สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่น่าตื่นตระหนกตกใจอย่างยิ่งข่าวหนึ่ง นั่นคือรายงานข่าวที่ระบุว่าจะมีการรวมกรมจัดเก็บภาษีทั้งสามกรมเข้าเป็นหน่วยงานเดียวกัน และให้มีความเป็นอิสระในการดำเนินงานด้วย แต่ทว่าข่าวนี้แม้สำคัญยิ่งใหญ่ กลับไม่มีใครสนใจ เพราะมัวสนใจอยู่กับข่าวโกงหวย 30 ล้าน และข่าวตลาดดังมีรายได้ปีละไม่ถึงร้อยบาท
กรมจัดเก็บภาษีสามกรมนี้ก็คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ซึ่งทั้งสามกรมนี้ล้วนสังกัดในกระทรวงการคลังอยู่แล้ว และมีหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษี และรายได้แผ่นดินเกือบทั้งหมด คือนอกจากเงินกู้แล้ว ก็เป็นรายได้จากการจัดเก็บภาษีของทั้งสามกรมนี้ทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อจะจัดการเรื่องสามกรมจัดเก็บภาษีดังกล่าวดังที่เป็นข่าวจึงเป็นเรื่องที่ข้าราชการทั้งหลายของกระทรวงการคลัง ของกรมสรรพากร ของกรมศุลกากร และของกรมสรรพสามิต จะต้องช่วยกันคิดและติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองที่ส่งผลความเป็นความตายของประเทศชาติและประชาชนด้วย
เรื่องที่น่าแปลกก็คือ เรื่องใหญ่โตขนาดนี้กลับไม่มีการแถลงโดยโฆษกรัฐบาล หรือสำนักนายกรัฐมนตรี หรือกรมประชาสัมพันธ์ แต่เป็นข่าวที่แพร่หลายออกมาจากหน่วยงานบางหน่วยงาน แบบเดียวกับข่าวที่แพร่หลายเรื่อง EEC หรือข่าวเกี่ยวกับการลงทุนสารพัด ซึ่งถ้าเป็นจริงตามที่เป็นข่าวนั้น บรรดาตัวเลขการลงทุนก็จะล้นประเทศไทยไปถึงสวรรค์ชั้นไหนแล้วก็ได้
ทำไมจะต้องรวมสามกรมภาษี และทำไมจะต้องให้ดำเนินการโดยอิสระ เป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาว่า ใครเป็นคนต้นคิดต้นอ่านเรื่องนี้ และจะทำเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร และเพื่อใครกันแน่
โดยเฉพาะถึงวันนี้ก็ไม่เคยแว่วข่าวจากปากคำของนายกรัฐมนตรีเลย กลายเป็นว่าเรื่องใหญ่ระดับนี้มีใครก็ไม่รู้เป็นผู้เปิดเรื่องและขับเคลื่อนกันอยู่ โดยที่นายกรัฐมนตรีไม่เคยปริปาก ทำราวกับว่า “ลงกานี้เป็นสองเมืองหรือ ให้น้องแล้วจะยื้อไปให้พี่”
ประเทศไทยจะให้มีใครตั้งตนเป็นรัฐบาลแฝงไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเพียงเท่าที่เป็นอยู่นี้ก็สับสนวุ่นวายมากพอแล้ว
ก่อนอื่นต้องบอกให้รู้โดยทั่วไปว่า ในปัจจุบันนี้ทั้งสามกรมจัดเก็บภาษีก็รวมกันอยู่ในหน่วยงานเดียวกันอยู่แล้ว คือ กระทรวงการคลัง และแยกภาระหน้าที่ในการจัดเก็บภาษี ตามที่แตกต่างกันไป
กรมสรรพากร มีหน้าที่จัดเก็บภาษีเงินได้ คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจัดเก็บจากเงินได้ทั้งหลายของบุคคลธรรมดาและกองมรดก รวมทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจัดเก็บจากกำไรสุทธิ จากผลประกอบการของนิติบุคคลทั้งหลาย ตามกรรมวิธีที่กฎหมายกำหนด
โดยมีประมวลรัษฎากรเป็นหลักในการจัดเก็บภาษีฝ่ายสรรพากรมาตั้งแต่ พ.ศ.2484 จนถึงปัจจุบันนี้
กรมศุลกากร มีหน้าที่จัดเก็บภาษีจากการนำเข้าสินค้า หรือส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศ โดยจัดเก็บเป็นอัตราตามที่กฎหมายกำหนดจากราคาสินค้าที่ประเมิน
โดยมีพระราชบัญญัติศุลกากรเป็นหลักในการจัดเก็บ
กรมสรรพสามิต มีหน้าที่จัดเก็บภาษีจากการผลิตและจากการนำเข้าหรือการขายสินค้าบางชนิด โดยเฉพาะคือ สุรา บุหรี่ ไพ่ และอื่นๆ
โดยมีพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิตเป็นหลักในการจัดเก็บ
ทั้งสามกรมนี้แหละเป็นกรมหลักในการจัดเก็บรายได้แผ่นดินเพื่อนำใช้จ่ายตามงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปี ดังนั้นเมื่อทั้งสามกรมภาษีรวมอยู่ในหน่วยงานเดียวกันคือ กระทรวงการคลัง แล้วจะเอาไปรวมเป็นหน่วยงานเดียวกันที่ไหนอีก
ยังมีภาษีอื่นๆ ปลีกย่อย เช่น ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีป้าย เป็นต้น ซึ่งได้แบ่งหน้าที่ไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดเก็บ ซึ่งถ้าจะเอามารวมเป็นหน่วยจัดเก็บในกระทรวงการคลังเสียได้ก็จะเป็นการดีที่สุด
ในการบริหารแผ่นดินของรัฐบาลนั้นมีเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารและพัฒนาประเทศ รวมทั้งการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาตินั่นคือนโยบายภาษีที่จะใช้สำหรับการจัดเก็บภาษี การเพิ่ม หรือลด หรือยกเว้นการจัดเก็บภาษี เพื่อส่งเสริมหรือเพื่อคุ้มครองป้องกัน การค้าการลงทุน และผลประโยชน์แห่งชาติ
ดังนั้นหน่วยจัดเก็บภาษีทั้งสามกรมจะให้เป็นอิสระไม่ได้ และจะต้องอยู่ภายใต้รัฐบาล จะต้องเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการดำเนินหรือใช้ภาษีอากร ในการบริหารราชการแผ่นดิน และในการพัฒนาหรือปกป้องเศรษฐกิจของประเทศ
การจะให้ทั้งสามกรมภาษีแยกจากกระทรวงการคลังไปรวมเป็นหน่วยงานเดียวกัน และแยกออกไปเป็นอิสระนั้นจะทำให้รัฐบาลขาดเครื่องมือสำคัญ คือ นโยบายภาษีในการบริหารราชการแผ่นดิน และถ้าให้เป็นอิสระแล้วก็อาจใช้ความเป็นอิสระนั้นสวนทางกับนโยบายของรัฐบาล หรือขัดขวางนโยบายของรัฐบาลอย่างไรก็ได้
ที่สำคัญที่สุด หน่วยงานอิสระดังว่านี้จะกุมชะตากรรมของรัฐบาลและประเทศนี้ และมีอำนาจเหนือรัฐบาล เพราะเป็นผู้จัดเก็บรายได้เกือบทั้งหมดของแผ่นดิน
ไม่ต้องคิดในทางร้าย ซึ่งห้ามใครไม่ได้ เพราะคนทั้งหลายย่อมมีสิทธิ์คิดว่า บทเรียนในการแยกรัฐวิสาหกิจบางแห่งออกเป็นอิสระ ในที่สุดก็นำไปแปรรูปแบ่งเป็นหุ้นออกขาย ในที่สุดนักการเมือง
ทุนสามานย์ก็จะยึดกิจการสมบัติของรัฐเป็นส่วนตัว และก่อกรรมทำเข็ญแก่บ้านเมืองและประชาชนดังที่รู้เห็นกันอยู่ก็ได้
ลองนึกกันดูเถิดว่าถ้ากรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตแยกไปรวมกันเป็นองค์กรหนึ่งต่างหากและเป็นอิสระแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง บรรดาผู้เสียภาษีทุกคนจะนอนตาหลับหรือการลงทุนและการค้าทั้งหลายจะมีความมั่นใจอะไรได้หรือ เพราะเมื่อเป็นองค์กรอิสระแล้ว ใครเล่าจะไปคาดหมายได้ว่าจะใช้ความเป็นอิสระไปถึงไหน และเป็นอย่างไร
ไม่ต้องอื่นไกล เอากันแค่การแยกสถาบันการศึกษาออกไปอยู่นอกระบบ ไม่ทันไรก็ฉิบหายวายวอดกันทั้งบ้านทั้งเมือง ระบบการศึกษาของประเทศเหลวแหลกเละตุ้มเป๊ะ การทุจริตคอร์รัปชั่นระบาดไปทั้งบ้านทั้งเมือง ศีลธรรมและคุณธรรมเสื่อมโทรมถึงขีดสุดจนกู่กันไม่กลับอยู่แล้ว
และถ้าหากการจัดเก็บภาษีเดินซ้ำรอยเข้าไปอีกแล้วจะเป็นอย่างไร
ที่สำคัญที่สุด มันไม่ใช่นโยบายของ คสช. และรัฐบาลนี้ คสช. และรัฐบาลนี้เข้ามาปกครองบ้านเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงของประเทศชาติ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อรื้อถอนโครงสร้างบ้านเมือง ดังที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
ทั้งเวลาของรัฐบาลนี้ก็มีไม่มากนัก
ไปทำเรื่องที่ไปให้คำมั่นสัญญากับประชาชน และทำเรื่องเร่งด่วนที่เป็นภัยคุกคามบ้านเมือง หรือเรื่องที่ทำให้ประเทศชาติจมอยู่ในวิกฤติเสียก่อนจะดีกว่า
ระวังให้ดีว่าเรื่อง EEC เรื่องที่จะเอานักธุรกิจมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และเรื่องแยกสามกรมภาษีเป็นอิสระนั้นเป็นเรื่องใหญ่หลวงของบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องที่ใครเพ้อฝันเอาเอง คิดเอง
เออเองแล้วจะทำได้ เพราะรังแต่จะก่อความขบขันและความสมเพชเวทนา ให้กับผู้คนในแผ่นดินเสียมากกว่า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี