ความเคลื่อนไหวหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เปิดให้ลงทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ๑๐ วันผ่านไป ทำให้ผู้ที่คุ้นเคยกับการเมืองแบบไทยๆ บอกได้ว่า นอกจากไม่ก้าวหน้า ยังถอยหลังไปไม่น้อยกว่าครึ่งศตวรรษ ๔๐ กว่ากลุ่มการเมืองที่โผล่หน้าออกมา ล้วนแต่เป็นตลกหน้าม่าน ไม่มีตรรกะ ไม่มีอุดมการณ์ ไม่ได้เตรียมตัวเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อปฏิรูปประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า
๓๐ กว่าปีก่อนเคยมีกลุ่มการเมืองที่เรียกว่า “ขบวนการปากหมา” วันนี้มีคนประกาศว่า “ตั้งพรรคเห็นแก่ตัว” “พรรคเกรียน” ของกลุ่มดาวยั่วตัวป่วนที่ “ไม่หาเสียง แต่หาเรื่อง” มีกลุ่มนักการเมืองเหล้าเก่าในขวดใหม่ที่เตรียมตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นภายในเดือน ก.พ. ๒๕๖๒
วิเคราะห์จากความเคลื่อนไหวของตลกหน้าม่านพวกนี้แล้ว บอกได้ว่า คนเหล่านี้ไม่มีสิทธิเอาชื่อลุงตู่ไปเป็นเครื่องหมายการค้าใช้หาเสียง เพราะนายทหารที่ผันตัวมาเป็นนักการเมืองท่านนี้ ไม่บ้าพอจะให้พรรคหนึ่งพรรคใดนำชื่อเสียงไปหากิน ถ้าพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งหาคนเป็นนายกฯ ไม่ได้ ผู้ที่ได้สิทธิเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกวุฒิสภา ๒๕๐ คน ถามว่าพวกตลกหน้าม่านที่คุยโม้ว่าเป็นพรรคทหาร พรรคนอมินีคสช. พรรคกองหนุนลุงตู่ สำเหนียกไหมว่าตัวเองเป็นเพียงเศษไม้ที่เขาทำเป็นนั่งร้าน ไม่นานก็ถูกรื้อทิ้งไป แต่ถึงรู้อยู่เต็มอก ตัวตลกหน้าม่านพวกนี้ก็เต็มใจ เพราะคนไทยชอบสีสัน ไม่ชอบทำงานการเมือง
แต่ในท่ามกลางสีสันทางการเมืองครั้งนี้ ยังมีนักฉวยโอกาสสองกลุ่ม ที่เตรียมตั้งพรรคขึ้นมาด้วยวาระซ่อนเร้นแตกต่างกัน กลุ่มหนึ่งฉวยโอกาสจากความนิยมของมวลมหาประชาชนหลายล้านคนที่เคยร่วมกันโค่นล้มทุนสามานย์ปล้นชาติลงได้ ในการต่อสู้ ๒๐๔ วัน ของ กปปส.ซึ่งถือเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของทุกคนที่เข้าร่วม หลังจากเสร็จภารกิจโค่นล้มทุนสามานย์ แกนนำคนสำคัญกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศล้างมือในอ่างทองคำ ไม่สมัคร สส. ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ แต่สงวนสิทธิทำงานเพื่อชาติ รับใช้ประชาชนต่อไป
นายธานี เทือกสุบรรณ น้องชายนายสุเทพ เคยเป็นหนึ่งในหลายล้านคนที่สนับสนุน กปปส. อย่างแข็งขัน กลับประกาศตั้งพรรคการเมือง บทสุดท้ายของนายธานีจะจบลงเหมือนพันธมิตรฯหรือไม่ เป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณา กลุ่มพันธมิตรฯเป็นผู้จุดเทียนแห่งธรรมเล่มแรก จุดประกายให้ชาวไทยลุกขึ้นมาขับไล่ทุนสามานย์ปล้นชาติ ที่อาจเป็นภัยต่อสถาบันฯ หลังเสร็จสิ้นภารกิจ แกนนำพันธมิตรฯที่เคยประกาศว่าไม่เล่นการเมือง กลับลำตั้ง “พรรคการเมืองใหม่” ผลลัพธ์ที่ได้คือความล้มเหลวทางการเมือง
นักเล่นการเมืองอีกกลุ่มที่มีวาระซ่อนเร้น นอกเหนือจากเข้าสภาคือ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คนรุ่นใหม่ อ้างว่าได้แรงดลใจจากนายเอมมานูเอล มาครง วัย ๓๙ ปี ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่อายุน้อยที่สุด นายจัสติน ทรูโด ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแคนาดาในวัย ๔๓ ปี และนายเซบาสเตียน คูร์ช นายกรัฐมนตรีประเทศออสเตรีย อายุเพียง ๓๑ ปี อ้างคนเหล่านี้เป็นแรงดลใจ โดยที่คนเรียกตัวเองว่ารุ่นใหม่ ไม่สำเหนียกว่า นายทรูโด นายมาครง และ นายคูร์ชไม่ใช่ละอ่อนทางการเมือง แต่ละคนคลุกคลีอยู่กับการเมืองมาหลายปี ก่อนก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศซึ่งต่างกับคนรุ่นใหม่ไทยที่มุดหัวอยู่ในห้องสมุดปากคาบคัมภีร์ทฤษฎีประชาธิปไตย ใช้มหาวิทยาลัยเป็นที่สุมหัวตั้งขบวนการล้มเจ้า คนรุ่นใหม่ทุนสามานย์ ที่ครอบงำกิจการสื่อ สร้างเว็บไซต์สื่อออนไลน์ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ไว้ใช้ทำร้ายสถาบัน คนรุ่นใหม่ที่แอบหลังพวกดาวยั่วตัวป่วนปลุกระดมล้มเจ้า คนรุ่นใหม่ที่รณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ มันย้อนแย้งกันไหม? ถ้าคนกลุ่มนี้เข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยในประเทศที่ปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการทำร้ายสถาบัน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์และสื่อกระแสหลักมาหลายปี ถ้าคนพวกนี้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาได้ เป้าหมายมิใช่เข้าสภา แต่เป็นการเปิดหน้าท้าทายสถาบัน ถ้าตั้งได้ พรรคนี้จะเผยแพร่ลัทธิล้มเจ้าได้อย่างเปิดเผย เหมือนกับที่นายตั้งอาชีวะ, จ่าประสิทธิ์ และผู้ต้องขังในเรือนจำหลายคนเคยปราศรัยในเวทีเสื้อแดง
กลุ่มคนรุ่นใหม่ฝักใฝ่ล้มเจ้า และการเข้าร่วมกระบวนการประชาธิปไตย เป้าหมายอาจเป็นการทำร้ายสถาบันสูงสุดของไทยในเวทีสากล เพราะคนพวกนี้มีความสัมพันธ์กับสื่อ เอ็นจีโอ และตัวแทนองค์กรทางการเมืองตะวันตกที่มีสำนักงานอยู่ในประเทศไทย ถ้าพวกนี้ได้จดทะเบียนพรรคการเมืองถูกต้องตามกฎหมาย การเคลื่อนไหวเพื่อล้มเลิกมาตรา ๑๑๒ ก็ทำอย่างเปิดเผยได้ ถ้าเจ้าหน้าที่พบว่าหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดกฎหมาย พรรคนี้ก็จะโวยวายกับสื่อและองค์กรระหว่างประเทศได้ว่า ผู้มีอำนาจใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำลายคู่แข่งทางการเมือง ที่อันตรายมากกว่านั้นคือ พวกไม่เอาเจ้า อาจใช้พรรคการเมืองสร้างกระแสว่า ถูกรังแก เพื่อดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน
น่าสังเกตว่าการเคลื่อนไหวเตรียมตั้งพรรคการเมือง กลุ่มคนรุ่นใหม่“ไม่เอาเจ้า” ได้รับการประชาสัมพันธ์ ได้รับการชื่นชม อย่างเอิกเกริกจากสื่อในสังกัดทั้งสื่อออนไลน์ และสื่อกระแสหลัก สำนักข่าวบีบีซีภาษาไทย ที่เคยเสนอบทความชั่วช้าเลวทรามย่ำยีหัวใจคนไทยเมื่อวันที่ ๒ ธ.ค.๒๕๕๙ กับข่าวสดภาษาอังกฤษออนไลน์ เสนอข่าวบทวิเคราะห์การจัดตั้งพรรคของกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่เอาเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ กล่าวชื่นชมว่าเป็นทางเลือกใหม่ ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคม เอ็นจีโอในคราบนักเล่าข่าวนำบทวิเคราะห์ไปขยายความต่อ ยกย่องชื่นชมเศรษฐีนักกิจกรรมทางการเมืองสายเลือดใหม่ว่า เป็นผู้ปรปักษ์กับพวกอนุรักษ์นิยมคร่ำครึ ที่เป็นทางเลือกใหม่ของการเมืองไทย เอ็นจีโอในคราบสื่อให้เวลากับคนรุ่นใหม่ไม่เอาเจ้ากว่าสิบนาที เพื่อให้คนไทยซาบซึ้งกับนักเล่นการเมืองที่เธอเรียกว่า เลือดใหม่
นายปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการเสื้อแดง หนึ่งในตัวการรณรงค์ให้ล้มเลิกมาตรา ๑๑๒ และคาดหมายเป็นหนึ่งผู้ร่วมก่อตั้งพรรค กล่าวกับบีบีซีภาษาไทยว่า “ประเทศไทยเหนื่อยล้ากับความขัดแย้ง ๑๐ ปีกว่า พรรคไหนชนะ อีกข้างหนึ่งก็ต่อต้าน ทำให้คนรู้สึกว่าเลือกตั้งไปแล้วไม่จบ เลือกตั้งแล้วเกิดการประท้วงวุ่นวาย” นี่คือการพูดเอาแต่ได้ของฝ่ายไม่เอาเจ้า เพราะในความจริง ไม่เคยมีใครประท้วงเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะเลือกตั้ง แต่การประท้วงทุกครั้งที่เกิดขึ้นเพราะประชาชนทนไม่ได้เมื่อพบว่าฝ่ายชนะ ละเมิดกฎหมาย ใช้อำนาจโดยมิชอบ ทุจริตคดโกงสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติเป็นล้านล้านบาท และเหตุสำคัญที่ประชาชนทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาขับไล่ เมื่อพบว่า ฝ่ายชนะย่ามใจ มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส ส่อไปในทางเป็นภัยต่อสถาบันสูงสุดของชาติ เหมือนกับพฤติกรรมที่คนรุ่นใหม่ไม่เอาเจ้ากระทำมาตลอดเวลาหลายปี ถึงวันนี้ก็ยังทำอยู่
สื่อ นักวิชาการ นักการเมือง ที่ฝันเฟื่องอยากได้คนรุ่นใหม่มาร่วมบริหารทำงานการเมือง ต้องเข้าใจด้วยว่า การพัฒนาประเทศชาติไม่ได้ผูกขาดอยู่กับคนรุ่นใหม่ นักการเมืองสูงวัยที่มีความสามารถก็ผงาดเป็นผู้นำยิ่งใหญ่ครองใจคนทั้งโลกได้ ถ้าเป็นสูงวัยที่มีคุณภาพอย่างประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน วัย ๖๕ ปี ที่สร้างรัสเซียให้มั่นคงเจริญก้าวหน้ามากว่า ๑๖ ปีและจะนำรัสเซียให้ก้าวไปข้างหน้าอีก ๕ ปี หรือนายสี จิ้น ผิง วัย ๖๕ ปี ผู้นำจีนยุคใหม่ ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ วัย ๗๑ ปี ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ชื่นชมว่าสี จิ้น ผิง คือประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ ทรงอิทธิพลมากที่สุดในรอบร้อยปีของจีน “เขาคือประธานาธิบดีตลอดชีพ ที่อเมริกาน่าจะเอาอย่าง”
หลักฐานในเชิงประจักษ์ได้พิสูจน์ว่า ๓ มหาอำนาจโลก นำชาติพัฒนาก้าวหน้าด้วยความสามารถของผู้สูงวัย ซึ่งต่างกับคนรุ่นใหม่ผู้อ่อนทั้งวัยและปัญญา และเมื่อเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยด้วยวาระซ่อนเร้น ก็จะเป็นเภทภัยแก่ประเทศชาติและสถาบัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี