8 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)มีมติเอกฉันท์ 170 ต่อ 0 เสียงเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ถือเป็นการเริ่มนับหนึ่งอย่างเป็นทางการ สำหรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor (EEC) ที่มีการพูดกันมาแล้วเป็นปี
ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นเหมือนภาค 2 ต่อยอดจากโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก Eastern Seaboard Development Program (ESB) ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525-2529)
ตลอดระยะเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมา โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดถือได้ว่าประสบความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ ที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย ทั้งโรงงานอุตสาหกรรมรถยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีปริมาณการส่งออกระดับโลก
ปัจจุบันด้วยแผนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลที่เห็นความสำคัญที่ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอาเซียน จึงเกิดเป็นโครงการอีอีซี เพื่อยกระดับการแข่งขันและทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตได้ในระยะยาว โดยมีเป้าหมายคือการยกระดับการลงทุนในทุกด้านไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านบาทใน 5 ปีแรก ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579)
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เป็นการต่อยอดการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง จากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับการลงทุน ซึ่งสิ่งที่จะได้เห็นจากการพัฒนาพื้นที่ตามที่รัฐบาลวางโครงการไว้ คือการแบ่งเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก 5 พื้นที่ ประกอบด้วย
1.) เขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก : เมืองการบินภาคตะวันออก (Special EEC Zone : Eastern Airport City) พื้นที่ 6,500 ไร่ เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค
2.) เขตส่งเสริมนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation :
EECi) พื้นที่ 3,000 ไร่ ที่วังจันทร์วัลเล่ย์ จ.ระยอง และพื้นที่ 120 ไร่ ที่อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม และ ชุมชน ด้วยการพัฒนาวิจัยและนวัตกรรม
3.) เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand : EECd) พื้นที่ 709 ไร่ ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เพื่อขยายและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล รองรับการเป็น Data Hub ของอาเซียน
4.) นิคมอุตสาหกรรม Smart Park พื้นที่ 1,466 ไร่ จ.ระยอง
5.) นิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 พื้นที่ 1,900 ไร่ จ.ระยอง
งานด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งที่จะได้เห็นมีตั้งแต่ รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออก แอร์พอร์ต เรลลิงค์ รถไฟฟ้าสายสีแดง เชื่อมโยง 3 สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมืองอู่ตะเภา โดยสนามบินอู่ตะเภาจะถูกปรับจากสนามบินทหารมาเป็นเพื่อการพาณิชย์, การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกหลัก 3 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 และท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ, การพัฒนาโครงข่ายรถไฟเชื่อมโยง 3 ท่าเรือ และระบบการจัดการขนส่งแบบบูรณาการทั้งรถไฟและท่าเรือแบบไร้รอยต่อ
(Seamless Operation)
นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนงานการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย,การพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่, การพัฒนาศูนย์กลางการเงิน, การพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย และเทคโนโลยี, การพัฒนาเมืองใหม่ ฉะเชิงเทรา-พัทยา-ระยอง, การประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และแผนปฏิบัติการการเกษตร ชลประทาน และ
สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกนี้ อยู่ภายใต้การดูแลของ “คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” ที่มี
นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กรรมการประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ตั้งแต่กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง พาณิชย์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีอำนาจตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การให้ความเห็นชอบแผนภาพรวมเพื่อพัฒนาพื้นที่ การกำหนดเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษการอนุมัติแผนงานโครงการงบประมาณ หรือให้สัมปทานต่างๆ ตลอดจนการกำหนดสิทธิพิเศษให้กับผู้ลงทุน
ในการกำหนดเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ คณะกรรมการนโยบายจะประกาศเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจด้านต่างๆ ซึ่ง
ในกฎหมายได้กำหนดไว้ว่าจะต้องมีด้านต่างๆ อย่างน้อยต่อไปนี้คือ ยานยนต์สมัยใหม่, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ, การแปรรูปอาหาร, หุ่นยนต์, การบินและโลจิสติกส์, เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล, การแพทย์และสุขภาพครบวงจร
นักลงทุนที่จะลงทุนกับธุรกิจเหล่านี้ จะมีโอกาสได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด อาทิ สิทธิ์ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการโดยการอยู่อาศัย, สิทธิ์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร, สิทธิ์ในการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากร, สิทธิ์ในการทำธุรกรรมทางการเงิน, ที่ได้รับการยกเว้นเงื่อนไขต่างๆ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยรายละเอียดให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการนโยบาย กำหนด เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 15 ปี, การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ, การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุนและวิจัย, การอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในกิจการที่ได้รับการส่งเสริม, การให้สิทธิ์เช่าที่ดินราชพัสดุนาน 50 ปี และต่ออายุได้อีก 49 ปี, การกำหนดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ร้อยละ 17 ซึ่งถือว่าต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียน และการให้วีซ่าทำงานนานถึง 5 ปี
มาตรการเหล่านี้ถือเป็นมาตรการส่งเสริมการลงทุนพิเศษ ซึ่งนักลงทุนจะต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิพิเศษเหล่านี้
แม้ สนช. เพิ่งจะลงมติรับรองร่างกฎหมาย แต่โครงการอีอีซีได้เริ่มเดินหน้ามาเป็นระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ที่มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 2/2560 เรื่องการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกภายใต้การดูแลของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีสถิติการลงทุนในปีที่แล้วที่เก็บบันทึกจาก BOI ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2560 จำนวน 147 โครงการที่ได้รับการอนุมัติ มูลค่ารวม 109,116 ล้านบาท
ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม มาตรา 8 กำหนดให้ดำเนินโครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จะต้องทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน (EIA/EHIA) แต่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าการพัฒนา 3 จังหวัดเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเต็มรูปแบบขนาดนี้ ประกอบกับมีการแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ก็เปิดทางให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ “ดำเนินโครงการไปพลางก่อนได้ ระหว่างรอผลการประเมินด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม” รวมถึงคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 47/2560 ที่ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดอีอีซีใหม่ทั้งหมด โดยไม่ให้นำกฎหมายผังเมืองมาใช้บังคับ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ แม้จะเป็นประโยชน์ต่อการลงทุน แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะต้องกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ทั้ง3 จังหวัด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่มีการก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 2532 อันเนื่องมาจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ก็เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ทั้งข่าวสารเคมีรั่วไหลในพื้นที่ชุมชน ซึ่งสถิติของกระทรวงสาธารณสุข ในช่วงปี พ.ศ. 2550 พบว่าประชาชนในเขตมาบตาพุดและใกล้เคียงได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง มีอัตราป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มสูงกว่าระดับประเทศ และมีแนวโน้มสูงขึ้น อัตราป่วยโรคเนื้องอกและมะเร็ง เด็กพิการ และโครโมโซมผิดปกติแต่กำเนิดเพิ่มขึ้น ตลอดจนเกิดภาวะขาดแคลนน้ำในพื้นที่ระหว่างชุมชนกับภาคอุตสาหกรรม จนนำไปสู่การเคลื่อนไหวของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อย่างที่เรารู้กันมาโดยตลอด
“โครงสร้างพื้นฐาน” มาแน่ แต่คงต้องฝากเรื่อง “เป้าหมาย”เช่น เราจะเน้นอุตสาหกรรมด้านใด ที่เน้นสอดรับกับวัตถุดิบที่เรามีในประเทศเพื่อไปสู่การแปรรูป และสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม
ขณะนี้เราเป็นประเทศส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก ที่มีจีนเป็นผู้ซื้ออันดับ 1 ของโลก เพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ในจีน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ แม้ไทยยังเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบมากที่สุด แต่ประเทศจีนคือฝ่ายที่ได้กำไรจากการแปรรูปวัตถุดิบยางพาราไปเป็นยางรถยนต์
แต่ถ้าเรามี “เป้าหมาย” ที่ชัดเจน ว่าอยากสร้างมูลค่ายางพาราไทยให้สูงขึ้น “อีอีซี” น่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้ประสบผลสำเร็จได้ ทั้งความพร้อมด้วยเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนต่างๆ ประกอบกับความได้เปรียบที่ประเทศไทยเป็นต้นทางวัตถุดิบยางพารา ก็นับเป็นจุดที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการยางรถยนต์รายใหญ่มาตั้งฐานการผลิตหลักในอีอีซี
ผู้ประกอบการจะได้รับความคุ้มทุนในระยะยาวที่ไม่ต้องนำเข้าวัตถุดิบยางพาราข้ามประเทศ และยังสามารถแปรรูปเป็นยางรถยนต์เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน ประกอบกับช่วงเวลาตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ภาษีนำเข้ายางรถยนต์ของจีนได้ลดลงเหลือร้อยละ 5 ตามข้อตกลง FTA อาเซียน-จีน จึงเป็นโอกาสประจวบเหมาะพอดิบพอดี ที่ไทยควรนำเอาจุดเด่นเหล่านี้ ฉกฉวยดึงนักลงทุนบริษัทผลิตยางยักษ์ใหญ่เข้ามาในประเทศไทย เพื่อตั้งฐานการผลิตยางรถยนต์แล้วส่งออกกลับไปบุกตลาดจีนที่มีผู้ใช้รถยนต์มากที่สุดในโลก
และในที่สุดแล้ว ถ้าเราวางเป้าหมายให้ดี มีเป้าหมายชัดเจนเพื่อแปรรูปและสร้างมูลค่าสินค้าเกษตร อย่างเช่นยางพาราตามที่ได้ยกมานี้ ผลประโยชน์จะไม่ได้ตกอยู่เพียงแค่ 3 จังหวัดอีอีซีเท่านั้น แต่ผลประโยชน์จะกระจายไปทั่วประเทศ สร้างงาน สร้างมูลค่าสินค้าการเกษตร สร้างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ดังนั้น อย่าให้การพัฒนา
“อีอีซี” มีผลประโยชน์กระจุกตัวอยู่แค่ 3 จังหวัด และผู้ประกอบการต่างชาติเท่านั้น แต่ต้องได้ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจทั้งประเทศ ... ถึงจะคุ้มค่าครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี