เวลาร่วม 4 ปี ของรัฐบาลทหารภายใต้นาม คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) เต็มไปด้วยคำว่า “ปฏิรูป” หากแต่ในความเป็นจริง กลับไม่มีการปฏิรูปใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจที่เป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในทางปฏิบัติ เราได้เห็นเพียงแต่การเพิ่มการกระชับอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง หรือไว้ในมือฝ่ายข้าราชการประจำ พลเรือน ทหารและตำรวจ เป็นหลัก หรือนัยหนึ่ง คือการปฏิรูปที่มุ่งดำเนินการให้ระบบข้าราชการเป็นใหญ่ยิ่งขึ้น และกุมอำนาจบริหารต่อไปในแผ่นดิน ประเทศไทยในวันนี้จึงจัดได้ว่าเป็นรัฐราชการ หรือพูดให้โก้เก๋ตามท่านผู้นำว่า เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งแปลความได้ว่า ทหารและข้าราชการพลเรือน และตำรวจเป็นผู้นำพาประเทศ
ดังนั้น ที่พูดกันตอนต้นว่า ปฏิรูปการเมืองหรือปฏิรูปเพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตย จึงเป็นเพียงคำพูดสวยงาม แต่ไม่ลงมือทำให้เกิดขึ้นจริง เสมือนเป็นเพียงแค่โปรยยาหอม เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ถ้าจะบอกว่าเป็นการหลอกลวงก็คงไม่เกินไปนัก แถมที่ทำๆ กันมาตลอดเวลาครองอำนาจนั้น ส่วนมากจะเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรค ปิดกั้นการเจริญเติบโตของสังคมเสรีประชาธิปไตยเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป
และดั่งที่ประชาชนทุกคนได้เห็นฝีมือการขับเคลื่อนโดยข้าราชการกันมาตลอดชีวิตว่า มักจะติดเรื่องขั้นตอน ทำให้เกิดความล่าช้า บ้างก็พัฒนาแบบถอยหลัง นี่ยังไม่นับการยอมเป็นมือเป็นเท้าให้ฝ่ายการเมืองทำการคอร์รัปชั่นเพื่อแลกผลประโยชน์และตำแหน่ง ซึ่งหากชาวไทยไม่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิรูปประเทศนำโดยฝ่ายกองทัพ ที่มุ่งไปสู่การพึ่งพาฝ่ายข้าราชการประจำมากขึ้น สังคมไทยจะต้องปล่อยให้สถานการณ์พัฒนาไปในทิศทางนี้หรือ?
หากเป็นช่วงสถานการณ์การเมืองปกติ ภาคประชาชนคงก็ส่ายเสาะหาวิธีอื่นๆ มาแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยกันไปแล้ว ไม่ว่าจะออกมาชุมนุมเรียกร้อง ซึ่งหากรัฐบาลทั่วไปเกิดกรณีไม่ตอบสนอง ก็ต้องมีการยกระดับ รวมตัวกันขับไล่ และอาจเลยเถิดไปถึงการเผชิญหน้า ตามด้วยการปราบปรามจากทางภาครัฐ โดยสิ่งที่กล่าวมานี้ ไม่ได้แปลว่า จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลทหารที่มีอำนาจล้นมือไม่ได้
และในวันนี้ แม้กระแสความไม่พึงพอใจต่อรัฐบาลทหารจะทวีขึ้นเรื่อยๆ แต่คงยังไม่ช้าไป ที่ฝ่ายกองทัพโดย คสช.จะได้ตั้งสติพินิจพิจารณาเกี่ยวกับสภาพสังคมไทย และบทบาทของตนเองที่ควรจะสร้างสรรค์แนวทางการปฏิรูปประเทศอีกสักครั้ง อย่าเพียงมุ่งเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หากแต่ให้เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นเป้าหมายหลัก
แต่หากดื้อดึง ก้มหน้าก้มตาทำเหมือนเดิมต่อไป รูปการณ์คงยากลำบากยิ่งขึ้น วันนี้ประชาชนเข้าใจดีว่า มันคงจะวุ่นวายสักหน่อย หากรัฐบาลทหารจะเปลี่ยนทิศทางการปฏิรูปประเทศ เพราะฝ่ายกองทัพได้ก้าวไกลเข้าไปอยู่ในศูนย์แห่งอำนาจรัฐแล้ว นอกจากนั้นยังดูพึงพอใจและเพลิดเพลินอยู่ในอำนาจอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด แต่หากกลุ่มผู้นำมีความจริงใจและจริงจังกับคำมั่นสัญญาที่ให้ประชาชนไทยไว้เมื่อครั้งขึ้นกุมอำนาจ ก็คงไม่น่าจะยากจนข้นแค้นเกินไป
อย่าลืมว่า อำนาจที่ใช้ในวันนี้เป็นของประชาชนไทย ดังนั้นต้องใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชน และสังคมไทย อย่านำไปใช้ปฏิรูปเพื่อนำไปสู่สังคมเผด็จการ ซึ่งวันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นเงื่อนไขให้ประชาชนต้องเสียเวลาออกมาต่อต้านอำนาจเผด็จการรัฐกันอีก กลายเป็นวิกฤติทางการเมืองอีกหน และบ้านเมืองโดยรวมก็จะยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นไปอีก
ซึ่งในวันนั้น ภาระการปฏิรูปประเทศและการเสริมสร้างความสงบและเจริญก้าวหน้าจะตกไปอยู่กับใคร ผู้ใด ก็ยังมิอาจทราบได้
อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองอันได้แก่ผู้บริหารและสมาชิก ต้องเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในเรื่องปฏิรูปประเทศด้วย ไม่ว่ารัฐบาลทหารจะว่าอย่างไร หรือจะแค่คอยชะเง้อรอดูกองทัพจะตัดสินใจอย่างไร แล้วก็มีปฏิกิริยาวิพากษ์วิจารณ์ไปตามเรื่อง ให้ชาวบ้านก่นด่าว่า มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ นั่นเพราะมิได้ช่วยริเริ่มสร้างสรรค์โดยเฉพาะการเป็นผู้นำเสนอข้อแนะนำตามจุดยืนประชาธิปไตยของแต่ละพรรคว่า ไทยควรมีการปฏิรูปประเทศอย่างไรให้เป็นกิจจะลักษณะแก่สาธารณชน
อย่างไรก็ดี สิ่งแรกที่พรรคการเมืองทั้งหลายต้องทำก่อนจะไปแสดงความคิดเห็นแก่สาธารณชนเกี่ยวกับทิศทางและวิธีปฏิรูปประเทศก็คือ การปฏิรูปพรรคตนเอง ให้เป็นองค์กรประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะหากตราบใดที่ยังเป็นพรรคภายใต้นายทุน ภายใต้การตัดสินใจของคนไม่กี่คน ก็ยังเป็นพรรคที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย แล้วจะเสนอตัวเสนอความคิด ไปมีบทบาทหน้าที่ทางการเมืองประชาธิปไตยได้อย่างไร? จะเสนออะไรไป ก็ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ นอกจากนั้น
ยังจะเป็นที่หวาดหวั่น และรังเกียจจากประชาชนว่า พวกพรรคการเมืองคงเสนอเรื่องต่างๆ โดยมีนัยแอบแฝง มุ่งเข้าไปหาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง เช่นที่ผ่านมาเพียงเท่านั้น ข้อเสนอใดๆ จึงไม่เป็นที่น่ารับฟังจากสังคม เช่นทุกวันนี้
ที่สำคัญ กฎหมายพรรคการเมืองหลายๆ ประเทศประชาธิปไตย เขาไม่ต้องละเอียดสลับซับซ้อน ต่างมุ่งไปที่ความโปร่งใสของการบริหารจัดการ การเปิดเผยที่ไปที่มาของงบประมาณ ซึ่งทั่วไปก็เริ่มต้นจากการใช้จ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายในการรณรงค์ให้เกิดความเสมอภาคและยุติธรรมกฎหมายหลายๆ ประเทศมิได้ระบุว่า“ผู้นำและผู้บริหารพรรคต้องมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิก” เพราะเขาเห็นว่านี่เป็นเรื่องสามัญสำนึก เมื่ออยู่ในสังคมประชาธิปไตย ทุกพรรคก็ต้องมีความเป็นประชาธิปไตยภายในด้วย
ฉะนั้น ก่อนก้าวแรกของการปฏิรูปประเทศไทยที่สำคัญยิ่งก็คือ ทุกพรรคการเมืองจะต้องปฏิรูปตนเองให้มีการบริหารจัดการที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ โดยมีสมาชิกจริงๆ มาดำเนินการ
เลือกผู้นำพรรค ผ่านกระบวนการเลือกตั้งภายในพรรคที่สังคมได้รับรู้ นอกจากนั้นยังต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรค สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และมีส่วนร่วมตัดสินใจกับการจัดทำนโยบายหลักของพรรคได้
ด้วยเหตุที่พรรคต่างๆ ของไทย มักจะขาดกระบวนการต่างๆ ที่เล่ามา จึงไม่เกินไปนัก หากจะกล่าวว่า “ความล้มเหลวของเสรีประชาธิปไตยของไทย สาเหตุสำคัญที่สุดก็คือ ความล้มเหลวของพรรคการเมืองที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรค” เพราะเมื่อใดที่พรรคการเมืองดำรงตนเป็นพรรคแห่งการมีส่วนร่วมจากสมาชิกและชุมชน ซึ่งถือเป็นหลักประชาธิปไตยที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง ก็เท่ากับว่าพรรคนั้นเป็นประชาธิปไตยโดยพื้นฐาน เมื่อได้รับเลือกตั้งให้เข้าไปเป็นผู้บริหาร เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ก็จะช่วยกันนำพาการปฏิรูปประเทศให้เป็นสังคมประชาธิปไตยได้
ในวันนี้ วันที่ชาวบ้านเขา “ยี้” รังเกียจนักการเมือง อย่าเพียงแต่โต้เถียงว่า ช่วยแยกนักการเมืองดีออกจากนักการเมืองน้ำเน่าหน่อย หรือบอกเขาว่า อย่าไปฟังการใส่ร้ายป้ายสีนักการเมือง (เนื่องจากมันเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น) หากแต่พรรคและสมาชิกนั้นต้องรีบหันกลับมาดูตนเองว่า พวกตนหรือไม่ที่ไม่เคยทำตนเป็นประชาธิปไตยแม้แต่ภายในพรรค มัวแต่ชิงไหวชิงพริบอำนาจภายใน เมื่อเข้าไปบริหารประเทศก็สนใจแต่ประโยชน์ของกลุ่มและก๊วนตนมากกว่าบ้านเมือง เมื่อเข้าใจแล้ว ต้องรีบดำเนินการปฏิรูปพรรคตนเอง เริ่มจากการเลือกตั้งทุกระดับภายในพรรคที่สมาชิกทุกระดับมีส่วนร่วม รวมทั้งการจัดทำรายละเอียดงบประมาณ รายรับรายจ่ายของพรรคที่โปร่งใส สมาชิกพรรคสามารถเข้าถึงได้สะดวก
จากนั้น ถึงจะไปเสนอตัวช่วยปฏิรูปประเทศ ปฏิรูประบบข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ให้เป็นประชาธิปไตย โดยที่ประชาชนเขาไม่รู้สึกรังเกียจ เมื่อนั้น ประชาชนถึงจะเลิกคิดว่า ฝากอนาคตไว้ในมือระบบข้าราชการที่ล่าช้า ดีกว่าไปเสี่ยงกับการให้อำนาจกับนักการเมืองขี้โกง ซึ่งหากพรรคการเมืองทำไม่ได้ ก็คงต้องยอมก้มหน้ารับสภาพไปกับระบอบประชาธิปไตยแบบข้าราชการนำพาต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี