เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตอบคำถามนักข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล กล่าวถึงขั้นกระบวนการทางการเมือง กระบวนการกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อไหร่ อย่างไร โดยยืนยันว่าอยู่ในกรอบเวลาที่กำหนด คือ ไม่เกินเดือน ก.พ. 2562
“...ผมตอบชัดเจนแล้วนะ การเลือกตั้งไม่เกินเดือนกุมภาฯ ปี’62 จะเอาอะไรกันอีก แต่จะวันเวลาไหนก็อยู่ในห้วงเวลาดังกล่าวนั่นแหละ ประมาณ 150 วัน แต่ใน 150 วันนี้ก็ต้องพิจารณาดูว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ผมไม่ได้ขู่นะ แต่ถ้าทุกคนยังออกมา เดี๋ยวคอยดูแล้วกัน พอเวลาปลดล็อกทางการเมืองมันจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ผมก็หวังให้มันเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมา หาเสียงกันโดยสงบ ไม่ใส่ร้ายป้ายสีกัน ไม่ยุยงปลุกปั่นอะไรทำนองนี้ มันจะได้เลือกตั้งได้ ผมก็อยากให้เลือกตั้งได้ ไม่ได้หมายความว่าจะให้เลือกตั้งไม่ได้ แล้วผมจะได้อยู่ต่อ ถ้าคิดแบบนี้ ก็ไม่อยากจะคุยด้วย พอแล้วนะเรื่องนี้ เรื่องล้มกฎหมาย ผมบอกแล้วไม่มีนโยบาย มันทำไม่ได้ มันไม่ควรจะล้ม ต้องไปหาทางกันให้ได้ เพื่อให้เลือกตั้งได้” - พลเอกประยุทธ์กล่าวกับสื่อมวลชน
1.ผมเชื่อว่า การเลือกตั้งใหญ่ น่าจะเกิดขึ้นอย่างช้าภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 (ปีหน้า) จริงๆ
เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. นายกรัฐมนตรี ประกาศไว้
เหตุที่เชื่อ เพราะครั้งนี้ หัวหน้า คสช.ประกาศชัดถ้อยชัดคำ แข็งขัน แถมปัจจุบัน รัฐบาล คสช.ได้อยู่ในอำนาจมาเกือบ 4 ปีแล้ว บัดนี้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็จวนจะเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว
เชื่อว่า คงอยากจัดให้มีการเลือกตั้งตามที่ประกาศไว้จริงๆ
2.ในถ้อยแถลงของพลเอกประยุทธ์ข้างต้น มุ่งตอบคำถามในสิ่งที่ คสช.ถูกกดดันในทางการเมือง โดยเฉพาะจากบรรดาพรรคการเมือง และกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองบางกลุ่ม จึงอธิบายคร่าวๆ ว่า ใครจะทำอะไรบ้าง เพื่อไปให้ถึงการเลือกตั้งภายในเดือนก.พ.2562
แต่ผมอยากจะสนับสนุน เรียกร้อง และร่วมผลักดันให้รัฐบาล คสช. ใช้เวลาที่เหลือเกือบ 1 ปี มุ่งสมาธิกับงานการปฏิรูปบ้านเมืองให้ปรากฏผลรูปธรรม จับต้องได้ จะได้ไม่ถูกกล่าวหาในภายหลังว่าเสียของ จะไม่ถูกประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า คสช.
ล้มเหลวในการปฏิรูป ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ในเชิงการปฏิรูปด้านใดที่จับต้องได้ชัดเจน
ขอสนับสนุนให้ คสช. ใช้เวลาราวๆ 1 ปี นับจากวันนี้ ขับเคลื่อนการปฏิรูปอย่างจริงจัง
เชื่อว่า รัฐบาล คสช. มีอำนาจรัฎฐาธิปัตย์อยู่ในมือ มีเสถียรภาพสูงสุดยิ่งกว่ารัฐบาลในสถานการณ์ปกติ หากมุ่งมั่นจะทำอะไรจริงจัง เด็ดเดี่ยว ย่อมจะสามารถทำได้แน่ๆ และจะเป็นการรัฐประหารที่ไม่เสียของ
อย่างน้อย หากดำเนินการปฏิรูปใน 4 เรื่องหลักๆ ที่ควรมุ่งเน้น
2.1 การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะตำรวจและอัยการ
ปัจจุบัน คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ชุดที่มีพลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน ยังไม่ปรากฏผลงานรูปธรรมออกมาชัดเจน คงเห็นเน้นแต่เรื่องการโยกย้าย การบริหารจัดการบุคลากร มิให้ย้าย
ข้ามหน่วยงาน ส่วนเรื่องอื่นๆ ดูจะมีความคืบหน้าที่ชัดเจนน้อยมาก
ประการสำคัญ เรื่องพนักงานสอบสวน สุดท้าย งานสอบสวนก็ยังอยู่กับตำรวจ, เรื่องกระจายอำนาจตำรวจ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนกลาง ออกไปสู่ระดับพื้นที่ ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ เลย
แม้แต่ข้อเสนอการปฏิรูปตำรวจ ที่พลเอกประยุทธ์เคยนำเสนอไว้ อาทิ “ผมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า จะมีอีกทางหรือไม่ที่จะให้ตำรวจเป็นตำรวจพื้นที่ โดยไปอยู่ในพื้นที่ของจังหวัด และไปอยู่ในคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จังหวัด แต่จำเป็นต้องมีหลักการ ไม่ใช่เราจะโยนไปโน่นไปนี่ทำแบบนั้นไม่ได้ เราต้องมีความชัดเจนในเรื่องสายการบังคับบัญชา และวิธีการปฏิบัติงาน การที่จะทำให้เกิดความสามารถมากขึ้นก็จะต้องกระจายอำนาจเหล่านี้ออกไป ส่วนเรื่องการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดี หรือการเป็นจุดเริ่มต้องของกระบวนการยุติธรรม ถ้าจบภายในจังหวัดได้ คือมีกลไกของตำรวจตรงนี้สักหน่อยก็จะช่วยผู้ว่าราชการจังหวัดลดปัญหาที่จะเข้ามาส่วนกลาง นี่เป็นแนวคิดของผม แต่ยังไม่ใช่ข้อยุติ เพราะทุกคนเสนอได้ ผมก็เสนอได้ แต่ผมไม่ได้สั่งการ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปดูอีกที” แนวทางข้อเสนอเช่นนี้ ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ทั้งๆ ที่เป็นแนวทางซึ่งสอดคล้องกับภาคประชาสังคมที่คาดหวังต่อการปฏิรูปตำรวจ
ปัจจุบัน สังคมได้แลเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบพนักงานสอบสวน สั่นคลอนความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น กรณีลอตเตอรี่ 30 ล้านบาท ที่พนักงานสอบสวนบิดสำนวนจนเกิดปัญหาบานปลาย หรือกรณีล่าเสือดำที่สังคมคลางแคลงการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวนในการทำสำนวนคดี ฯลฯ เพื่อมิให้เสียของและสูญเปล่า หัวหน้า คสช.ควรเร่งจัดการให้เกิดการปฏิรูประบบพนักงานสอบสวนโดยเร็ว โดยให้มีระบบดุลและคานอำนาจในการทำหน้าที่ มิใช่จับเอง-สอบเอง-สรุปสำนวนเอง โดยปราศจากการดุลและคานอำนาจ ดังปรากฏเป็นข้อครหาว่านายตำรวจใหญ่อาจเข้าไปเป่าสำนวน บิดสำนวน หรือแทรกแซงการสั่งสำนวน ทำให้เกิดความอยุติธรรมตั้งแต่ต้นธาร เพื่อสร้างหลักประกันความยุติธรรมในการสอบสวนคดีอาญาให้เป็นที่เชื่อถือของประชาชน ฯลฯ
นอกจากนี้ ควรเร่งดำเนินการตามมติสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ให้โอนตำรวจ 9 หน่วย ไปให้กระทรวง ทบวง กรม ที่มีหน้าที่
รับผิดชอบ (เช่น ตำรวจรถไฟ ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจป่าไม้ ตำรวจทางหลวง ตำรวจจราจร ฯลฯ) เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
ควรมุ่งกระจายอำนาจตำรวจออกไปจากส่วนกลาง ไปเป็นตำรวจในระดับจังหวัดที่มีความผูกพันกับพื้นที่ เติบใหญ่ ทำงาน และถูกตรวจสอบ โดยมีความยึดโยงกับประชาชนในพื้นที่
ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมา ก็ยังไม่เห็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในชั้นอัยการ ซึ่งก็มีปัญหาอยู่เช่นกัน
2.2 ลงมือทำกระบวนการขจัดความขัดแย้ง สร้างสมานฉันท์ของคนไทย
ในช่วงต้นๆ ของรัฐบาล คสช. เคยมีการพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็เลือนหายไป
กระบวนการยุติธรรมที่จะขจัดความขัดแย้ง จะต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเป็นธรรม
ในช่วงเวลาข้างหน้า กำลังจะมีพระราชพิธีมหามงคล น่าจะเป็นโอกาสที่งดงามสำหรับการถอดสลักคดีการเมือง ปลดชนวนความขัดแย้งอันเกี่ยวกับคดีความการเมือง โดยเสนอเรื่องอภัยโทษคดีที่ไม่รวมถึงการฆ่าคนตาย การเผาทำลายทรัพย์สิน การทุจริตประพฤติมิชอบ
2.3 การปราบทุจริตโกงกิน
พลเอกประยุทธ์อยากให้ประวัติศาสตร์จดจำว่า คสช.ว่าเข้าปราบโกง หรือเข้ามาอุ้มคนโกง?
การปราบทุจริตโกงกินในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ควรใช้โอกาสนี้จัดการเด็ดขาด รวบรวมหลักฐาน ตีแผ่ให้สังคมได้เรียนรู้ ว่าแต่ละกรณีมันโกงกันยังไง ซึ่งความรู้เท่าทันของสังคมจะเป็นพลังเสริมให้สังคมเกิดความตื่นรู้ และเป็นกองหนุนในการปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ
ไม่ควรหวังเฉพาะให้หน่วยงานรัฐทำเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ป.ป.ช. ป.ป.ท. สตง. เพราะปัจจุบัน รูปแบบการทุจริตเกิดขึ้นในหลากหลายวงการ อาทิ
ในวงการพระสงฆ์ มีการทุจริตเงินทอนวัด แล้วยังมีกรณีพัวพันไปถึงการทุจริตเงินบริจาค การฟอกเงิน
ในวงการตลาดหุ้น ก็มีการทุจริตโกงกิน มีผู้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้อง และยังพันกับการฟอกเงิน
แม้ในการช่วยเหลือคนยากจน ก็มีการทุจริตโกงกินเงินสงเคราะห์ ตรวจจังหวัดไหนก็เจอ
เพราะฉะนั้น ควรสร้างระบบที่ทำให้ภาคประชาสังคมทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตโกงกิน กระจายออกไปทุกจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทุกวงการ สร้างความตื่นตัวให้เข้ามาช่วยกันตรวจสอบกำกับควบคุม ยกตัวอย่าง กรณี น.ส.ปณิดา ยศปัญญา หรือ น้องแบม นิสิตชั้นปีที่ 4 สาขาพัฒนาชุมชน คณะมุนษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ออกมาเปิดเผยข้อมูลการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้และผู้ป่วยโรคเอดส์ ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งขอนแก่น กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ร้องเรียนไปถึง คสช.ส่วนกลาง จากนั้นจึงมีการตรวจสอบโดย ป.ป.ท. กระทั่งพบมูลความผิด และมีการขยายการสอบสวนไปทั่วประเทศ ควรให้มีหน่วยงานสนับสนุนการทำหน้าที่ของภาคประชาสังคมแบบนี้กระจายออกไปทั่วประเทศ ส่งเสริมการเปิดโปงข้อมูลอย่างรับผิดชอบ ดึงเอาภาคเอกชน ตลอดจนผู้บริโภค เข้ามามีส่วนร่วมในทุกวงการ ในทุกระดับทั่วประเทศ จะเกิดความตื่นตัวและได้ผลดีกว่าไปฝากงานปราบทุจริตไว้ที่องค์กรภาครัฐอย่างเดียว
2.4 การปฏิรูปสื่อมวลชน
ปัจจุบัน สื่อกระแสหลัก ที่สังคมเคยคาดหวังให้ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งโรงเรียนของสังคม คงเป็นได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ เพราะต่างกำลังดิ้นรน หนีตาย พยายามหารายได้ หาเงินเข้ามาเป็นน้ำเลี้ยงในทางธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดการแข่งขันสูง สื่อกระแสหลักกับสื่อออนไลน์ และพฤติกรรมตลอดจนรสนิยมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปขนานใหญ่ สื่อกระแสหลักกำลังปรับตัวไปในทางที่ไม่เอื้อต่อรายการสาระความรู้ในเรื่องบ้านเมือง พยายามปรับเปลี่ยนต้องไปบันเทิง เกมโชว์ ละคร แข่งขันร้องเพลง ฯลฯ
ขณะเดียวกัน สื่อโซเชียลมีเดียกำลังขยายตัว และมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ส่วนดีมีเยอะ ทำให้คนตื่นตัวและรู้ทันอะไรมากขึ้น เช่น คดีเปรมชัย คดีป้าขวานทุบรถ ฯลฯ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง แต่ด้านมืดที่อันตรายก็นับวันจะขยายตัว เช่น การโหมกระพือข่าวเท็จ ข่าวมั่ว ข่าวบิดเบือน โดยมุ่งตอบสนองอารมณ์ผู้คน เอายอดไลค์-ยอดแชร์ ไม่สนใจจรรยาบรรณสื่อ นับวันจะมีมากขึ้น
ภาครัฐจะต้องเตรียมรับมือให้ดี โดยเฉพาะเมื่อบ้านเมืองกำลังเดินไปสู่การเลือกตั้ง แน่นอนว่า จะเกิดกระบวนการข่าวลวง ข่าวเท็จ ที่ส่งต่อการเลือกตั้ง สร้างเรื่อง สร้างกระแส ดังที่เคยเกิดปัญหามาแล้วในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ถึงกับสอบสวนว่ารัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งผ่านการปล่อยข่าวลวง ทำให้คะแนนพลิกผัน หรือในสหราชอาณาจักร ในการลงประชามติเบล็กซิท ก็พบปัญหาการปล่อยข่าวลวง กระทั่งผลการลงคะแนนสัมฤทธิผล เป็นต้น รัฐบาล คสช. คงจะต้องหาหนทางควบคุมดูแลโดยเร็ว
3. พรรคการเมืองใหม่ กับตลาดนักการเมือง
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีกลุ่มการเมืองเข้าไปลงทะเบียนจองชื่อพรรคการเมืองใหม่ เฉพาะวันแรก จำนวน 42 ชื่อ
หลังจากนี้ กกต.ยังเปิดให้เข้าไปลงทะเบียนจองได้อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่พรรคการเมืองเดิมมีอยู่แล้วกว่า 69 พรรค
น่าคิดว่า เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งใหญ่ ก.พ. 2562 ถึงเวลาจริง พรรคเก่าบางพรรคอาจยุติการเคลื่อนไหวแล้ว ส่วนพรรคใหม่ก็คงไม่หยุดแค่ 42 พรรค แม้บางพรรคอาจจะไม่ผ่านเกณฑ์จัดตั้งพรรค ไปไม่ถึงการลงสนามเลือกตั้ง แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว คาดว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีพรรคการเมืองเข้าร่วมมากเป็นประวัติการณ์
รวมๆ แล้ว อาจจะถึง 100 พรรค
เหตุที่มีคนสนใจมาก คงเป็นเพราะกติกาการเลือกตั้งใหม่ ใช้วิธีการคำนวณ สส.ในระบบจัดสรรปันส่วนผสม ทุกคะแนนเสียงไม่ได้หายไปไหน ถึงไม่เพียงพอที่จะชนะในเขตแต่คะแนนก็ไม่หล่นทิ้งน้ำ เนื่องจากคะแนนเสียงที่ประชาชนลงให้พรรคการเมืองในเขตจังหวัดใดก็ตาม จะถูกนำไปรวมกับคะแนนที่ประชาชนลงให้จากทุกจังหวัด เพื่อคำนวณหาสัดส่วนคะแนนที่ได้รับรวมทั่วประเทศ
ถ้าคำนวณจากคนที่เคยมาลงคะแนนเสียง ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา จำนวนประมาณ 30 กว่าล้านคน ในขณะที่มี สส. 500 ที่นั่ง เพราะฉะนั้น ถ้าพรรคการเมืองใดได้คะแนนเสียง 6-7 หมื่นคะแนนจากทั่วประเทศ ก็จะมีโอกาสได้ สส.ในสภา 1 ที่นั่ง
ถ้าพรรคไหนได้คะแนนรวมราวๆ 7 แสน จากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ก็ได้ สส. 10 ที่นั่งแล้ว
จะเห็นว่า เป็นกติกาที่ดึงดูดพรรคการเมืองใหม่มาก (แต่จะต้องผ่านด่านการตั้งพรรคให้ได้)
เชื่อว่า หลังการเลือกตั้ง คงจะมี สส.จากพรรคหน้าใหม่ พรรคเล็กพรรคน้อยเยอะพอสมควร
สภาพเช่นนี้ จะมีปัญหาต่อไปในทางการเมือง เพราะเมื่อมีพรรคเล็กเยอะ กระจัดกระจาย หรือแม้แต่ในพรรคใหญ่เอง บางเรื่องสส.ก็จะมีอิสระในการลงมติมากขึ้น น่าสนใจว่า ในการลงมติเรื่องสำคัญ จะมีการเรียกรับผลประโยชน์กันหรือไม่
4.การสรรหา กกต.ชุดใหม่ กับการเลือกตั้งใหญ่
การสรรหา กกต.ชุดใหม่ เป็นปัจจัยสำคัญ ทั้งในการจัดให้มีการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม และการจะได้เลือกตั้งภายในเดือน ก.พ. 2562 ตามที่หัวหน้า คสช.ประกาศไว้หรือไม่?
ถ้าการสรรหา ไประสบความสำเร็จ หรือเกิดความผิดพลาดอีก การเลือกตั้งอาจได้รับผลกระทบ
การสรรหา กกต.ใหม่ครั้งนี้ ควรศึกษาบทเรียนจากครั้งที่แล้ว ทั้งในแง่การสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์จัดการการเลือกตั้ง หากเปิดรับสมัครแล้ว ยังไม่ได้คนที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์เพียงพอ 5 คน ก็ไม่ควรรีบสรุปเพื่อส่งต่อไปให้พ้นๆ มือ ควรพิจารณาเปิดรับสมัครใหม่ หรือใช้วิธีทาบทามบุคคลที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ให้เข้ามาสู่การสรรหา จะดีกว่าที่จะต้องไปเสียเวลากับการถูกคว่ำในชั้น สนช.
ขณะเดียวกัน กระบวนการสรรหา 2 คน ผ่านการลงคะแนนเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ก็ควรระมัดระวัง เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนญ ที่กำหนดให้เลือกโดยเปิดเผย อันหมายความว่า จะต้องสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ใดเลือกใครเป็นหลักสำคัญ ซึ่งกฎเกณฑ์เช่นนี้ แม้จะทำให้ผู้พิพากษาในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาไม่สบายใจที่จะต้องเปิดเผยว่าตนลงคะแนนให้ใคร แต่เมื่อกติกากำหนดไว้เช่นนี้ ก็ไม่อาจดำเนินการเป็นอื่น เว้นแต่จะแก้กติกา ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ส่งผลเสียด้านอื่นๆ อีก
5. นับถอยหลัง สู่การเลือกตั้ง ปี’62
เชื่อว่า ประเทศไทยคงมีการเลือกตั้ง ภายในเดือน ก.พ. 2562 แน่ๆ
เว้นแต่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด หรือเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ไม่อาจจัดการได้จริงๆ
สิ่งสำคัญ คือ เราจะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เป็นการเลือกตั้งที่มีคุณภาพ สุจริตเที่ยงธรรม เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยไม่ถูกใช้เป็นเครื่องฟอกตัวของคนโกง ได้อย่างไร?
และระหว่างการนับถอยหลังไปสู่วันเลือกตั้งนั้น ขอสนับสนุนรัฐบาล คสช. ให้ฝากฝีมือ ฝากผลงานการปฏิรูป มุ่งมั่นขับเคลื่อนการปฏิรูปให้เกิดผลจับต้องได้อย่างจริงจัง เพื่อมิให้ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่า อยู่มา 4 ปี ทำการปฏิรูปไม่บังเกิดผลสำเร็จเลยแม้แต่อย่างเดียว
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี