ในแวดวงการเมือง ไม่ว่าระบอบใด จะระบอบปิดหรือเปิด เสรีประชาธิปไตยหรือเผด็จการ เรามักจะเห็นการพยายามอุ้มชูผู้นำหรือหัวหน้าพรรคอย่างไม่ลืมหูลืมตา จากบรรดาสมาชิกพรรค ชนิดไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง ก็พร้อมแบกกันไป ไม่แคร์ว่าผู้นำหรือหัวหน้าพรรคนั้นมีพฤติกรรมเลวแสนเลวขนาดไหน อาจคงเพราะมัวแต่กลัวว่า หากขับหัวหน้าออก จะนำไปสู่การล่มแตกสลายของกลุ่มผลประโยชน์ตน ส่งผลให้ขาดตัวเชื่อมตัวยึดที่จะกุมอำนาจต่อไปเพราะผู้นำของตนมีอำนาจที่จะปิดทางมิให้ผู้เห็นต่าง รวมทั้งพรรคฝ่ายค้านได้ย่างใกล้เข้ามาสู่ศูนย์อำนาจ ซึ่งในหลายๆกรณีนั้น ก็เป็นเพราะลูกพรรคต่างยึดติดกับการพึ่งพาบุญบารมีของผู้นำพรรคอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เมื่อคนที่ควรเป็นตัวแทนของประชาชนทำตัวเป็นลูกหาบเช่นนี้ ชาวบ้านจึงต้องทนทุกข์ทรมานกันไป ประเทศชาติก็กลายสภาพไปสู่การเป็นรัฐล้มเหลวกึ่งถาวรหรือหนักเข้าก็ระดับถาวรเลยทีเดียว
หากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขความเลวร้ายนี้ ไม่สามารถพึ่งพาบรรดาลูกพรรคได้ สุดท้ายก็ต้องตกเป็นภาระหน้าที่ของประชาชนพลเมือง ที่ต้องรวมตัวกันออกมาประท้วงต่อต้าน ซึ่งปกติก็จะถูกตอบสนองด้วยความรุนแรงจากผู้กุมอำนาจรัฐ ที่อ้างความมั่นคงของประเทศ (ทั้งๆที่เรื่องจริงคือความมั่นคงของผลประโยชน์ตน) จนบานปลายเป็นเหตุการณ์ปราบปรามประชาชน นำไปสู่การประกาศสภาวะฉุกเฉิน เปิดทางให้ผู้นำสามารถใช้อำนาจรัฐแบบเผด็จการเต็มรูปแบบ โดยเกือบจะทุกครั้งมักจบลงด้วยการเคลื่อนกำลังออกมายึดอำนาจโดยฝ่ายกองทัพ
ไม่ว่าผลจะเป็นแบบใด ประชาชนพลเมืองก็ตกเป็นเบี้ยล่างซ้ำซากครั้งแล้วครั้งเล่า
ในระดับภูมิภาคอาเซียน ณ วันนี้ ชาวโลกก็ยังเห็นพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลต่างพยายามอุ้มชูปกป้องคุ้มครองผู้นำหรือหัวหน้าพรรคอย่างเปิดเผย โจ่งแจ้ง แม้มีปัญหาความไม่โปร่งใสหรือข้อกังขาจากประชาชน แต่ลูกพรรคยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อเสียงครหา ประณามและขับไล่ ตัวอย่างที่ชัดเจนดูได้จากกรณีพรรคอัมโนของมาเลเซีย ที่ยังก้มหน้าก้มตาอุ้มชูนายนาจิบ ราซะห์ นายกรัฐมนตรี ที่สะบักสะบอมจากคดีฉาวต่างๆ โดยเฉพาะคดีทุจริตคอร์รัปชั่นข้ามเขตแดนที่ฉ่อนกระจายไปทั่วโลก
มองไปที่พม่า พรรคเอ็นแอลดี ก็สยบอยู่แทบเท้านางออง ซาน ซู จีที่ไม่แสดงท่าทีใดๆในการลงมือแก้ปัญหาวิกฤติชาวโรฮีนจา ทั้งๆ ที่เคยได้รับเกียรติจากชาวโลกว่า เป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและหลักพหุวัฒนธรรม แต่ปัจจุบันเมื่อครองอำนาจแล้ว กลับเห็นดีเห็นงามกับฝ่ายกองทัพ ผู้เป็นจำเลยในการละเมิดสิทธิประชาชนพลเมืองพม่าทุกรูปแบบมาเป็นเวลาร่วมครึ่งศตวรรษ
ขณะที่กัมพูชา เราก็เห็นความยิ่งใหญ่ของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซ็น ที่กุมอำนาจบริหารประเทศเบ็ดเสร็จมา 30 กว่าปีที่มีข้อครหาว่าเคยร่วมมือกับเขมรแดงในอดีต รวมทั้งใช้อำนาจคุกคามคู่ต่อสู้ทางการเมืองทุกรูปแบบ แต่บรรดาสมาชิกพรรคของเขายังคงก้มหัวเคารพเชื่อฟัง ยอมสยบด้วยดี เพียงเพื่อจะได้ร่วมแบ่งผลประโยชน์ต่อไป ไม่ต้องสนใจประชาชนชาวเขมรจะรู้สึกอย่างไร
ข้ามไปฟิลิปปินส์ ประธานาธิบดีดูเตอร์เตแสดงการใช้อำนาจชัดเจน จนทำให้เหลือฝ่ายค้านในสภาแค่ 7-8 คน สมาชิกสภาที่เหลือจากทุกพรรคต่างยอมสวามิภักดิ์ใต้อาณัติ ร่วมเห็นดีเห็นงามกับนโยบายศาลเตี้ยขจัดพ่อค้ายาเสพติด แม้เป็นการละเลยอำนาจตุลาการตามหลักประชาธิปไตยไปก็ตาม
ส่วนที่ลาวและเวียดนามคงไม่ต้องพูดถึง ต่างเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์มาช้านาน ผูกขาดอำนาจชนิดที่ประชาธิปไตยไม่ได้ผุดได้เกิด มีทั้งพรรคและผู้นำที่คิดอ่านบนพื้นฐานอำนาจนิยมเหมือนๆ กัน
ที่อินโดนีเซีย ก่อนหน้านี้ดูจะมีแววสดใส แต่ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด และพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบันกลับเริ่มปิดหูปิดตา ไม่สนใจการย่างก้าวเข้ามามีอิทธิพลกับการเมืองของหลักศาสนา ซึ่งเป็นการละเลยหลักการแยกศาสนาออกจากการเมืองพหุสังคม ที่เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญหลังได้รับเอกราชจากเจ้าอาณานิคมเนเธอร์แลนด์
ท้ายสุดที่ไทยเรา หนักกว่าหน่อยตรงที่ระดับผู้นำประเทศได้โอบอุ้มค้ำชูนายพลที่มีรสนิยมหรู ผู้มีงานอดิเรกแสดงคอลเลคชั่นสวมใส่นาฬิกาอภิมหาราคาแพงเกินกว่าเงินเดือนข้าราชการสุจริตจะซื้อหามาใส่ได้ขนาดที่นายกฯต้องเรียกคนระดับรัฐมนตรีมาตักเตือน ด้วยเหตุที่ไปพูดเรื่องศีลธรรมจรรยาเกี่ยวกับบุคคลที่อยู่ในคณะรัฐบาลด้วยกัน ทำให้นายพลท่านนี้ระคายเคืองหู ระดับผู้นำประเทศยังเกรงใจขนาดนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมพรรคทหารการเมือง และพลพรรค คสช.อื่นๆ จึงต่างเคารพยำเกรงนายพลนาฬิกา ชนิดไม่กล้าขัดอะไร โดยประชาชนชาวไทยได้แต่มองตาปริบๆ มีบ่นกันบ้างในโลกอินเตอร์เนตเป็นกระแสช่วงสั้นๆที่ไม่สามารถส่งไปกระทบโสตประสาทหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ ให้ทำหน้าที่ให้สมกับเกียรติแห่งข้าราชการไทยแม้แต่น้อย
รวมความแล้ว จัดได้ว่าพรรคการเมืองต่างๆในอาเซียนเลือกที่จะเดินตามก้นผู้นำหรือหัวหน้าพรรค โดยลืมความสำคัญของสิทธิ์และประโยชน์ของประชาชนพลเมือง รวมทั้งความถูกต้องชอบธรรมใดๆ ซึ่งถือเป็นความน่าหดหู่และอดสูของพวกเราชาวประชาคมอาเซียนร่วม 600 ล้านชีวิต ที่ไม่สามารถจะพึ่งพรรคการเมืองได้
เมื่อเป็นเช่นนี้คงไม่เกินไป หากจะพูดว่า พวกเราชาวภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในวันนี้ค่อนข้างจะล้าหลังทางการเมืองมากกว่าทวีปแอฟริกาเสียแล้ว
ที่กล้าพูดเช่นนี้ เพราะดูได้จากเหตุการณ์ในซิมบับเวที่พรรคซานู สามารถบีบให้ประธานาธิบดี โรเบิร์ต มูกาเบ ยอมลงจากตำแหน่งที่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จมายาวนาน โดยไม่เสียเลือดเนื้อ หลังจากฝ่ายกองทัพช่วยอำนวยความสะดวกให้เกิดการเปลี่ยนผ่านการเมืองโดยไม่ต้องทำปฏิวัติรัฐประหารใดๆ
นอกจากนั้น ที่แอฟริกาใต้ พรรคเอเอ็นซี ก็ประสบความสำเร็จกดดันให้ประธานาธิบดีจาค็อบ ซูมา ออกจากตำแหน่ง เนื่องมาจากมีชนักติดหลังเกี่ยวกับการสร้างเครือข่ายคอร์รัปชั่นเป็นร้อยๆคดี
ทั้ง 2 พรรค 2 ประเทศ ได้แสดงตัวอย่างของการเห็นผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นหลัก โดยเลือกไม่อุ้มผู้นำที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งทั้ง 2 พรรค ตัดสินใจบนพื้นฐานความถูกต้องชอบธรรมเป็นหลัก นอกจากนั้น ที่ไลบีเรีย อดีตประธานาธิบดีหญิงเอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ ก็เพิ่งถูกขับไล่จากพรรคของตน เนื่องจากปฏิเสธที่จะสนับสนุนตัวแทนพรรคที่สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จนทำให้พรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พรรคนี้ยึดมั่นหลักการมากกว่าบุญคุณต้องทดแทน
วกกลับมาที่ไทยเราอีกหน่อย นอกจากกรณีนายพลนาฬิกาหรูฝั่งผู้กุมอำนาจแล้ว อีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐบาลทหาร ก็ยังคงพร้อมจะโอบอุ้ม 2 อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พี่ผู้น้องที่หนีคดีความไปต่างแดนอย่างเหนียวแน่น โดยบรรดาลูกพรรคยังให้ความเคารพยำเกรง เนื่องจากหวังพึ่งบารมีและยังติดหนี้บุญคุณกัน เลยกล่าวได้ว่า ไทยเราเต็มไปด้วยการอุ้มนายโดยลูกพรรค โดยกลุ่มพรรคพวกในเครื่องแบบ ทั้งที่รู้แก่ใจว่า นายได้ทำผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ผิดความชอบธรรม
รัฐบาลทหารเผด็จการก็อุ้ม รัฐบาลจากการเลือกตั้งก็อุ้ม ขณะที่แอฟริกาก้าวแซงไทยไปแล้ว เรื่องการเมืองมิใช่เรื่องทางวัตถุอย่างเดียวเพราะเป็นเรื่องความเจริญด้านจิตสำนึกที่แสดงออกมาต่างหาก
คงต้องฝากเอาไว้ว่า ประเทศไทยนั้น รัชกาลที่ 5 โปรดให้เลิกทาสนานแล้ว หลังจากนั้นรัฐสยามนี้เป็นเอกราชมาโดยตลอด เมื่อไหร่ลูกพรรคจึงจะคิดปลดแอกตนเอง และชาวไทยให้ออกจากการเป็นทาสผู้มีอำนาจกันเสียที?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี