การที่พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกลุ่มผู้ชุมนุม ทำนองว่า หลายคนเข้าร่วมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาชวนก็มา...หรือคำพูดว่า หลายคนอาจจะอยากออกไปเลือกตั้ง แต่หลายคนบอกไม่ออกดีกว่า ให้ คสช.อยู่ต่อ...หรือที่พูดว่า เรื่องการชุมนุมถ้าผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการ...หรือที่ว่า นิสิต นักศึกษาพวกนี้เรียนมากี่ปีแล้ว จะจบเมื่อไหร่? เรียนจบมาเป็นแบบนี้ อย่าไปคิดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง และยังกล่าวอีกหลายประโยคในทำนองเดียวกัน ท่าทีที่ยังแข็งกร้าวและเหมาเข่งต่อผู้ชุมนุมเช่นเคย สวนทางกับท่าทีและผลตอบรับของประชาชนต่อการเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมรอบนี้ และอาจมีท่าทีขยายไปยังภูมิภาค ที่เห็นแล้วคือที่เชียงใหม่ โคราช และขอนแก่น ที่แม้ไม่รู้จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกันหรือไม่ หรือนิสิตนักศึกษาจัดตั้งเอง โดยที่ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่? แต่หัวใจของเรื่องนี้คือให้สังเกตกระแสตอบรับของประชาชนต่อกลุ่มผู้ชุมนุมเปลี่ยนไปจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อย่างเห็นได้ชัด
ปัจจัยของมวลชนมีส่วนเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ตลอดเวลา ทั้งคนที่ขึ้นมาเป็นแกนนำ หรือคนสนับสนุนหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง นักวิชาการ สื่อมวลชน แม้กระทั่งกลุ่มที่มีผลประโยชน์โดยตรงอย่างพรรคการเมือง เพราะไม่กี่วันมานี้ พบว่ามีข้อความระดับแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ไม่รู้หลุดหรือเจตนาพูดทำนองว่า“การชุมนุมครั้งหน้าจะไปร่วมอย่างแน่นอน และจะช่วยกันต่อสู้กับเผด็จการ”แม้ 2 วันถัดมา แกนนำคนอื่น
จะรีบออกมาแก้ตัวกลับลำว่า การชุมนุมของนักศึกษาไม่มีการเมืองแทรกแซง แค่อยากสนับสนุนให้เคลื่อนไหวเป็นไปตามวัตถุประสงค์เท่านั้น มาขนาดนี้ก็คงยากจะทำให้ทุกคนเชื่อใช่หรือไม่? ในขณะที่พรรคการเมืองอีกฝั่ง แม้จะไม่ออกมาสนับสนุนหรือเข้าร่วมโดยตรง แต่ก็พูดทำนองเสนอให้เปิดพื้นที่ทางความคิดให้ประชาชน รวมถึงเสนอทางออกโดยวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามไปมากกว่านี้ ขณะที่นักวิชาการและสื่อก็นำเสนอความเห็นและข่าวข้อมูลในทิศทางที่เปลี่ยนไป เรื่องแบบนี้ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ก็คงพอมองออก และไม่ว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร ก็น่าจะใช้โอกาสนี้มองให้รอบด้านเพื่อแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ณ วันนี้หากดูตามข้อเท็จจริง กลุ่มก้อนที่ไม่พอใจรัฐบาล คสช.น่าจะแยกได้ 2 กลุ่ม คือ1.กลุ่มที่มีปัญหากับคสช.มาตั้งแต่หลังรัฐประหารนั่นคือ ผู้สูญเสียอำนาจและมีคดีติดพัน และ 2.กลุ่มต่อต้านที่เกิดขึ้นภายหลังที่นับวันจะมีมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการบริหารงานของ คสช.ใช่หรือไม่?
ประการแรก ไล่เลียงตั้งแต่หลังรัฐประหาร กลุ่มการเมืองที่โดนโค่นล้มต้องเผชิญกับปัญหาคดีต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลนายกฯคนพี่ ยังดำเนินคดีไม่เสร็จสิ้น จนถึงคดีเกิดใหม่จากการดำเนินงานในรัฐบาลนายกฯคนน้อง ซึ่งต้องยอมรับว่า ฝ่ายกฎหมายทั้งในส่วนการเมืองและกลุ่มธุรกิจของกลุ่มนี้มีความเก่งและเชี่ยวชาญ ทั้งในเรื่องเทคนิคการต่อสู้ทางกฎหมาย
รวมถึงการสร้างแนวร่วมในกระแสข่าวและล็อบบี้ต่างประเทศ? นำบางเรื่องไปเป็นประเด็นสากลได้ไม่ยาก จุดประเด็นและชักจูงข่าวภายในประเทศ อย่างกรณีใช้ฝ่ายกฎหมายของพรรคออกมาเรียกร้องเชิงเทคนิคกรณีพิจารณาคดีลับหลัง ขอให้ทบทวนแก้ไขเนื้อหาหลักการสืบพยานที่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยว่า ยังมีประเด็นเรื่องการพิสูจน์ความจริงที่ขัดต่อหลักความเสมอภาค ทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและคดีทุจริตของนายใหญ่ เพราะเอาเข้าจริงย่อมรู้ดีว่ามีคดีตั้งต้น 3-4 คดี ขณะยังมีคดีอีกมากที่รอต่อแถว เพราะรู้ดีว่าการใช้เทคนิคกฎหมายหลายอย่าง รวมถึงกรณีจำเลยไม่อยู่ อาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะจากคดีหวยบนดินและคดีกฤษดาฯ ที่ศาลได้พิจารณาลับหลังจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว เป็นตัวอย่าง
ต่อมาภายหลังศาลตัดสินคดีจำนำข้าวและคดีจีทูจีของน.ส.ยิ่งลักษณ์และนายบุญทรง ที่แม้น.ส.ยิ่งลักษณ์จะหลบหนีไปได้ทันในวินาทีสุดท้าย แต่สุดท้ายศาลก็ตัดสินไปแล้วว่ามีความผิดทั้งคู่ ซึ่งคลื่นดูเหมือนจะสงบอยู่ได้ไม่นาน เมื่อตั้งตัวได้ก็รุกกลับอย่างรุนแรงทั้งกระแสข่าวโจมตีเรื่องการทุจริตของบุคคลในรัฐบาล คสช.อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับข่าวเดินสายล็อบบี้ของคู่พี่น้องทั้งในอังกฤษ จีนและญี่ปุ่น ประหนึ่งใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมไทย ใช่หรือไม่? ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไทยก็ยังงงๆทำตัวไม่ถูก หรือรู้แต่ไม่ทำ หรือรู้ไม่เท่าทัน ก็ไม่มีใครตอบได้? อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อการเมืองในประเทศ ทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในประเทศให้กับกลุ่มการเมืองที่เคยสนับสนุนระบอบทักษิณให้กลับมาเชื่อมั่นว่า การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว โดยมีกระแสข่าวการบินไปพบของบุคคลที่เกี่ยวข้องมากมาย ขณะที่สร้างความเชื่อมั่นเชิงลบให้ฝั่งข้าราชการไทยต่อรัฐบาลคสช. และกลับสร้างความเชื่อมั่นเชิงบวกของข้าราชการไทย ต่อแนวคิดว่าขั้วการเมืองไทยอาจเปลี่ยนไป และยังสร้างความลังเลถึงกระบวนการโครงสร้างอำนาจของบ้านเมืองหลังการเลือกตั้งว่าอาจจะมีทิศทางที่เปลี่ยนไปใช่หรือไม่? ที่สอดคล้องกับกระแสข่าวการเขย่าล้มรัฐบาลและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งมีแนวโน้มจะได้รับผลตอบรับมากขึ้นทุกที
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งทั้งในกรุงเทพฯที่นำโดยกลุ่มแกนนำที่คุ้นหน้าค่าตากันอย่างดี และที่เชียงใหม่ซึ่งนำโดยสมัชชาเสรีฯและนักวิชาการขาประจำ ซึ่งบางคนตั้งข้อสงสัยเป็นนักวิชาการขาประจำเฉพาะบางกลุ่มการเมือง ที่โดยมากจะวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ใช่หรือไม่? เอาเข้าจริงก่อนการชุมนุมของกลุ่มนิสิตนักศึกษาทั้งในกรุงเทพฯและเชียงใหม่ ได้มีการให้สัมภาษณ์ของแกนนำบางพรรคในทำนองยุยงปลุกปั่น? ว่าทางเดียวที่ประชาชนจะแสดงออกได้คือต้องออกจากบ้านทุกครั้งที่มีการชุมนุม ประการต่อมา มีคนเห็นอดีตการ์ดเสื้อแดงออกมาร่วมยืนถือป้ายเรียกร้องเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย เรื่องนี้ต้องไปตรวจสอบว่าจริงหรือไม่? ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ม.44 ที่ใช้ควบคุมนักการเมือง ที่ทำให้ไม่เห็นแกนนำพรรคออกมาเคลื่อนไหวโดยตรง พบแต่เพียงให้สัมภาษณ์และแถลงการณ์ของพรรคและบุคคลในพรรค ตีคู่ไปกับการชุมนุม ซึ่งเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ? แต่ต้องย้ำว่าเป็นเพียงบางกลุ่มเท่านั้น แต่ที่น่าสนใจคือกระแสตอบรับของประชาชนทั้งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับขั้วการเมืองและไม่เกี่ยวข้องเลยกลับพบกระแสตอบรับที่ดีขึ้น?
อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเหมาว่ารวมทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกันได้ และอย่าได้มัดรวมกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดว่าเป็นกลุ่มเดียวกันเพราะเมื่อเจาะไปดูข้อเรียกร้องพบว่ามีทั้งเรื่องเลือกตั้งและไม่ใช่เรื่องเลือกตั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของรัฐบาลคสช. ก็มีการเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมมาแล้วหลายเรื่อง ทั้งหมด โดยมากคือปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ตั้งแต่เรื่องราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทั้งข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา ทั้งที่ต้นเหตุเกิดจากราคาตลาด ปัจจัยการผลิต ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งการเปิดช่องบางประการเพื่อเอื้อธุรกิจบางกลุ่ม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เกษตรกรเดือดร้อน แต่นายทุนกลับได้สินค้าเกษตรราคาถูก ซึ่งยังไม่นับรวมกระแสความไม่พอใจหรือกระแสต่อต้านของอีกหลายกลุ่มที่ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและเล็ก หรือ SME ในประเทศ ตั้งแต่ความผิดพลาดในการตัดสินใจเรื่องนโยบายประมง ที่ส่งผลกระทบต่อวิกฤติแรงงานไทย ลามไปจนถึงวิกฤติธุรกิจประมงและห้องเย็นที่ยังขาดทุนจนถึงทุกวันนี้ซึ่งยังไม่มีวี่แววจะฟื้นทำให้ธุรกิจชุมชนรอบๆ กลุ่มโรงงานก็ซบเซาไปด้วยครอบคลุมประชาชนนับล้านคน หรือผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดจากการตัดสินใจนโยบายที่ผิดพลาดด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้หลายต่อหลายครั้ง ก็ได้สร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับประชาชนชนชั้นกลางอย่างมาก แม้รัฐจะออกนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาลูบหลังเมื่อปลายปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีนโยบายใดเลยที่จะเข้าไปสร้างหรือแก้ปัญหาความสัมพันธ์ของกลุ่มกองเชียร์รัฐบาลนี้ที่เริ่มมีใจออกห่างแล้ว? นั่นก็คือกลุ่มคนชนชั้นกลาง โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางในกรุงเทพฯและหัวเมืองตามต่างจังหวัด
ดังนั้นรัฐบาลก็อย่าได้แปลกใจถ้าวันนี้จะมีหลายกลุ่มลุกขึ้นมาต่อต้าน? แต่ที่ต้องเริ่มคิดก็คือเหตุใดจึงมีการสนับสนุนจากหลายภาคส่วนไม่เว้นแต่ข้าราชการที่เป็นมือไม้ ถ้าไม่มีการตรวจแถวให้ดี ตรวจหลังบ้านให้ดี ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มีการปีนเข้ารั้วบ้านเจาะหลายกระทรวงผ่านอธิบดีและรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็นมือเป็นไม้ให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างเงียบๆ หากรัฐบาลคิดจะแก้ปัญหาอย่างจริงจังไม่ควรเป็นการมัดรวมฝ่ายต่างๆ ที่ไม่ใช่ข้างตัวเองไว้ในก้อนเดียว และจัดการแบบเบ็ดเสร็จประหนึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านทางการเมืองทั้งหมด หากแต่ควรแยกแยะปัญหาและแยกแยะคน หรือกลุ่มต่อต้าน หรือกลุ่มที่ไม่พอใจขัดแย้งออกมาเป็นส่วนๆ เลือกแก้เป็นจุด เพื่อลดศัตรู ตัดแนวร่วม และดึงกองเชียร์กลับมา ซึ่งอาจจะต้องรวมถึงกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ไม่ควรกวาดต้อนให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เพราะจากประวัติศาสตร์หลายต่อหลายครั้งการปิดกั้นกลุ่มการเมืองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์มักจะเกิดผลกระทบที่รุนแรง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือควรตรวจหลังบ้านตัวเองให้ดีว่าใครที่ต่อสายเชื่อมถึงศัตรูแล้วบ้าง....
“...มีแต่ชาวชนบทอันโง่งม จึงประดับทรัพย์อยู่บนร่างจนหมดสิ้น...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่อง ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี