การตรวจสอบทุจริตกรณีเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์ กลุ่มส่งเสริมอาชีพ เริ่มต้นที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น ก่อนจะขยายไปตรวจสอบศูนย์อื่นๆ ทั่วประเทศ
เรื่องเริ่มมาจากการร้องเรียนของนักศึกษาหญิง ไปถึงหู คสช. สั่งให้ ป.ป.ท. ตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทั่ง ป.ป.ท.เขต 4 ได้ทำการตรวจสอบ แล้วพบว่ามีมูลทุจริตจริงๆ
1. นักศึกษาหญิง อายุ 22 ปี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร้องเรียนต่อเลขาธิการ คสช. ว่าขณะฝึกงานที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น พร้อมเพื่อนรวม 4 คน ถูกสั่งให้ปลอมเอกสารลายมือชื่อและข้อมูลเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์ กลุ่มส่งเสริมอาชีพ และปลอมลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ตามคำสั่งของ ผอ.ศูนย์และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการฝึกงาน
นักศึกษาสาวเล่าว่า ได้เข้ารับการฝึกงานในตำแหน่งนักพัฒนาชุมชนที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น พร้อมเพื่อนรวม 4 คน ระยะเวลาการฝึกงานตั้งแต่ 7 ส.ค.-7 พ.ย.2560 ซึ่งการฝึกงานต้องลงพื้นที่พบปะกับประชาชนผู้ยากไร้ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเรียนรู้ปัญหาในชุมชน โดยช่วงที่เข้าฝึกงานจะมีเจ้าหน้าที่ศูนย์เข้ามาดูแลในฐานะครูภาคสนาม แต่กลับถูกให้ทำงานเกี่ยวกับเอกสาร ถูกสั่งให้กรอกข้อมูลสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและเอกสารของผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยสั่งให้ลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงินของเอกสารตามแบบที่ราชการกำหนด
“ในช่วงฝึกงานนั้น ส่วนใหญ่จะได้นั่งทำงานที่บ้านพักส่วนตัวของผู้อำนวยการศูนย์ ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์ไปประมาณ 1 กม. ทำงานตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำ โดยมีน้องสาว ผอ.และเจ้าหน้าที่บางคนคอยกำกับดูแลทุกขั้นตอน จึงทำตามคำสั่งและทำการปลอมลายเซ็นชาวบ้านไปประมาณ 10 ราย ส่วนที่เหลืออีกเกือบ 2,000 รายนั้นไม่ทำ หนูถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมต้องปลอมข้อมูลชาวบ้าน ก็ได้รับคำตอบว่าให้ถือเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านที่เขียนหนังสือไม่ได้ ให้กรอกข้อมูลทั้งหมดด้วยตนเองทั้งแบบสำรวจ ใบสำคัญรับเงิน ซึ่งในช่วงของการฝึกงานนั้นได้ทำเอกสารไปกว่า 2,000 ราย ยอดเงินรวมกว่า 6,900,000 บาท โดยหนูลงชื่อแทนชาวบ้านไปประมาณ 10 คน ส่วนเพื่อนๆ ที่มาฝึกงานด้วยกันนั้นไม่ทราบ แต่ทุกคนได้ทำเอกสารร่วมกัน จากนั้นจึงได้เฝ้าสังเกตพฤติกรรม เริ่มรู้สึกว่าไม่โปร่งใส จึงไม่ทำตาม และขยำเอกสารที่เป็นลายมือตัวเองในการปลอมลายมือชาวบ้านทิ้งไป”
ก่อนนี้ นักศึกษาถูกกดดัน และถูกดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรม
ถึงขนาดว่า ราวๆ เดือนตุลาคม ปีที่แล้ว เมื่อนักศึกษานำเรื่องทุจริตไปเล่าให้อาจารย์บางคนฟัง อาจารย์กลับพานักศึกษาไปเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีที่เป็นผู้มีอำนาจในศูนย์ ถึงขนาดนักศึกษาต้องก้มลงกราบเจ้าหน้าที่ศูนย์ที่ทุจริต แถมเมื่อต้นเดือน ก.พ.ปีนี้ เมื่อเริ่มปรากฏข่าวฉาว ยังพยายามปิดกั้น ห้ามนักศึกษาแชร์ข่าว ห้ามเข้าไปเกี่ยวข้อง
2. ล่าสุด เมื่อขยายการตรวจสอบไปยังศูนย์ในจังหวัด ตามภูมิภาคต่างๆ ก็ส่อว่าจะมีการทุจริตด้วยหรือไม่
เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เขต 5 ลงพื้นที่อำเภอสันกำแพง และอำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ตรวจสอบศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้รับงบประมาณ จำนวน 8,580,000 บาท หลังสุ่มตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า ปรากฏรายชื่อชาวบ้านที่ได้รับสิทธิ์ แต่ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ส่อว่ามีการปลอมลายมือชื่อในเอกสารเพื่อนำไปเบิกจ่ายเงิน และพบว่ามีการปลอมลายมือ เพื่อนำไปเบิกจ่ายเงิน โดยชาวบ้านที่เป็นผู้สูงอายุเขียนหนังสือไม่ได้ ใช้วิธีพิมพ์ลายนิ้วมือแทนโดยในข้อเท็จจริงผู้สูงอายุไม่ได้รับเงินช่วยเหลือดังกล่าว
3.งบช่วยเหลือดังกล่าว เป็นงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรผ่านกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ในรูปงบเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง เพื่อให้การช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่ง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มรายได้ไม่เพียงพอต่อการครองชีพ จำนวนรายละ 2,000 บาท เงินสงเคราะห์ผู้ติดเชื้อเอดส์ จำนวนรายละ 2,000 บาท และทุนประกอบอาชีพของผู้มีรายได้น้อย จำนวนรายละ 3,000 บาท
สะท้อนว่า ขั้นตอนและวิธีการส่งเงินช่วยเหลือให้ถึงมือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ยังมีช่องโหว่มาก
ไม่มีฐานข้อมูลที่แน่ชัด และการจ่ายเงินยังไม่ได้จ่ายเข้าบัญชีของผู้รับโดยตรง
ในที่สุด ก็เกิดการรั่วไหล ด้วยวิธีการที่อุบาทว์มาก
เลวร้ายไม่ต่างจากการทุจริตเงินทอนงบอุดหนุนวัด
เลวร้ายยิ่งกว่าโกงนมโรงเรียนในสมัยก่อนเสียอีก
4.ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รัฐบาล คสช. และหน่วยงานของรัฐทั้งหลาย มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
มาตรา 63 บัญญัติไว้ว่า “รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริม ให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ”
กรณีข้างต้น สะท้อนชัดว่า จะต้องเข้าไปสนับสนุนส่งเสริมการร่วมต่อต้านการทุจริตของนักศึกษาดังกล่าว
กรณีนี้ เมื่อ คสช.ได้รับเรื่อง ก็ให้ ป.ป.ท.เร่งตรวจสอบ จนพบหลักฐานยืนยันว่ามีมูลทุจริตจริง นับว่าไม่นิ่งดูดาย รัฐบาล คสช.สมควรให้รางวัล ยกย่อง ชื่นชมนักศึกษา เพื่อเป็นแบบอย่าง รวมทั้งปกป้องคุ้มครองมิให้ถูกกลั่นแกล้งเล่นงาน และขอให้เดินหน้าตรวจสอบเอาผิดคนโกงให้สุด นอกจากขยายไปสอบศูนย์อื่นๆ ด้วยแล้ว ควรสอบย้อนหลังกลับไปอีกหลายๆ ปีด้วย ว่ามีพฤติกรรมโกงแบบนี้หรือไม่ อาจจะเหมือนกรณีโกงเงินทอนวัดก็เป็นได้
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ยังครอบคลุมไปถึงการเผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชน ถึงพิษภัยอันตรายจากการทุจริตโกงกิน กลไกภาครัฐ และรัฐบาล คสช. ควรสนับสนุนส่งเสริมให้มีการตีแผ่ ติดตาม และชี้ให้เห็นความเลวร้ายของการทุจริตที่มีหลักฐานชัดเจนทั้งหลายด้วย (ไม่นับการเคลื่อนไหวของ “นักร้องเรียน-ขาประจำ ประเภทยื่นหนังสือใส่ซองสีน้ำตาล เรียกนักข่าวไปถ่ายรูป ตีโวหาร หวังผลทางการเมือง แต่ไม่มีข้อมูลหลักฐานอื่นใดเลย)
ยิ่งในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว ยิ่งชัดแจ้ง เช่น โกงจำนำข้าว โกงระบายข้าว โกงสหกรณ์คลองจั่น โกงบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โกงเงินกู้กรุงไทย โกงสัมปทานโทรคมนาคม ฯลฯ
ควรสนับสนุน ส่งเสริม ให้รางวัล สำหรับการติดตามเปิดโปง เผยแพร่ กระตุ้นให้สังคมตื่นรู้ว่ามันโกงกันยังไง เสียหายขนาดไหน อย่าให้คนโกงได้ผุดได้เกิด มิฉะนั้น คนโกงนั่นเองที่จะพยายามดิ้นรน ทำทุกอย่างเพื่อหวนกลับมายึดอำนาจรัฐ หวังล้างผิดให้ตนเองอีกครั้งในอนาคต
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี