“ปฏิรูปกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น” ยังแก้ปัญหากันที่ปลายเหตุ เช่น เปลี่ยนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นเทศบาล ทำให้เหลือแต่เทศบาลกับองค์กรบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
เรื่องราวเหล่านี้ น่าจะต้องตั้งหลักกันก่อนว่า หลักใหญ่ของการกระจายอำนาจคือต้องให้อำนาจยึดโยงกับ “ประชาชน” ให้มากที่สุด แต่ตอนนี้ยังมีปัญหาอยู่ เนื่องจาก “โครงสร้างราชการส่วนภูมิภาค” ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เกษตรจังหวัด ประมงจังหวัด และอื่นๆ ซึ่งยังขึ้นตรงกับส่วนกลาง ไม่ได้มีความยึดโยงประชาชน ผู้ว่าฯ บางคนยังไม่ทันรู้จักพื้นที่ก็ถูกย้ายไปโตที่อื่นซะแล้ว และโครงสร้างราชการส่วนภูมิภาคยังต้องมาทำงานซ้ำซ้อนกับโครงสร้างภายในจังหวัด ทั้ง อบต. และ อบจ. จนสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าอำนาจอะไรเป็นของใครมานาน
1.) ภูมิภาค กับ การปกครองท้องถิ่น
แม้ประเทศไทยจะมีการกระจายอำนาจอย่างเป็นทางการ มาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ปี 2540 แล้ว จนก่อให้เกิดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง อบจ. และ อบต. แต่ก็ยังให้มีโครงสร้างการปกครอง
ส่วนภูมิภาคอยู่ ชื่อผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ที่เป็นตัวแทน การบริหารราชการจากส่วนกลาง จึงมักจะเกิดปัญหากับทั้งสองฝ่ายว่า ภารกิจใด พื้นที่ใด เป็นของฝ่ายใด
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วอำนาจส่วนใหญ่ ก็มักจะอยู่กับทางราชการส่วนภูมิภาคเสมอ เพราะมีโครงสร้างงบประมาณ ที่อ้างอิงจากส่วนกลาง รวมถึงมีหน่วยราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นตัวแทนของกรมกองต่างๆ จากส่วนกลาง เช่น ศึกษาธิการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด หรือหน่วยงานอื่นๆ อีก ที่มีความพร้อมมากกว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งแม้จะมีความพร้อม แต่ที่ผ่านมาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของประชาชนในพื้นที่ได้ตรงจุด เพราะเป็นองค์กรที่ต้องรอการอนุมัติหรือการเห็นชอบจากส่วนกลาง ซึ่งเป็นข้อจำกัดของโครงสร้างราชการส่วนภูมิภาค
ด้วยเหตุที่ว่านี้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดการกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่น แต่ก็ยังไปไม่สุด เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอง ก็ประสบปัญหาในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
2.) พื้นที่และรายได้ ของ อบจ. - อบต.
องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ) และ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นโครงสร้าง ที่เกิดจากการกระจายอำนาจภูมิภาค ลงมาให้ประชาชนในพื้นที่ มีส่วนร่วมพัฒนาพื้นที่ตัวเอง ด้วยการเลือกตั้งจากประชาชน ซึ่ง อบจ.จะมีหน้าที่พัฒนาจังหวัด จัดทำโครงสร้างพื้นฐาน ที่เทศบาลและ อบต. ทำไม่ได้ เช่น การสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย การก่อสร้างถนนสายหลัก การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสร้างสวนสาธารณะ โดยมีรายได้จากการเก็บภาษียาสูบ ภาษีน้ำมัน ภาษีโรงแรม อากรรังนกอีแอ่น รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียม ค่าปรับ การออกใบอนุญาตต่างๆ
สำหรับ อบต.โดยภาพรวมแล้ว มีหน้าที่และอำนาจคล้ายคลึงกับ อบจ. ทั้งการจัดให้มีและบำรุงสาธารณูปโภคต่างๆ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีรายได้จากภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย อากรฆ่าสัตว์
สภาพปัญหาที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องไปเผชิญกันเอง ก็คือเรื่อง รายได้ พื้นที่ และอำนาจหน้าที่ไม่สัมพันธ์กัน ด้วยเหตุที่อำนาจหน้าที่ของระดับจังหวัดและระดับตำบลมีความคล้ายคลึงกัน ก็เกิดความสับสนกันเองเช่นเดียวกัน แม้องค์การบริหารส่วนจังหวัดจะมีรายได้จำนวนมาก แต่กลับไม่สามารถใช้รายได้นั้นไปพัฒนาพื้นที่ได้ เพราะไม่มีพื้นที่ที่ชัดเจนอย่าง อบต. ตัวอย่างเช่น อบจ. จังหวัดหนึ่งคิดจะทำโครงการพัฒนาในพื้นที่ ก็จะทำได้ลำบาก เพราะต้องมากังวลว่าจะซ้ำซ้อนกับ อบต.หรือไม่
ด้วยหลักการและเจตนารมณ์ที่ต้องการให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐธรรมนูญปี 2560 จึงได้บัญญัติไว้ ในหมวดการปกครองส่วนท้องถิ่นว่า การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบใด ให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น และความสามารถในการปกครองตนเอง ทั้งรายได้ จำนวนและความหนาแน่นของประชากร รวมถึงเรื่องพื้นที่ และการจัดทำบริการและกิจกรรมสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องสอดคล้องกับรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นการย้ำเจตนารมณ์ ว่าการปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ “ประชาชนในท้องถิ่น”
ตลอด 3 ปีกว่า ของการเข้ามาโดย คสช. กลับไม่ได้เห็นภาพชัดมากนัก เกี่ยวกับการปฏิรูปหรือการกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่นให้มากขึ้น ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่า อาจเป็นเพราะวิธีคิดของรัฐบาลทหาร ที่มีรูปแบบการรวมศูนย์อำนาจเพื่อบริหารจัดการเบ็ดเสร็จ จึงไม่ค่อยได้คิดเกี่ยวกับการกระจายอำนาจสักเท่าไหร่ ที่จะเห็นชัดๆ ก็แนวคิดยุบอบต. เปลี่ยนเป็น เทศบาล เท่านั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาทั้งองคาพยพ
แนวคิดเรื่อง “ผู้ว่าราชการจากการเลือกตั้ง” น่าจะเป็นแนวคิดหนึ่งที่ดี ที่จะแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนเหล่านี้ บนแนวคิด “จังหวัดจัดการตนเอง” ซึ่งเป็นแนวทางที่ประชาชนเรียกร้องตั้งแต่ก่อนการทำรัฐประหาร ด้วยการยุบส่วนภูมิภาคและอบจ. เป็นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นแบบใหม่ ที่มีสายบังคับบัญชาสูงสุดคือผู้ว่าราชการจังหวัดที่เลือกตั้งโดยประชาชนและมีช่องทางให้ประชาชนตรวจสอบได้ ด้วยหลักการถ่วงดุลอำนาจที่มีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน เหลือไว้เพียงอำนาจที่สำคัญๆ ระดับชาติให้ส่วนกลางเป็นผู้ดูแลต่อไป เช่น ทหาร ความมั่นคง ศาล และงบประมาณที่สำคัญต่างๆ
ถ้าทำแบบนี้ปัญหาความสับสนระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับภูมิภาคคงไม่เกิดขึ้น และสามารถกำหนดนโยบายการบริหารจังหวัดให้เหมาะสมตามอัตลักษณ์ระหว่างจังหวัดที่ต่างกันไป ซึ่งการบริหารมีโอกาสที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการบริหารโดยคนพื้นที่ด้วยกันเอง รวมถึงผู้บริหารในระดับลงมา ก็จะเป็นคนที่พี่น้องให้การไว้วางใจ ดูแลพื้นที่ของตัวเอง จังหวัดไหนพร้อม ก็เลือกผู้ว่าฯก่อน จังหวัดไหนยังไม่พร้อมก็ค่อยๆแต่งตัวรอกันไป แบบนี้อาจพอได้เห็นหน้าเห็นหลังกันบ้าง
อย่าปล่อยให้รอ แบบสิ้นหวังอย่างนี้เลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี