มีข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวเลข การส่งออกของไทยในเดือนมกราคม 2561 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 62 เดือน ที่ร้อยละ 17.6 หรือคิดเป็นมูลค่า 20,101 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการส่งออกขยายตัวได้ดีในทุกตลาดสำคัญ
สาหรับการส่งออกรายสินค้ามีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 โดยเฉพาะ ข้าว ผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลัง ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป มีการขยายตัวในระดับสูงทั้งด้านปริมาณและราคา ขณะที่ น้าตาลทราย มีการขยายตัวในระดับสูงจากด้านปริมาณเป็นหลัก สาหรับกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 โดยสินค้าที่มีการขยายตัวในระดับสูง ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์
สาหรับแนวโน้มการส่งออกไทยในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจส่งออกที่อยู่ในระดับเชื่อมั่น (65.4) สอดคล้องกับดัชนีคาดการณ์ความสามารถในการแข่งขันที่ยังอยู่ในช่วงความเชื่อมั่น (62.5) โดยสินค้าสาคัญที่คาดว่าจะมีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ
มูลค่าการค้ารวมมูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนมกราคม การส่งออกมีมูลค่า 652,511 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 664,643 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.7 ส่งผลให้การค้าขาดดุล 12,132 ล้านบาท
มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมกราคม การส่งออกมีมูลค่า 20,101 ดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 17.6 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในขณะที่การนาเข้ามีมูลค่า 20,220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวตัวร้อยละ 24.3 ส่งผลให้การค้าขาดดุล 119 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ที่ร้อยละ 16.2 (YoY) โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว ขยายตัวร้อยละ 37.2 (ขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงโดยเฉพาะตลาดบังกลาเทศ เบนิน แอฟริกาใต้ ฮ่องกง สหรัฐฯ แคเมอรูน และจีน) ผลิตภัณฑ์มันสาปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 42.3 (ส่งออกไปตลาดเวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน สหรัฐฯ ไต้หวัน และมาเลเซีย ขณะที่ตลาดอินโดนีเซียยังคงหดตัว) น้ำตาลทราย กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 42.2 (ส่งออกไปตลาดศรีลังกา ญี่ปุ่น ไต้หวัน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 18.4 (ส่งออกไปตลาดเกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น) อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 20.4 (ส่งออกไปตลาดเกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น) สินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา หดตัวร้อยละ 20.7 (ส่งออกไปตลาดจีน เกาหลีใต้ เยอรมนี และญี่ปุ่น โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยทางด้านราคา ขณะที่การส่งออกในตลาดอินเดีย ตุรกี มาเลเซีย และบราซิล ขยายตัวได้ในระดับสูง) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 7.3 (ส่งออกไปตลาดเยอรมนี แคนาดา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น)
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องในระดับสูงเป็นเดือนที่ 11 ที่ร้อยละ 17.2 (YoY) โดยสินค้าสาคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 18.2 (ส่งออกไปชิลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 21.5 (ส่งออกไปตลาดเวียดนาม จีน เนเธอร์แลนด์ มาเลเซีย และฮ่องกง) เครื่องยนต์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 87.9 (ส่งออกไปตลาดฮ่องกง จีน สหราชอาณาจักร มาเลเซีย และญี่ปุ่น ขยายตัวได้ในระดับสูง) เคมีภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 40.5 (ส่งออกไปตลาดจีน อินเดีย เวียดนาม สหรัฐฯ และมาเลเซีย) สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ทองคำ ยังคงหดตัวร้อยละ 21.3 (หดตัวในตลาดกัมพูชา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และลาว ขณะที่บังกลาเทศขยายตัวสูง)
คือสรุปว่าการส่งออกไปตลาดสำคัญๆ ขยายตัวทุกตลาด ตลาดสหรัฐฯ, ตลาดญี่ปุ่น, ตลาดสหภาพยุโรป,ตลาดจีน,ตลาดเอเชียใต้, ตลาดอาเซียน, ตลาด CLMV, ตลาดทวีปออสเตรเลีย, ตลาดตะวันออกกลาง, ตลาดเครือรัฐเอกราช (CIS), ตลาดลาตินอเมริกา และตลาดอื่นๆ ที่ไทยเป็นคู่ค้า
การส่งออกในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออกไทย โดยคาดว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2561 จะมีแนวโน้มขยายตัวที่ร้อยละ 3.9 (สูงสุดในรอบ 7 ปี) โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแผนการปฏิรูปภาษี นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนยังคงขยายตัวได้ในเกณฑ์ดีจากการบริโภคและการลงทุน เช่นเดียวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่คาดว่าจะสามารถรักษาพลวัตการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศ นอกจากนี้ทิศทางราคาน้ามันที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามอุปสงค์โลก และการปรับลดกาลังการผลิตตามข้อตกลงของกลุ่มผู้ผลิต OPEC และ Non-OPEC จะส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าของประเทศคู่ค้าหลัก ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งผลผลิตสินค้าเกษตรโลกที่มีโอกาสผันผวนตามสภาพอากาศ
ดูข้อมูลแล้วบรรดานักธุรกิจ เกษตรกร คงจับทางได้ถูกนะครับว่าจะโกยกำไรกันอย่างไร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี