ในบรรดาประเทศอาเซียน 10 ประเทศนั้น ขณะนี้ที่เข้าร่วมเส้นทางสายไหมชัดเจนในเชิงปฏิบัติแล้ว ได้แก่ เมียนมา ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 95% ของประชากรอาเซียน
คงเหลือสิงคโปร์และไทยที่ยังไม่มีความชัดเจน และไม่รู้ว่าจะไปทางไหนแต่สำหรับสิงคโปร์นั้นแม้จะไม่ชัดเจน แต่ก็เป็นประเทศที่ทำมาค้าขายกับจีนมากที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียน และมีอภิสิทธิ์ที่จะค้าขายประเทศที่ถูกแซงค์ชั่นจากมหาอำนาจได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะค้ากับเกาหลีเหนือหรืออิหร่าน หรือประเทศใดๆ ที่ถูกแซงค์ชั่นก็ตาม
คงมีแต่ประเทศไทยของเรานี่แหละที่ยังวนเวียนหลงทางอยู่ เพราะด้านหนึ่งก็ทำท่าทีไปในทิศทางเดียวกับประเทศอาเซียน มิหนำซ้ำยังประกาศสนับสนุนยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมก่อนใคร ตั้งแต่การประชุมเอเปกที่ปักกิ่ง รวมถึงการเข้าร่วมเป็น Founder Member ของธนาคารพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย และการเข้าร่วมปฏิญญาซันย่ากับกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ
แต่อีกด้านหนึ่งนั้นก็มิได้มีการปฏิบัติใดๆ ไปถึงไหนเลย กระทั่งถูกกังขาหรือถูกกล่าวหาอยู่เสมอๆ ว่าเบี้ยวข้อตกลงโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติ ดังเช่น ทำความตกลงระหว่างประเทศโดยได้รับอนุมัติจากรัฐสภาในการขายข้าวเน่าให้จีน 1 ล้านตัน ขายข้าวดีให้จีน 1 ล้านตัน ขายยางพาราให้จีน 2 แสนตัน และร่วมกับจีนทำรถไฟทางคู่สามเส้นทาง เพื่อเชื่อมต่อกับเส้นทางสายไหมที่ประเทศลาวกับอาเซียน และทำความตกลงระหว่างประเทศกับ 6 ประเทศกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงที่มีประชากรรวมกันถึง 2,200 ล้านคน เพื่อร่วมกันพัฒนาแม่น้ำโขงให้เป็นแม่น้ำแห่งสันติภาพ การท่องเที่ยวด้วยเรือขนาดยักษ์และการขนส่งสินค้าด้วยเรือระวางขับน้ำ 500 ตัน
แต่พอเอาเข้าจริงก็กลายเป็นเรื่องตั้งต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาไปกลายเป็นบ้องกัญชา กล่าวคือ เรื่องแรก เรื่องข้อตกลงกับจีน เมื่อจีนซื้อข้าวของตามข้อตกลงระหว่างประเทศแล้ว เส้นทางรถไฟก็เริ่มพลิกไปพลิ้วมา จนไม่รู้ว่าจะไปทางไหน
เพราะที่เริ่มต้นเฟสแรกระยะทาง 3.5 กิโลเมตร จากบ้านกลางดงถึงปางสีดาที่ลือลั่นสนั่นโลกนั้น ก็ไม่ได้ว่าจ้างจีนทำตามข้อตกลง แต่ได้มอบให้กรมทางหลวงเป็นผู้ทำ จนเป็นที่จับตาว่าเส้นทางอีกสามเฟสกว่าจะเชื่อมต่อกรุงเทพฯ-โคราชนั้นจะแล้วเสร็จในปี 2564 หรือไม่ และต่อให้แล้วเสร็จก็เป็นได้แค่รถไฟภายในประเทศ ที่จะขาดทุนวายวอดตั้งแต่เฟสที่หนึ่งสร้างเสร็จ และจะขาดทุนหนักขึ้นเมื่อสร้างเฟสที่สามและเฟสที่สี่แล้วเสร็จ ส่วนเส้นทางโคราช-หนองคายนั้น ที่เตรียมการกันไว้ตั้งแต่สมัยพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว จนไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันที่ตรงไหน
เรื่องที่สอง ข้อตกลงระหว่างประเทศในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ครั้นพอถึงขั้นตอนลงนามในการปฏิบัติ ไทยเราก็ไม่ได้ลงนามด้วย อ้างว่าต้องขอเวลาศึกษาสภาพแวดล้อมก่อน ทำให้ 5 ประเทศสมาชิกที่เหลือต้องทำความตกลงเดินหน้าโครงการต่อไป โดยไม่ต้องรอท่าประเทศไทย และจะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่เชื่อมต่อการคมนาคมทางลุ่มแม่น้ำโขงสู้กับใครเขาก็ไม่ได้
นอกจากนั้น ยังได้แสดงท่าทีที่จะขัดขวางยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม โดยพูดเองเออเองที่จะเชื่อม EEC กับทวายของเมียนมา และ EEC กับกัมพูชา ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการแถลงร่วมระหว่างจีนกับเมียนมา และกัมพูชา ว่าไม่เอาด้วยเว้ย
สภาพเช่นนี้เราอาจจะบอกคนไทยด้วยกันเองอย่างไรก็ได้ แต่ยากที่จะทำให้ประเทศต่างๆ เชื่อถืออีกต่อไป ดังนั้น ในขณะที่สถานการณ์พลิกไปพลิ้วมาอย่างนี้ ประเทศต่างๆ เขาก็หาทางออกเอาเอง นั่นคือการขับเคลื่อนเส้นทางสายไหมจีน-อาเซียน ทั้งทางบกและทางทะเลโดยไม่จำเป็นต้องรอสนใจประเทศไทย ให้จับตาการปักหมุด 5 หมุดสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นดินแดนปิด (Land Lock)
หมุดที่หนึ่ง เส้นทางสายไหมทางบกที่เชื่อมจากทั่วโลกมาที่คุนหมิงจะเชื่อมตรงไปที่ย่างกุ้ง จากนั้นก็จะไปยังอินเดีย โดยผ่านท่าเรือน้ำลึกที่จะสร้างขึ้น 2 แห่ง ส่วนเส้นทางเดิมที่จะมาทางทวายนั้นชะลอเอาไว้ก่อน เพราะแทนที่เมียนมาจะหวังเชื่อมกับประเทศไทยบนผลประโยชน์ร่วมกัน ก็มีการบิดเบี้ยวโอนสัมปทานการพัฒนาทวายไปให้กับบางประเทศ ซึ่งเคยรุกรานพม่ามาก่อนเมื่อเส้นทางสายนี้เกิดขึ้น บรรดาการผลิตและการขนส่งผลิตผลใดๆ ไปด้านตะวันตก คือ แอฟริกา ตะวันออกกลาง และยุโรป ก็จะย้ายไปที่เมียนมา เพราะต้นทุนถูกกว่า การขนส่งเร็วกว่า
หมุดที่สอง เส้นทางสายไหมทางบกที่เชื่อมจากทั่วโลกมาที่คุนหมิง จะเชื่อมตรงไปยังฮานอยของเวียดนาม ผ่านทางมณฑลกวางสี โดยมีการประกาศร่วมกันให้ด่านชายแดนผิงสิงก่วนเป็นเขตการค้าผลิตผลทางการเกษตรจีน-อาเซียน และลดภาษีนำเข้าที่ผ่านด่านนี้ จาก 15% เหลือเพียง 4% ซึ่งประเทศไทยจะเป็นประเทศที่เสียหายมากที่สุดจากการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจทางเกษตรดังกล่าว เพราะต้นทุนของบรรดาประเทศอาเซียนที่ผ่านเขตเศรษฐกิจนี้จะได้เปรียบทางภาษีแก่ประเทศไทย ที่จะต้องขนสินค้าผ่านทางแหลมฉบัง มาบตาพุด และต้องเสียภาษี 15%
หมุดที่สาม เส้นทางสายนี้ก็จะผ่านอ่าวคัมรัล ไปสู่ไซง่อน เชื่อมต่อไปยังสีหนุวิลล์ของกัมพูชาซึ่งถูกประกาศให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เชื่อมต่อจีน-อาเซียนใต้ คือมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งอาจเชื่อมโดยผ่านอุโมงค์ใต้ทะเลเพราะใกล้กว่าแหลมฉบังและมาบตาพุดมาก
ณ เวลานั้น EEC ที่มุ่งมั่นกันนักหนานั้นจะสู้และเทียบเขตเศรษฐกิจสีหนุวิลล์ได้หรือ เพราะเราทำก็แต่ตัวคนเดียว พูดคนเดียว เออออคนเดียว และยังไม่ทันลงมือใดๆ จีนกับกัมพูชาก็ร่วมกันพัฒนาสีหนุวิลล์ ด้วยกำลังช่างถึง 250,000 คน และเตรียมนักลงทุน 2 ล้านกิจการไปทำธุรกิจที่สีหนุวิลล์แล้ว แค่ข่าวเรื่องนี้ปรากฏขึ้นในโลก คนทั้งหลายก็ย่อมเปรียบเทียบข้อได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างเขตเศรษฐกิจสีหนุวิลล์กับ EEC ได้แล้วว่าเป็นประการใด
หมุดที่สี่ เส้นทางสายไหมทางบกเส้นที่สามจากทั่วโลกมาที่คุนหมิง จะเชื่อมไปยังนครเวียงจันทน์ของประเทศลาว เพื่อเชื่อมต่อกับประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีการเจรจาเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟเส้นนี้แล้ว แต่การจะทำให้เป็นจริงนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ตราบใดที่ยังมีขบวนการขวางยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมกันอยู่ การเชื่อมดังกล่าวนี้ยังเชื่อมต่อกับความร่วมมือจีน-ลาว ที่ประกาศให้ลาวเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางลุ่มแม่น้ำโขง5 ประเทศ คือ จีน เมียนมา ลาว เวียดนาม และกัมพูชา นั่นเป็นการประกาศร่วมของจีน-ลาว และอีกสามประเทศก็ร่วมด้วยบนสภาพภูมิยุทธศาสตร์ แค่เปลี่ยนจากฝั่งไทยไปฝั่งลาวเท่านั้น
ตลาดกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง 2,200 ล้านคน ก็จะมีลาวเป็นศูนย์กลางแทนประเทศไทย ในขณะที่เราตะโกนก้องว่ากูจะเป็นศูนย์กลางอยู่คนเดียว
หมุดที่ห้า คือความร่วมมือจีน-กัมพูชา ในการพัฒนาสนามบินเมืองเสียมเรียบ ให้เป็นสนามบินแห่งที่สองของกัมพูชาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และมีขนาดเป็นสามเท่าของสนามบินสุวรรณภูมิ โดยประกาศร่วมกันที่จะให้สนามบินนานาชาติแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของเส้นทางสายไหมทางอากาศจีน-อาเซียน โดยกำหนดให้เครื่องบินจากทุกมณฑลของจีนมาลงที่สนามบินเสียมเรียบ และบินไปสู่อาเซียน
ณ เวลานั้นสนามบินอู่ตะเภาที่ทุนใหญ่จ้องไม่วางตา จะเทียบกับสนามบินเสียมเรียบได้หรือ?
ที่สำคัญที่สุดคือการส่งเสริมธุรกิจการบินระหว่างจีน-ลาว จีน-เวียดนาม และจีน-กัมพูชา จะทำให้เที่ยวบินในสามประเทศซึ่งอยู่ด้านตะวันออกของประเทศไทยมีปริมาณการบินเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าตัว และย่อมกระทบต่อการใช้น่านฟ้าที่ประเทศไทยขอใช้น่านฟ้าของลาว กัมพูชาและเวียดนาม สำหรับเส้นทางบินไปตะวันออกอย่างรุนแรง อาจส่งผลให้ต้องลดเที่ยวบินลง หรือไม่ก็ต้องบินลงทะเลทางแหลมฉบัง มาบตาพุด แล้ววกอ้อมไปไหนต่อไหน
นี่คือสามัญผลของห้าหมุดใหญ่ที่ประเทศต่างๆ เขาจำเป็นต้องปักขึ้นมา เพื่อเชื่อมยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักของโลกในปัจจุบัน แล้วไทยเราจะตัดสินใจอย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี