“ผมไม่ได้สนใจ ไม่มีอะไรจะฝาก เพราะผมไม่ได้อาศัยคนพวกนี้ ผมกินภาษีประชาชนเป็นเงินเดือน ไม่ได้สนใจ คุณจะลงยังไง พูดยังไงก็พูดกันไป มันไม่ได้มีอยู่ในกฎหมายบ้านเมือง ภาพพวกนี้ไม่ได้นำไปประกอบสำนวน ไม่ได้ทำให้สำนวนเปลี่ยน”
นี่คือคำตอบของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ที่ตอบคำถามเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพไหว้นายเปรมชัยที่ออกไป อยากจะฝากถึงคนที่คิดไม่ดีหรือสังคมควรไตร่ตรองอย่างไร
อันที่จริง คำถามดังกล่าว ควรนำไปถามนายกฯ องค์กรสื่อทั้งหลาย ว่าความ “ตกต่ำทางจริยธรรมสื่อ” ที่ถึงขั้นขายภาพ “ศรีวราห์ไหว้เปรมชัย” กิน สะท้อนอะไร และพึงทำอย่างไรมากกว่า
แน่นอน คำตอบของ พล.ต.อ.ศรีวราห์นี้ อาจมีลักษณะ “มะนาวไม่มีน้ำ” หรือ “กวนตีน” อยู่บ้าง อันเป็นบุคลิกส่วนตัว ซึ่งยังผลให้เกิดความรักความชังต่อตัวเขาเองได้ แต่หากสังคมเป็น “สังคมมีสติ” หรือ “สังคมมีสาระ” ก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของสำนักข่าวที่ “ขายภาพนิ่ง” ศรีวราห์ไหว้เปรมชัยกินอย่างน่าละอาย
ยกตัวอย่างการพาดหัวข่าวของแมนเนเจอร์ออนไลน์ ที่พาดหัวข่าวว่า “กราบบบบ! เปรมชัยดอดพบตำรวจ ศรีวราห์บินสอบเอง”
1) กิริยาในภาพ และที่จริงควรดูในคลิป มันคือการ “รับไหว้” 2) รับไหว้ หมายถึงมีคนอื่นไหว้ก่อน แล้วเราแสดงความมีมารยาทรับไหว้ 3) ในเหตุการณ์นี้ นายเปรมชัย ยกมือไหว้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ก่อน ค้อมตัวมาสวยเชียวล่ะ ศรีวราห์ซึ่งทั้งอ้วน เตี้ย และหอบหมวกอยู่ ก็ยกมือขึ้นรับไหว้ ติดทั้งหมวก ติดทั้งพุง ก็เลยรับไหว้ได้แค่ระดับนั้น 4) สื่อสำนักนี้ถึงกับใช้คำว่า “กราบ” ซึ่งบิดเบือนอย่างหนัก หรือจริงๆ แล้วมีการศึกษาไม่พอที่จะแยกกิริยา ไหว้ รับไหว้ และกราบ ออกจากกัน 5) กราบ จึงไม่ใช่ “ความจริง” จะบอกว่าสื่อไม่รู้ความจริงได้ไหม ไม่ได้ เพราะในข่าว ก่อนจะมาเป็นภาพดังกล่าวนี้ สื่อที่ลงพื้นที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ถ่ายคลิปมาประกอบข่าวด้วย และในข่าวเดียวกันนี้ ก็มีคลิปประกอบอย่างชัดเจน 6) การใช้คำว่า “กราบ” จึงเป็นการจงใจ ที่ “หวังผล” ให้คนเข้ามาแชร์เข้ามาด่าใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็สมปรารถนาเสียด้วย เพราะมีมนุษย์ที่มีการศึกษา อ่านออกเขียนได้ จำนวนมาก ไม่แม้กระทั่งกดดูเหตุการณ์ในคลิป อ่านพาดหัวข่าว แล้วก็ “รุมด่า” กันอย่างเมามัน เหมือนสังคมไร้การศึกษา
7) อีกคำคือคำว่า “ดอดพบ” ซึ่งมีความหมายเหมือนย่องไปพบ นัดพบกันลับๆ 8) พล.ต.อ.ศรีวราห์เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ได้รับมอบหมายให้กำกับการทำสำนวนคดีนี้ นายเปรมชัยเป็นผู้ต้องหา เลื่อนการให้ปากคำมาสองสามรอบ บัดนี้มา ซึ่งมาตามหมายเรียก น่าจะไม่ใช่ “ดอดพบ” ละกระมัง ส่วน พล.ต.อ.ศรีวราห์นั้น ถามว่าเขามีสิทธิจะไปพบ ไปดู ไปสั่งการ ในการสอบปากคำไหม? หรือกระทั่งลงมือสอบปากคำเอง ก็เป็นการกระทำที่ชอบตามกฎหมายและตามหน้าที่แล้วใช่ไหม 9) นายเปรมชัยไปด้วยยานพาหนะส่วนตัว พล.ต.อ.ศรีวราห์ไปด้วยยานพาหนะของทางราชการ ไปอย่างเปิดเผย เฉพาะ พล.ต.อ.ศรีวราห์นั้น มีการแถลงข่าว ตอบคำถามสื่อ สื่อบางสำนักยัง “ไลฟ์” ให้ดูเลย ว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์มา ในเวลาที่สื่อยังไม่เห็นด้วยซ้ำ ว่านายเปรมชัยมาแล้ว การพบกันของคนทั้งสองจึงไม่เข้าข่าย “ดอดพบ”
10) บัดนี้เราทุกคน อยู่ในโลกที่ความจริง ความเท็จ อคติ และความบิดเบือน ขวักไขว่ไปหมด หากปราศจากซึ่งความมีสติ ความเคารพตัวเอง และรู้จักใช้ความรู้ที่เคยมีมา เพื่อจะกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น คุณก็จะกลายเป็นไอ้โง่ อีงั่ง เป็นจิ้งหรีดที่ “ข้อมูล” ทั้งหลาย จะปั่นหัวคุณได้ง่ายๆ และกลายเป็นคลิก เป็นไลค์ เป็นแชร์ ที่พวกหากินอย่างไร้จริยธรรม จะนำไปหล่อเลี้ยงชีพ อย่างปราศจากสำนึกรับผิดชอบ
12) สื่อบางราย ตั้งประเด็นอีกว่า สองคนนี้นัดกัน นัดแล้วยังไงหรือครับ การออกหมายเรียก มันก็คือการนัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ แล้วมันผิดตรงไหนที่เขาจะนัดกัน พอให้เลื่อนก็ด่า พอเขามาก็บอกว่านัดกัน จะเอายังไงกันครับ ถึงจะพอใจพระเจ้าประคุณแม่เจ้าประคุณทั้งหลาย??!?
คนเขายกมือไหว้กัน อีกคนหนึ่งรับไหว้ อะไรคือ “สาระสำคัญ” ครับ?!?!?
“ถ้าเป็นตาสีตาสา มันจะรับไหว้อย่างนั้นไหม” เออ...อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับ มาถามผม แล้วผมจะถามใคร “ทำไมต้องไหว้ต่ำ นอบน้อมซะขนาดนั้น” ก็บอกแล้วไงว่าติดพุงและหอบของอยู่ คลิปมีให้ดู ก็ดูกันบ้างสิ ฯลฯ ผมคิดว่าสาระของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ คนไทยไม่ไว้ใจตำรวจ และเชื่อในอำนาจเงิน จึงกลัวว่าครั้งนี้ตำรวจจะช่วยเศรษฐีให้รอดคดีเท่านั้นแหละ แต่การคิดในมุมนี้ ก็ควรมีเหตุผลที่ดีรองรับ ไม่ใช่คิดเองเออเองไปเรื่อยเปื่อย แล้วสร้างอุปาทานหมู่ขึ้นมา
สังคมไทยขณะนี้ กำลังเผชิญปัญหาที่น่าตกใจคือ
1.สื่อมุ่งสร้างเรตติ้ง ละทิ้งจรรยาบรรณ 2.คนอ่านทิ้งสติปัญญาของตัวเอง เสพแต่อารมณ์ 3.สื่อหลักไม่เป็นหลัก ไปเล่นตามโซเชียล แข่งกันแย่งคลิก เพื่อมาพยุงฐานะ ความวิบัติทางจรรยาบรรณจึงเกิดขึ้น 4.คนไม่เลือกเสพสิ่งที่เป็น “แก่นสาร” มุ่งมั่นต่อการขบกัด “พระพี้” 5.คุณภาพการอ่านของคนเลวทรามลงเรื่อยๆ อ่านไม่จบ อ่านไม่ครบ ก็ “รู้แจ้งแทงตลอด” หมดแล้ว จากนั้นรีบละล่ำละลักคำด่าออกมา หลากไหล ท่วมท้น
เพจ “ข่าวช่องวัน” นำเสนอภาพนิ่งการไหว้กันครั้งนี้เช่นกัน พร้อมข้อความว่า “#ช็อตเด็ด ชาวเน็ตแซว #ศรีวราห์ รับไหว้ #เปรมชัย อย่างนอบน้อม ขณะโผล่ให้ปากคำเพิ่มคดี #ทุ่งใหญ่ #ข่าวช่องวัน” แต่ภาพประกอบนั้น ไปเลือกเอาความเห็นของคนมาแปะไว้ในภาพด้วย ซึ่งมีข้อความว่า “ตำรวจใหญ่ โค้ง (คำนับ) รับไหว้เจ้าสัวฯ คดีนี้ ดูท่าแล้ว สำนวนส่งฟ้องอ่อนแอแน่ๆ” ซึ่งเข้าข่าย “ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน” อย่างชัดเจนมาก แต่ก็นั่นแหละ พล.ต.อ.ศรีวราห์ให้สัมภาษณ์แล้วว่า ไม่เอาความใดๆ กับใคร เรื่องก็คงจบไปโดยที่สื่อและคนให้ความเห็นไม่ได้รับ “บทเรียน” แห่งการ “ล้ำเส้นกฎหมายและจริยธรรม”
ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้จะปกป้อง พล.ต.อ.ศรีวราห์ แต่ประการใด เพราะผมก็ไม่ได้ “ขอแกกิน” เหมือนกัน (ฮา...) แต่ต้องการสื่อและสังคมที่มีกติกา มีปัญญา และใช้มัน เพื่อให้เราทุกคนนั้นได้อยู่ในสังคมที่มีคุณภาพ
ปรากฏการณ์สังคมเกี่ยวกับคดีเสือดำ มีมุมที่ต้อง “ตั้งสติ” กันอย่างมากมาย
1) เห็นข้อดีอยู่ประการหนึ่ง คือ คนเห็นคุณค่าของ “เสือดำ” ซึ่งเป็นสัตว์ป่าหายาก และมีกฎหมายคุ้มครอง ห้ามล่า เมื่อมีคนไปล่า สังคมจึงเดือดแค้น และปรารถนาจะเห็นการลงโทษที่สาสม แต่การขับเคลื่อนของสื่อและสังคม กลับใช้ “อารมณ์” มาขับเคลื่อน แทน “ความรู้”
2) ตำรวจเรียกสอบเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ก็โกรธตำรวจ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ นำโดยนายวิเชียร ชิณวงษ์ เป็นชุดจับกุมเจ้าสัวเปรมชัยในที่เกิดเหตุ ตั้งข้อกล่าวหา และนำมาส่งตำรวจเพื่อทำสำนวนคดี ส่งฟ้องต่อไป ข้อมูลที่จำเป็นที่สุดย่อมเป็นข้อมูลจากชุดจับกุมใช่หรือไม่ เพราะเป็นผู้เผชิญเหตุ จับกุม และเก็บหลักฐานชั้นต้นได้ ดังนั้น ตำรวจจะเรียกชุดจับกุมไปให้ข้อมูลกี่รอบ ทำไมต้องเป็นปัญหากันด้วยล่ะ? ไม่อยากให้ข้อกล่าวหานั้น รอบคอบ ครบถ้วน รัดกุมกันหรือครับ
3) ปัญญาอ่อนหรือไง จะไปแจ้งข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ที่ให้นายเปรมชัยกับพวกเข้าป่าโดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม ข้อนี้ไปอ่านข่าวกันให้ดีๆ เถิดครับ ตำรวจสอบเพื่อคลี่คลายประเด็นว่า นายเปรมชัยกับพวกเข้าป่าไปได้ด้วยวิธีใด ก็พบว่า ไม่มีการจ่ายค่าเข้า จึงให้สัมภาษณ์ว่า จะแจ้งไปยังหน่วยงานต้นสังกัด ว่าทำอย่างนี้ผิดหรือไม่ ซึ่งตำรวจไม่มีอำนาจไปเอาผิดอะไร เป็นเรื่องของต้นสังกัด และท้ายที่สุด ต้นสังกัดก็สรุปแล้วว่าไม่ผิด เพราะมีการทำหนังสือแจ้งมาทางผู้บังคับบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษร
4) ไปตรวจร้านขายของป่าแห่งหนึ่ง เพื่อจะช่วยนายเปรมชัยใช่มั้ย ตั้งสติ วางถุงกาวในมือลง แล้วเข้ากูเกิ้ลซะ จะพบว่า ชุดจับกุม (เจ้าหน้าที่ป่าไม้) มีข้อสังเกตว่า มีการเตรียมเกลือเข้าไป เตรียมเนื้อเก้งเข้าไป เหมือนวางแผนจะไปล่าเสือดำตั้งแต่แรกแล้ว ตำรวจก็ขยายผล หาดูว่า ก่อนเข้าไป คณะของนายเปรมชัยไปที่ไหนบ้าง เนื้อเก้งที่พบในจุดเกิดเหตุ นำมาจากที่ใด หากพิสูจน์ได้ว่าเตรียมเข้าไป ก็ส่อเจตนาล่าสัตว์ชัดเจนยิ่งขึ้น มัดตัวแน่นยิ่งขึ้น หากบอกว่านำไปทำอาหาร จะฟังขึ้นไหม กฎหมายอนุญาตไหม หากบอกว่าไม่ได้เตรียมไป แปลว่าไปล่าเอาในป่าหรือเปล่า ฯลฯ หยุดด่า ระงับอารมณ์ มาใคร่ครวญในมุมนี้บ้าง
5) ต้มจู๋เสือดำกินด้วย อันนี้ผลตรวจออกมาแล้วว่า เสือดำที่ตายเป็นตัวเมีย ไม่มีจู๋ให้กินหรอก
6) ทำไมถึงให้ประกันตัว ทำไมถึงให้เลื่อนการเข้าพบเจ้าหน้าที่ อันนี้ต้องแยกเป็น 2 กรณี ให้ประกันตัวนั่น ศาลท่านให้ ไม่ใช่ตำรวจ การเลื่อนการเข้าพบตามหมายเรียก กฎหมายอนุญาต คุณวิเชียรก็ขอเลื่อนเช่นกัน ไม่ผิดอะไร
7) แล้วทำไมคดีอุ้งตีนหมี เข้าคุกเลย ยิงเสือดำไม่ต้องเข้าคุก คดีตีนหมี ผู้ต้องหารับสารภาพจ้ะ เช่นกันกับ “ตายายเก็บเห็ด” ของคุณๆ จำเลยรับสารภาพ ไม่ขอประกันตัว
8) ตรวจขี้ที่พบข้างรถด้วย คอยดูนะ เดี๋ยวขี้จะช่วยให้เปรมชัยหลุดคดี เพราะไม่มีเนื้อเสือดำในขี้ โอ๊ยยย...เอาสมองขี้ๆ แบบนี้มาจากไหนกัน ไม่มีข้อหากินเนื้อสัตว์ป่าแล้วคดี สัตว์ป่าคุ้มครองนี่ ห้ามล่า ห้ามฆ่า ห้ามครอบครองซาก กินหรือไม่กินไม่ใช่สาระ ขี้ยิ่งไม่ใช่สาระ แล้วเรื่องขี้นี่นะ หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร เขาเป็นคนตั้งประเด็น ไม่ใช่ตำรวจ
9) ทำไมถอนข้อหา “ทารุณกรรมสัตว์” ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ตำรวจไม่เคยตั้งข้อหานี้นะครับ เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์กาญจนบุรีไปแจ้งความ แล้วแกก็ถอนออกไปด้วยเหตุผลว่าไม่เข้าข้อกฎหมาย เพราะกฎหมายอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย ในประเด็น “คำนิยามของสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ” แล้วประกาศกำหนด ตามมาตรา 3 วรรคสุดท้าย หมายรวมถึงสัตว์ ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งกรมปศุสัตว์จะเร่งประชุมคณะกรรมการ ให้ได้ข้อสรุปนิยามดังกล่าว ภายในวันที่ 9 มีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่ได้มีกำหนดนิยามให้สัตว์ป่า “ที่อาศัยในธรรมชาติ” เป็นสัตว์ตาม พ.ร.บ.ทารุณกรรมสัตว์ฯ แต่สัตว์ป่าก็อยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะ หากไปล่า หรือทำร้าย จะมีโทษหนักกว่า ส่วนสัตว์ป่า แม้อยู่ตามธรรมชาติ แต่หากนำมาเลี้ยง จะอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วย การทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 -นี่ก็แปลว่า กฎหมายที่ยังบกพร่อง มิได้เป็นประโยชน์ใดๆ ต่อนายเปรมชัยและพวก
10) นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร โพสต์เฟซบุ๊คว่า “คดีนายเปรมชัย มีหนังเสือดำถลกไว้เรียบร้อย ทาเกลือ มีต้มหางเสือในหม้อ ที่แคมปิ้ง มีปืน และ เสียงปืนจากแคมป์ที่พัก ที่ไม่ได้อนุญาต มีเสียงต่อรอง ในคลิป ถ้าแค่นี้ไม่จบ ไม่พอ รอตรวจอะไรไปเรื่อย ในความรู้สึกตนเอง คิดว่า มีฝ่ายทำคดีหาทางช่วยนายเปรมชัยแน่ๆ ขนาดนี้ ไม่ควรให้ประกัน คนแบบนี้ เป็นภัยต่อสังคม ทรัพยากรธรรมชาติ หลักฐานขนาดนี้ ถ้าหลุด รัฐบาลนี้ ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้นะ”
อันนี้คุณศศินควรเป็นหลักในการตั้งสติให้ผู้คนนะครับ เพราะคนเขาเชื่อถือคุณ ทุกข้อที่คุณกล่าวมา มันอยู่ในข้อกล่าวหาครอบครองซากสัตว์ ข้อหาเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต ข้อหามีอาวุธปืน ข้อหาร่วมกันล่าสัตว์ฯ มันครบหมดแล้ว แต่มันรัดกุมเพียงแค่หลักฐานเท่าที่กล่าวถึงนี้หรือไม่
ในการทำสำนวนเพื่อชี้ให้ชัด อันจะเป็นประโยชน์ต่อการนำสืบในศาล ควรลึกและรัดกุมกว่านั้นไหม เช่น พิสูจน์ว่าปืนเป็นของใคร ใครยิง พฤติการณ์เป็นอย่างไร ในที่เกิดเหตุมีกลุ่มอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นผู้ก่อการอีกหรือไม่ มันก็ต้องปิดช่องโหว่ที่ผู้ต้องหาจะหักล้างตอบโต้ในศาลให้ได้ ไม่ดีกว่าหรือครับ รีบร้อนทำสำนวนส่งฟ้องไป สำนวนไม่รัดกุม ใช่จะขอคืนจากศาลมาแก้ใหม่ได้เสียที่ไหนกันล่ะ จึงไม่รู้จะใจร้อนไปไย ใจร้อนไปจะได้อะไรขึ้นมา ถึงเวลาก็อยู่ที่ศาลอีก ว่าจะนัดคู่ความเมื่อไหร่ สืบพยานหลักฐานกันกี่ปาก กี่นัด มันไม่ได้เร็วแบบที่จิ๊กโก๋ต้องการเสมอไปหรอกนะครับ อย่าลืมว่าคดีนี้จำเลยต่อสู้ ไม่ได้รับสารภาพ จะได้เร็วหมือนคดีอุ้งตีนหมีกับตายายเก็บเห็ดที่คุณศศินและคนอื่นๆ ก็เคยอ้างเอ่ยถึงคงไม่ได้ และการทำให้ศาลเชื่อและสั่งลงโทษ ก็ไม่ได้ง่ายและไร้ระบบกระบวน เหมือนกับการทำให้ลูกเพจ “ศศิน” เชื่ออีกด้วย
11) ปวันรัตน์ นาคสุริยะ นักแสดง ผู้จัดละคร และพิธีกรเล่าข่าว โพสต์เฟซบุ๊คว่า “ผมเชื่อแล้วว่าเสือดำตายเอง หนังถลอกออกมาเอง ไม่ได้รับทุกขเวทนา ไม่ทารุณ ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ที่เจอปืน เจอมีด เจอเกลือ เจอแคมป์ เจอขี้ เจอรอยนิ้วมือ พิสูจน์วิถีกระสุน 5 นัด 6 นัด ที่ตัวเสือก็ไม่ใช่หลักฐานนะฮะ จะยิงหัวยิงหำกี่รูก็เเล้วแต่ อะไรนะ จะเอาผิดให้ได้เหรอ เอางี้นะ ถึงจะทำทารุณ ให้ทุกขเวทนาเท่าไร ใครทำก็ไม่มีความผิด เพราะไม่มีกฎหมายใดมาเอาผิด โอเคละฮะ สบายใจนะฮะ จบมั้ย แยกย้ายนะฮะ” ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ “ความเข้าใจผิด” และไม่ศึกษาข้อกฎหมาย
กรณีไม่มีกฎหมายนั้น ผิดตรงที่มีกฎหมายครับ แต่เป็นกฎหมายอีกฉบับ คือ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ส่วนกฎหมายทารุณกรรมสัตว์ ยังไม่ใส่รายละเอียด “ชนิดของสัตว์ในธรรมชาติ” ลงไป ก็ไม่ได้แปลว่านายเปรมชัยจะหลุดจากความผิด เพราะมาติดกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ซึ่งคุ้มครองเสือดำไว้แน่ชัดแล้ว และโทษหนักกว่าด้วย กับอีกข้อที่เข้าใจผิดคือ นิยามของคำว่าทารุณกรรม คือต่อให้กฎหมายทารุณกรรมสัตว์ เติมชนิดของสัตว์ลงไปแล้ว มีด ปืน เกลือ ขี้ ก็ยังไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยครับ คุณเหมี่ยวครับ เพราะต่อหน้าบัลลังก์ศาล คุณต้องพรรณนาให้ศาลเห็นได้ว่า การกระทำใดที่เข้าข่าย “ทารุณกรรม” เช่น เอาหนังสติ๊กรัดหำ รอจนเน่า แล้วหำหลุดไป สัตว์ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างหนักระหว่างที่เน่า หรือ จับขาหลัง แล้วเอาหัวฟาดพื้น สัตว์ร้องโอดโอย ไม่ได้ตายทันที ก็เลยฟาดซ้ำอยู่เช่นนี้ จนสัตว์ตาย บางทีความไม่เข้าใจ และไม่มีใจจะเอาสติปัญญาที่พอมีไปศึกษา ก็นำมาซึ่งการประชดประชันแดกดันที่สะท้อน “ความรู้” ของตัวเอง ออกมาเช่นนี้เอง เวลาเล่าข่าวอย่าใส่ความเห็นแบบนี้เข้าไปเลยนะครับ พึงตระหนักว่า การ “สื่อข่าว” ต่างจาก “การแสดง” เพราะมันทำหน้าที่บน “ความรู้-ไม่รู้” ของสังคมด้วย อะไรที่เราไม่รู้ อ่านแค่บทข่าว (information) ก็พอนะครับ อย่าได้ริให้ความเห็นหรือวิเคราะห์วิจารณ์เลย เราจะได้ไม่ทำร้ายสังคมหรือคนดูโดยความไม่รู้ที่จะถูกแพร่กระจายออกไป เพราะคนเขาเชื่อถือเรา
เรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องที่แค่ต้อง 1.ตั้งสติ 2.ใช้ความรู้ 3.กลั่นกรองข้อมูล 4.รอกระบวนการแบบไม่ปล่อยปละละเลย แต่เร่งรัดอย่างสร้างสรรค์ เท่านั้นเอง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี