เมื่อคืนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นเวลาช่วงกลางวันของเยอรมนี ประเทศที่ตั้งขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) ได้มีการประกาศผลดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชัน หรือที่ ป.ป.ช. เรียกชื่อใหม่ว่า ดัชนีการรับรู้การทุจริต ซึ่งมีชื่อทางการเป็นภาษาอังกฤษว่า Corruption Perception Index (CPI) ของปี 2560 ว่าไทยได้คะแนน 37 จาก 100 อยู่อันดับที่ 96 จาก 180 ประเทศทั่วโลก พอเช้าวันรุ่งขึ้นสำนักข่าวหลายสำนักก็ลงพาดหัวกันต่างๆ นานา บ้างก็ว่า สถานการณ์คอร์รัปชันไทยปีนี้ดีขึ้นในสายตาโลก บ้างก็ว่าไทยยังสอบตกตกลงว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ แล้วดัชนี CPI ที่พูดถึงนี้มันบอกอะไรเราได้บ้าง
ที่จริงเราก็พูดถึงดัชนี CPI นี้อยู่เป็นประจำทุกต้นปี เพราะเป็นช่วงที่ TI จะประกาศผลออกมาเป็นประจำ และทุกปีก็จะพบสถานการณ์คล้ายๆ เดิม คือ มีการตีความผล CPI ออกไปแตกต่างกัน ทำให้ผู้ติดตามสถานการณ์สับสนกันไปบ้าง วันนี้บทความของเราจึงจะสรุปผล CPI และสถานการณ์การคอร์รัปชันของไทยอย่างง่ายให้ได้รับทราบกันนะครับ โดยจะวิเคราะห์แยกเป็น 3 ประเด็นหลักๆ ได้แก่ ความเข้าใจต่อ CPI การตีความดัชนี และความครอบคลุมของดัชนี
ประเด็นแรก ก่อนจะสามารถตีความได้อย่างถูกต้องชัดเจน ขออธิบายโดยสังเขปว่า ดัชนี CPI นี้คืออะไร และบอกอะไรเราได้บ้าง ตามที่ได้เกริ่นไปแล้วว่าองค์กร TI เป็นผู้จัดทำดัชนีนี้ ทีมงานของเขาจะรวบรวมเพื่อเฉลี่ยผลคะแนนจากดัชนีอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน เช่น ดัชนีมุมมองของนักธุรกิจต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยต่อสถานการณ์คอร์รัปชันโดยทั่วไป ดัชนีที่ถามประสบการณ์ว่าเคยต้องจ่ายสินบนหรือไม่เวลาต้องติดต่องานราชการ ดัชนีที่ชี้วัดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศไทย การประเมินของผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองและความเป็นประชาธิปไตย เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยในปี 2560 TI เขานำดัชนีอื่นๆ ถึง 8 ดัชนีมารวมกันแล้วหาค่าเฉลี่ยเป็นเลขตัวเดียว เพื่อง่ายต่อการสื่อสารและเปรียบเทียบ ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่าที่นักวิเคราะห์หลายคนและสำนักข่าวหลายสำนักมีการตีความที่แตกต่างกันไปนั้น ไม่น่าแปลกใจ เพราะจากดัชนีย่อยๆ ทั้ง 8 ดัชนีนี้บางตัวก็ดีขึ้น บางตัวก็แย่ลง ซึ่งจะชี้แจงรายละเอียดต่อไป
ข้อสังเกตหนึ่งที่ลืมไปไม่ได้ ในการตีความผลนี้ คือ ผลที่ประกาศออกมานี้คือผลที่วัดสถานการณ์ของปีที่แล้วนะครับดังนั้นหลายเหตุการณ์ที่เราได้ฟังได้อ่านในข่าวบ่อยๆในช่วงต้นปีนี้จึงยังไม่ถูกสะท้อนออกมาในผลล่าสุด และนี่เองจึงเป็นสาเหตุหนึ่งของข้อด้อยของดัชนีนี้ นั่นคือ ผลที่ออกมานั้นอาจจะไม่สะท้อนสภาพความเป็นจริงเนื่องจากคนเรามักจะสะท้อนความเห็นจากประสบการณ์อันยาวนาน ดังนั้น ถ้าถามความรู้สึกต่อสถานการณ์ในปีนี้ เราก็มักจะนำประสบการณ์ในอดีตเข้ามาเจือปนในคำตอบด้วย จึงมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งออกมาให้ข้อสังเกตว่า CPI นี้เปลี่ยนแปลงได้ยากมากต้องมีเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากขนาดที่คนลืมเรื่องในอดีตไปเลย จึงจะมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปต่อสถานการณ์และจึงจะทำให้ดัชนีเปลี่ยนแปลงไปได้
ประเด็นที่สอง เมื่อเข้าใจลักษณะของ CPI โดยสังเขปแล้ว จึงจะขอตีความผลในปี 2560 ที่เพิ่งประกาศนะครับ คะแนนที่ไทยได้รับในปีนี้คือ 37 คะแนน พัฒนาเพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้วซึ่งเราได้ 35 คะแนน ผมขอตีความว่าโดยภาพรวมไทยไม่ได้แย่ลง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะฉลองกันได้แล้ว นั่นเพราะ 2 คะแนนที่เพิ่มขึ้นมานั้น มาจากดัชนีย่อยบางตัวที่ดีขึ้นและบางตัวที่ลดลง
และตัวที่ลดลงก็เป็นดัชนีที่สะท้อนเรื่องสำคัญเสียด้วย เช่น ผลกระทบของสินบนต่อความสามารถในการแข่งขันทางการค้า การลงโทษคนทุจริต และความเป็นประชาธิปไตยที่มีผลต่อการลดโอกาสการคอร์รัปชัน
เมื่อมองเทียบกับประเทศอื่นๆ อีก 180 ประเทศที่ดัชนีนี้ชี้วัดด้วย อันดับไทยดีขึ้นจากปีที่แล้วที่เราได้อันดับ 101 มาเป็นอันดับที่ 96 ไต่มาจากเลขสามหลักเหลือแค่สองหลัก ซึ่งเป็นข้อที่คนที่ตีความในแง่ชื่นชมสถานการณ์มักยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยๆ แต่ผมอยากจะลองยกประเทศอื่นที่อยู่ในอันดับที่ 96เท่ากับไทยนะครับ ได้แก่ ประเทศบราซิล โคลอมเบีย อินโดนีเซีย ปานามา เปรู และแซมเบีย มองที่ประเทศเพื่อนบ้านเราคือ อินโดนีเซีย ที่ปีนี้ได้อันดับเดียวกับเรา ทราบไหมครับว่าเมื่อเพียงสิบกว่าปีทีแล้วไทยมีอันดับสูงกว่าเขาเป็นเท่าตัว แต่ตอนนี้อินโดนีเซียไล่ตามมาจนทันแล้ว
ดังนั้นจึงขอสรุปการตีความผลว่า ดีที่ไทยไม่ได้แย่ลง แต่ไม่ดีมากกว่าที่ไทยไม่มีพัฒนาการ ต้องคิดไว้เสมอว่าดัชนีนี้มีไว้กระตุ้นให้เราพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
ไม่ได้ให้รักษาให้คงไว้เท่าเดิม และเนื่องจากมีหลายแง่มุมของสถานการณ์คอร์รัปชันที่แย่ลง เราจึงยังต้องทำงานต่อต้านการคอร์รัปชันต่อไปอย่างเข้มข้น
เล่ามาถึงจุดนี้ ผู้อ่านบางท่านอาจรู้สึกว่าทำไมผมมองโลกในแง่ร้ายเสียจริง นี่ขนาดคะแนนรวมดีขึ้นแล้วนะยังวิจารณ์ได้ขนาดนี้ จึงต้องกล่าวถึงประเด็นที่สามของบทความนี้นั่นคือ คอร์รัปชันเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนอย่างมาก มองด้วยดัชนีเดียวไม่ได้ แม้ดัชนี CPI จะรวบรวมเอาดัชนีอื่นๆ มาหาค่าเฉลี่ยแล้วก็ยังไม่ครบทุกแง่มุมของปัญหานี้และส่วนที่ขาดหายไปส่วนหนึ่งคือความหวังสำคัญของไทยในการต้านโกงเลย นั่นคือความเข้าใจปัญหาและความพร้อมในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหานี้ของประชาชนและรัฐบาล
ในด้านประชาชนนั้น ผลจากดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย (Corruption Situation Index : CSI) ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่าคนไทยจำนวนมากขึ้นเห็นว่าคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ไม่ยอมรับรัฐบาลทุจริตแต่มีผลงาน เห็นว่าแม้การให้สินน้ำใจเล็กๆน้อยๆ แก่เจ้าหน้าที่รัฐก็เป็นเรื่องเสียหาย และสำคัญที่สุดคือยินดีที่จะมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน
ในส่วนของรัฐบาลในวันนี้ คนไทยสามารถภูมิใจได้กับดัชนี Global Corruption Barometer (GCB)ที่จัดทำโดยองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (TI) เจ้าเดิมที่จัดทำดัชนี CPI ที่เขาวัดความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำหน้าที่ของรัฐบาลในการต่อต้านการคอร์รัปชัน ดัชนี GCB นี้วัดมาตั้งแต่กลางปี 2558 ถึงต้นปี 2560 ปรากฏว่ากลุ่มตัวอย่างคนไทยจำนวนมากกว่า 72% พึงพอใจกับการทำหน้าที่ของรัฐบาลในการต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งตัวเลขนี้ทำให้ไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลกในด้านนี้เลยทีเดียว
ผมจึงขอสรุปปิดท้ายบทความนี้สลับประเด็นจากข้อท้ายสุดขึ้นไปถึงข้อแรก นั่นคือ การทำความเข้าใจสถานการณ์คอร์รัปชันให้ลึกซึ้งนั้น ดูจากดัชนีเดียวแล้วตีความสรุปเลยไม่ได้ ต้องดูและวิเคราะห์หลายๆ ดัชนีและลักษณะสถานการณ์ประกอบกันไป เนื่องจากปัญหาคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนมาก มีสาเหตุและผลกระทบที่หลากหลาย ไม่สมควรนำมิติใดของคอร์รัปชันที่ดีขึ้นหรือแย่ลงมาตีความเหมารวมสถานการณ์ทั้งหมดเพราะนั่นอาจมีผลให้นโยบายต่อต้านคอร์รัปชันมีความแคบและจึงไร้ประสิทธิผล นักวิเคราะห์และผู้ออกนโยบายจึงควรทำความเข้าใจการวัดผลการคอร์รัปชันผ่านดัชนีต่างๆ อย่างลึกซึ้ง เพื่อจะได้เห็นทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของดัชนีต่างๆและไม่หมกมุ่นอยู่กับการเพิ่มตัวเลขบางตัวมากเกินไปจนหลุดจากการเห็นความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุมของเหตุและผลของปัญหาอันซับซ้อนนี้ไปเสีย
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี