเดนมาร์ก ในศตวรรษที่ 16 ที่เปลี่ยนจากศาสนานิกายโรมันคาทอลิก มาเป็นลูเธอรัน และเกิดการรณรงค์ให้ชาวนาเดนมาร์กได้เรียนหนังสือเพื่อสามารถอ่านคัมภีร์ได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะฝ่ายศาสนานิกายใหม่ ได้จัดตั้งโรงเรียนในทุกๆ หมู่บ้าน เพื่อให้พระได้สอนหนังสือแก่ชาวชนบท ฉะนั้น เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาวนาในเดนมาร์ก ได้กลายเป็นชนชั้นที่ค่อนข้างได้รับการศึกษาในระดับที่ดี ตลอดจนจัดระเบียบทางสังคมได้ระดับหนึ่ง และต่อมาอีก เมื่อเกิดการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 กระทบกระเทือนสถาบันกษัตริย์ไปทั่วทวีปยุโรป เดนมาร์กก็ปรับระบบการปกครองเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน ก็เกิดขบวนการของชาวนาอีกระลอก ที่มีกรุนท์วิค นักการศึกษาและพระนิกายลูเธอรัน เป็นผู้นำ เพื่อเรียกร้องสิทธิทางการเมืองให้แก่ประชาชน ส่งผลให้เดนมาร์กได้วิวัฒนาการไปสู่ระบอบประชาธิปไตย และรัฐสวัสดิการในที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “ความคิด” จะเป็นบิดาของการกระทำ และมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวทางสังคม แต่หากโครงสร้างของสังคมไม่เปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวทางความคิดก็จะมีปัญหา และพบกับอุปสรรค และขาดพลังโครงสร้างทางสังคม ได้แก่ องค์ประกอบของชนชั้น จึงมีความสำคัญและเป็นปัจจัยที่จะนำความคิดไปสู่เป้าหมาย ในบทความครั้งต่อไปจะได้วิเคราะห์ประเด็นดังกล่าว
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี