มีข้อเขียนมันๆ เต็มไปด้วยสาระและความห่วงใยจากท่านผู้อ่านส่งมาให้ผม ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ผมจะย่อๆ เล่าสู่กันฟังนะครับ
เรียกได้ว่า ตั้งหลักกลับมาได้อย่างสวยงามสำหรับ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน หลังจากเสียจังหวะ “หลงเหลี่ยมการเมือง” ไปเล็กน้อย ด้วยการออกมารับลูกเอกสารความคิดเห็นบางอย่าง ที่นำไปแจกใน ครม.ซึ่งจะมีที่มาที่ไปหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้
แต่เอกสารข้อเสนอชิ้นดังกล่าวถูกตั้งข้อสังเกตจากคนในแวดวงพลังงานว่า เป็นข้อเสนอที่สุดโต่งเกินไปและที่สำคัญคล้ายกับแนวคิดนักเคลื่อนไหวบางกลุ่มที่ทักท้วงเรื่องพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้อเสนอให้ลดบทบาทของ ปตท.และ กฟผ.
ประเด็นนี้นำมาสู่กระแสคัดค้านและคำถามต่างๆมากมายว่า ทำไมต้อง “ฆ่าตัดตอน” หน่วยงานที่เป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศ งานนี้เป็นการเปิดทางหรือยกผลประโยชน์ของประเทศให้กับเอกชนหรือไม่?? และแนวคิดนี้คำนึงถึงประชาชนในฐานะผู้บริโภคมากน้อยเพียงใดแค่ไหน??
นับว่าท่านรัฐมนตรีป้ายแดง กลับตัวได้อย่างรวดเร็วไม่ปล่อยให้กระแสกลายเป็นไฟลามทุ่ง ด้วยการออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวยืนยันว่า “รัฐบาลไม่มีนโยบายลดบทบาทของ ปตท. และ กฟผ.และให้ทั้ง 2 หน่วยงาน ร่วมมือกันทำหน้าที่รักษาและเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศอย่างต่อเนื่อง”
ผู้คนในรัฐวิสาหกิจต่างๆ โล่งอก
แม้จะถูกรับน้องทางการเมืองไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในแวดวงพลังงานปฏิเสธไม่ได้ว่า นายศิริ คือ ตัวจริงเสียงจริง รอบรู้เรื่องพลังงานของบ้านเรา ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกฯและหัวหน้า คสช.วางตัวให้เข้ามาจัดการภารกิจที่ยิ่งใหญ่ด้านพลังงานของประเทศ และถ้าจะพูดกันภารกิจสำคัญที่เรียกได้ว่าอยู่อันดับต้นๆที่จะต้องทำให้สำเร็จนั่นคือ “การเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียม เอราวัณ และบงกช ที่จะหมดอายุลงในปี 2565-2566” และเจ้าตัวก็เคยออกมายอมรับว่า “จะต้องดำเนินการให้ได้ภายใน 1 ปีที่ดำรงตำแหน่ง”
รมว.พลังงานออกมาระบุว่า “อยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมหาผู้ประกอบการที่จะเข้าประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณ ภายใต้ระบบแบ่งปันผลผลิต หรือ PSC ภายในเดือน กุมภาพันธ์นี้ คาดว่าจะออกหนังสือเชิญชวนร่างหลักเกณฑ์การประมูลหรือ TOR ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และคาดว่าจะได้ผลผู้ชนะเร็วกว่าเดิม 7-8 เดือน”
ประเด็นน่าสนใจ นั่นคือ การกำหนดให้ผู้ที่ชนะประมูล ไม่ว่าจะเป็นรายเก่าหรือรายใหม่ จะต้องมีการผลิตปิโตรเลียมอย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องผลิตทันทีไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากเดิมที่ที่เคยกำหนดให้ค่อยๆ เพิ่มกำลังการผลิตจากช่วงที่หมดอายุสัมปทาน และจะต้องไม่ขายก๊าซในราคาสูงกว่าสัญญาเดิมภายใต้ระบบสัมปทาน
แน่นอนว่านี่เป็นงานที่จะต้องเผชิญกับแรงกดดันอีกไม่ใช่น้อย จากฝ่ายตรงข้าม
ที่ยังตามบี้ เรื่องความมั่นคงทางพลังงานของประเทศมาทุกๆ ด้าน การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมหรือการผลิตไฟฟ้า ชี้นำสังคม ว่าแนวคิดของรมต.พลังงาน เข้าข่ายเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับสัมปทานเดิม ทำให้ผู้สนใจยื่นประมูลรายใหม่เสนอแข่งขันลำบาก
แต่จากการที่ นายวีรศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ออกมาระบุว่ามีกลุ่มบริษัทจาก จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง พร้อมเข้าประมูลแข่งขัน ชี้ให้เห็นชัดว่า หากบริษัทเหล่านี้ คิด TOR เอื้อประโยชน์ต่อเจ้าของสัมปทานรายเดิม ก็คงไม่แสดงความสนใจตั้งแต่ต้น
แม้จะเริ่มต้นตะกุกตะกักไปบ้าง แต่เมื่อตั้งหลักได้เชื่อว่า “มือเก๋า” ด้านพลังงานจะสามารถผลักดันนโยบายที่ติดหล่มมานานให้เดินหน้าฝ่าด่านสำคัญนี้ไปได้ เพราะหากล่าช้าไปกว่านี้ ก็ยิ่งสุ่มเสี่ยงว่าก๊าซในอ่าวไทยจะหายไปจากระบบเร็วและมากกว่าที่คิด นั่นหมายถึงความเสี่ยงทางพลังงานที่จะตามมาเป็นลูกโซ่ จากก๊าซธรรมชาติอาจส่งผลไปสู่การผลิตไฟฟ้าเพราะก๊าซธรรมชาติจาก บงกชและเอราวัณ คือ เชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ
ถ้าการเมืองอยู่นิ่งๆ กลุ่มคัดค้านอยู่เฉยๆ
ก็ได้เวลาเดินหน้าเพราะถ้างานนี้ถ้าสำเร็จตามแผนที่ประกาศไว้ นอกจากจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลแล้ว นั่นหมายถึงความมั่นคงทางพลังงานของประเทศจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี