ก็ต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า บ้านเมืองของเราทุกวันนี้มีความฟั่นเฟือนวิปริตไปเป็นอันมาก อันเกิดมาจากการบังคับใช้กฎหมายวิปริตฟั่นเฟือนไป ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากตัวบทกฎหมายบางอย่างนั้นฟั่นเฟือน และการบังคับใช้กฎหมายก็ยิ่งวิปริตฟั่นเฟือนไป
ความฟั่นเฟือนนั้นเป็นอาการของความไม่มีธรรมในประเทศ หากไม่ป้องกันแก้ไขให้ทันท่วงที ในที่สุดก็จะถึงกาลสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน ดังภาษิตที่ว่า “ชาติใดไร้ธรรมอำไพ ชาตินั้นบรรลัยแน่นอน”
ความวิปริตฟั่นเฟือนในบ้านเมืองทำให้ราษฎรไม่เป็นสุข มีความทุกข์หมกไหม้อยู่ในอก กระทั่งถึงขั้นที่รู้สึกว่าพึ่งกฎหมายบ้านเมืองไม่ได้ ในที่สุดก็ลงมือแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าการที่ทำไปนั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย
ดังเช่นกรณีเรื่องราวของป้าทุบรถที่กำลังโด่งดังสนั่นหวั่นไหวในบ้านเมือง และกำลังบานปลายขยายวงไปอีกหลายเรื่อง ทั้งๆที่เนื้อแท้ของเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว แต่เพราะความวิปริตฟั่นเฟือนที่เป็นไปในบ้านเมืองจึงเกิดเรื่องราวโกลาหล
เริ่มต้นของเรื่องเกิดขึ้นจากการที่มีคนนำรถไปจอดขวางหน้าบ้าน แล้วเจ้าของบ้านออกจากบ้านไม่ได้จึงทุบรถนั้นเสียหาย ตอนแรกที่เป็นข่าวก็มีการด่าว่าเจ้าของบ้านกันเป็นการใหญ่ ว่าช่างโหดร้ายใจดำ
ต่อมาความจริงก็ถูกเปิดเผยว่าพื้นที่นั้นเป็นบ้านจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัย และเจ้าของบ้านนั้นก็เป็นเจ้าของบ้านรายหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรนั้น แต่ต่อมามีมือดีเปิดเป็นตลาดค้าขายในหมู่บ้านจัดสรร ตามรายงานข่าวระบุว่ามีการเปิดตลาดโดยผู้เปิดตลาดถึง 5 ราย และเป็นการเปิดตลาดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ
และเปิดกันมาเป็นเวลานับสิบปี จึงทำให้เกิดความเดือดร้อนขึ้นแก่ผู้ซื้อบ้านจัดสรร เพราะแทนที่จะอยู่กินอย่างปกติสุขในฐานที่เป็นหมู่บ้านที่อยู่อาศัย กลับกลายเป็นตลาดที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและเปิดค้าขายกันตามสบายใจชอบ เกิดความอึกทึกครึกโครมขึ้น แต่ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมายก็ไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยิน ทั้งๆ ที่มีการร้องเรียนไม่หยุดไม่หย่อน
สำหรับเรื่องราวที่เกิดเหตุขึ้นนั้นเป็นเรื่องเกิดเหตุซ้ำซาก เพราะเมื่อเป็นตลาดก็ต้องมีผู้เอารถไปจอดหน้าบ้านเพื่อซื้อข้าวของ ทำให้เจ้าของบ้านซึ่งอยู่ไม่เป็นปกติสุขอยู่แล้วต้องเดือดร้อนเพิ่มขึ้นเนื่องจากออกจากบ้านไม่ได้ ไปร้องเรียนกับผู้มีหน้าที่ แทนที่จะแก้ไขก็เอาเครื่องมือมาล็อกล้อรถยนต์นั้นซึ่งซ้ำหนักเข้าไปอีก เพราะเจ้าของรถก็ขับรถไปไม่ได้ กว่าจะติดต่อให้ปลดล็อกและขับรถไปได้ก็ยิ่งเสียเวลามากขึ้น เจ้าของบ้านจึงเขียนป้ายประกาศไว้เต็มประตูบ้านถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้มีหน้าที่คนไหนรู้เห็นและแก้ไขให้
และแล้ววันหนึ่งก็คงคับใจถึงขีดสุด จึงทุบรถที่จอดขวางหน้าบ้านนั้นแล้วเกิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น จนถึงขั้นเป็นเรื่องเป็นราวขยายเป็นวงกว้างในโซเซียลมีเดีย ในที่สุดทางราชการก็เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งความจริงเจ้าของรถก็ขอโทษขอโพยไปแล้วแต่เรื่องยังไม่จบ
เพราะมีมือดีกำลังจะตรวจสอบเพื่อเรียกเก็บภาษีป้ายจากเจ้าของป้ายที่เขียนป้ายเกี่ยวกับความเดือดร้อน เท่านั้นแหละประชาชนก็เดือดแค้นรุมกันกล่าวหาเรียกร้องว่า กรณีเป็นเรื่องไม่เป็นธรรม เรียกร้องให้ตรวจสอบไต่สวนเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ปล่อยปละละเลยเหตุการณ์นี้ขึ้นซึ่งหากมีการดำเนินคดีกันจริงๆ จังๆ ก็คงมีคนติดคุกนับสิบปี
มาถึงขั้นนี้ความจริงก็เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า การเปิดตลาดดังกล่าวนั้นยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการ ดังนั้น ใครมีหน้าที่จัดการแต่ยังเพิกเฉยไม่แก้ไข ก็เสี่ยงที่จะต้องรับผิดทางอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต
นอกจากนั้นยังมีการแฉกันต่อไปว่า ผู้ประกอบตลาดดังกล่าวนั้นก็จัดว่าเป็นเส้นสายใหญ่ที่ใครๆ ในประเทศนี้ก็รู้จัก และกำลังส่งผลกระทบกระเทือนต่อรัฐบาลอยู่เป็นอันมาก
ที่สำคัญก็คือมีการเปิดเผยตัวเลขรายได้ในการประกอบธุรกิจว่ามีรายได้ในระดับร้อยบาทต่อปีเท่านั้น จึงทำให้เกิดความสงสัยโดยทั่วไปว่า กิจการตลาดแบบนี้จะมีรายได้เท่านั้นจริงหรือ หรือว่ามีการหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษี
จากนั้นก็มีเสียงเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ทำการตรวจสอบการเสียภาษีของผู้ประกอบการตลาดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้เสียภาษีทั่วประเทศ
แล้วก็ลุกลามไปถึงพวกนักการเมือง ตลอดจนอิทธิพลและอำนาจที่อาจทำให้การบังคับใช้กฎหมายวิปริตฟั่นเฟือนไป
เพราะถึงวันนี้ต้นตอของปัญหาคือการเปิดตลาดในหมู่บ้านจัดสรรเพื่อการพักอาศัยโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการว่าจะจัดการกันอย่างไร ก็ยังอึมครึม ทำให้เกิดความขัดอกขัดใจ และความคับแค้นใจในหมู่ประชาชน
เพราะคนทั้งหลายนั้นมีน้ำใจเป็นธรรม เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นก็จะมีจิตใจโน้มไปที่จะเรียกหาความเป็นธรรมให้แก่เพื่อนร่วมชาติที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น
และแทนที่จะมีการแก้ไขให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขในบ้านเมือง กลับไม่ทำ มิหนำซ้ำยังราดน้ำมันเข้ากองไฟด้วยการซ้ำเติมผู้ทุกข์ร้อน ดังที่จะเรียกเก็บภาษีป้ายกันอีก
ก็อยากจะคอยดูเหมือนกันว่าเอากันให้ถึงที่สุด ทางหนึ่งก็เรียกเก็บภาษีป้าย อีกทางหนึ่งก็ดำเนินคดีอาญากับผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้ติดคุกติดตะราง เป็นตัวอย่างไว้ในบ้านเมืองบ้างก็คงจะดี!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี